Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - ตอนที่ 464
บทที่ 464 โลกใหม่
จุดรวบรวมพัสดุ สถานีรถไฟดาวหกฉก นครเรนทาโต
หญิงสาวหน้าตาดียิ้มอย่างสุภาพแล้วกล่าวว่า “สวัสดีค่ะ มีอะไรให้รับใช้ไหมคะ”
“ข้าขอฝากสัมภาระเอาไว้จนกว่าจะกลับมาจากอัลลิน” รามิโร่ผู้มีกลิ่นมินต์ติดกายตอบด้วยรอยยิ้มสบายอารมณ์
กลิ่นมินต์นี้มาจากของดีของ ‘อาณาจักรบริแอนน์’ ที่เรียกว่า ‘น้ำหอมมินต์’ ซึ่งเป็นยาสูบชนิดหนึ่งที่ไม่ได้ใช้สูบ แต่ใช้เคี้ยวหลังจากผ่านกระบวนการตากให้แห้ง แต่ส่งผลให้เมาและสดชื่นไม่ต่างจากยาสูบ
หญิงสาวถามด้วยรอยยิ้มว่า “กี่วันคะ? ท่านเป็นนักเวทหรือเปล่าคะ” แม้จะเป็นหญิงทั่วไปในนครเรนทาโต แต่นางก็ต้องขอบคุณ ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ ที่ทำให้นางได้งานทำและรับค่าตอบแทนที่คุ้มค่าซึ่งทำให้นางเลิกอคติกับเหล่านักเวท และกล้าที่จะมาสมัครงาน นางโดดเด่นที่สุดในบรรดาผู้สมัครที่มีอยู่ไม่กี่คน และได้ทำงานนี้ ด้วยเหตุนี้นางจึงชอบนักเวทมาก
“ข้าเป็นนักเวทธรรมดาๆ อยากจะฝากของไว้สามวัน ไม่สิ ขอจ่ายล่วงหน้าเจ็ดวันและอาจเปลี่ยนตอนหลังได้หรือไม่” รามิโร่ถามอย่างใจเย็น ดูเหมือนเขาไม่ได้รีบร้อนอะไรนัก
หญิงสาวตอบว่า “ไม่มีปัญหา โปรดส่งสัมภาระให้ตรวจสอบด้วยค่ะ”
หลังจากฟัง ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ และทำงานที่สถานีรถไฟดาวหกฉกแล้ว นางก็รู้ว่านักเวทไม่ได้ร่ำรวยอย่างที่คิด หลายคนใช้ชีวิตแสวงหาพลังและการทำวิจัยอาร์คานา จนแทบไม่เหลือเงินทองมากมายให้ดำรงชีวิต
รามิโร่ ยื่นกระเป๋าสัมภาระสีดำในมือให้นางเหมือนกับนักท่องเที่ยวทั่วไป
พนักงานหญิงทำตามกฎระเบียบทุกกระเบียดนิ้ว ตามระเบียบการทำงาน นางวางกระเป๋าไว้ในวงเวทภายในอุปกรณ์เล่นแร่แปรธาตุขนาดใหญ่ จากนั้นนางก็กดปุ่มเริ่มการทำงาน
บริษัท ‘ของขวัญจากธาตุ’ ได้พัฒนาอุปกรณ์การเล่นแร่แปรธาตุที่เรียบง่ายนี้ขึ้นเพื่อให้อุปกรณ์เหล่านี้สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าได้ และทำให้คนทั่วไปสามารถใช้งานพวกมันได้ด้วย ด้วยเหตุนี้จึงมีการนำอุปกรณ์การเล่นแร่แปรธาตุนี้ไปใช้อย่างแพร่หลายในสถานที่ต่างๆ รวมถึง ‘บริษัทรถไฟไอน้ำเวทมนตร์’ ‘พระราชวังเนคโซ’ คฤหาสน์และสวนของขุนนาง ห้องแสดงดนตรี โรงละครโอเปร่า และศาลากลาง
จากการตรวจสอบยืนยันว่าไม่มีสิ่งของต้องคำสาปหรืออันตรายในกระเป๋าเดินทาง หลังจากตรวจสอบเรียบร้อย หญิงสาวก็เปิดกระเป๋าเพื่อคัดกรองสิ่งของด้วยตัวของนางเองอีกครั้ง นางพบว่าของส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าธรรมดาๆ ยาสูบจากบริแอนน์บ้างเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีของสีขาวดำที่ห่อด้วยผ้าสีเทา
“สเต็กสูตรพิเศษ?” นางถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ปากของรามิโร่กระตุก “ใช่”
“ค่าบริการวันละหนึ่งเหรียญเงิน รวมเป็นเจ็ดเหรียญพอดี” นางผูกเชือกและติดป้ายกับกระเป๋า จากนั้นนางก็นำกระเป๋าไปเก็บที่โกดังด้านหลัง และวางไว้บนชั้นวางตามประเภทของสัมภาระ
หลังจากที่นางเดินกลับมา รามิโร่ก็ปล่อยเหรียญเงินทั้งเจ็ดเหรียญจากมือของเขาให้ร่วงลงบนโต๊ะเคาน์เตอร์ พร้อมกับหรี่ตาฟังเสียงเงิน
“นี่คือใบเสร็จรับเงินของท่าน โปรดเก็บไว้จนกว่าท่านจะมารับของในวันสุดท้าย” พนักงานหญิงส่งใบเสร็จรับเงินที่ประทับตราด้วยหมึกเวทมนตร์พิเศษให้รามิโร่ด้วยความเคารพ มีเพียงนักเวทของทางการเท่านั้นที่สามารถปลอมแปลงแท่นหมึกได้ แต่พวกเขาคงไม่ยอมทำเพื่อเงินเล็กๆ น้อยๆ เพียงแค่นี้
รามิโร่หยิบใบเสร็จและพยักหน้าเขายังคงเคี้ยวยาสูบอยู่ “ขอบคุณ”
จากนั้นเขาก็สอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อทักซิโด้แล้วมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟไอน้ำเวทมนตร์ เมื่อเขาเข้าใกล้ถังขยะสีเงินเข้ม เขาก็ดึงมือขวาออก และโยนกระดาษลงในถังขยะ
กระดาษสีดำตกลงมาอย่างช้าๆ และแตกออกเป็นผีเสื้อจำนวนนับไม่ถ้วนเมื่อสัมผัสกับลมเพียงเล็กน้อย และหายไปโดยไม่เหลือร่องรอย
หลังจากนั้นรามิโร่ก็เข้าไปในห้องน้ำ เขาสำรวจสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวังด้วยสีหน้าที่ปราศจากความกังวล หลังจากยืนยันว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ ตัวเขา เขาก็หันหน้าไปทางกระจกและบีบเข้าที่หน้าของตัวเอง ทั่วทั้งร่างของเขาดิ้นไปมาอย่างผิดปกติราวกับเมือก
วินาทีต่อมาเขาได้กลายร่างเป็นหญิงสาวสวยที่มีรูปร่างยั่วยวน ชุดทักซิโด้ของเขาก็เปลี่ยนเป็นชุดเดรสสีม่วงเช่นกัน ตรงคอเสื้อและข้อมือยังคงมีรอยยับย่นอยู่นิดหน่อย
เมื่อรามิโร่มองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าเข้มที่น่าหลงใหลในกระจก เขาก็ยิ้มให้กับ ‘นาง’ “ไม่ได้เจอกันนานเลย เอเวลิน่า บางครั้งข้าก็ค้นพบว่าการเป็นผู้หญิงนั้นน่าสนใจกว่าการเป็นผู้ชายมากนัก”
‘เอเวลิน่า’ ไม่ตอบสนองตามปกติ
หลังจากจัดระเบียบเสื้อผ้าของนาง และสวมหมวกปีกกว้างที่มีริบบิ้นยาวสวยงามที่นางเสกขึ้นมาจากอากาศที่เบาบาง จากนั้นรามิโร่ก็ออกจากห้องน้ำอย่างสง่างาม และขึ้นรถไฟไอน้ำเวทมนตร์ที่เพิ่งมาถึง
“เอเวลิน่า เจ้ากลับมาจากบริแอนน์แล้วเหรอ?” ชายหนุ่มลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยความประหลาดใจ
รามิโร่ยิ้มหวาน “ใช่แล้ว การพัฒนาเวทมนตร์ในอัลลินเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้ ถ้าข้ายังอยู่ในบริแอนน์ ข้าก็จะปรับตัวตามไม่ทัน ดังนั้นข้าจึงกลับมา”
“วิเศษมาก คนรักของเจ้าอยู่ไหน” ชายหนุ่มกระตือรือร้นที่จะเชิญเอเวลิน่าให้นั่งลง
จากนั้นรามิโร่เปลี่ยนท่าทางเป็นเศร้าโศก “เราเลิกกันแล้ว”
“อะไรน่ะ?” ชายหนุ่มข่มความสุขลง และปลอบประโลมนางด้วยความเศร้า “จงร่าเริงเถิด สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง”
รามิโร่เฝ้ามองด้วยความเศร้าโศกในขณะที่ชานชาลาลับหายไปจากมุมมอง เมื่อฟังเสียงหวูดรถไฟและเสียงล้อที่กระทบกับรางแล้ว รามิโรก็คิดอย่างโกรธๆ
“แล้วใครล่ะ บนโลกใบนี้”
เอเวลิน่า ไม่ได้พูดถึงผู้ชายคนนี้ หลังจากที่นางถูกควบคุม…
“ความเศร้าอันเงียบงัน” นางระบายออกมาทำให้ชายหนุ่มมึนงง ถึงกับทำให้เขาพูดไม่ออก เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว รถไฟไอน้ำเวทมนตร์ค่อยๆ ขึ้นไปถึงหาอัลลิน
เมื่อพวกเขาผ่านเกราะป้องกันเมืองของอัลลินรามิโร่ก็หรี่ตาลง เขารู้สึกได้ถึงพลังของเกราะป้องกันเมืองที่ผ่านร่างกายของเขา
ตามที่คาดไว้ แม้ว่าอัลลินจะดูเหมือนจะเปิดกว้างเหมือนเมืองอื่นๆ แต่การตรวจสอบความปลอดภัยที่ซ่อนไว้นั้นเข้มงวดเป็นพิเศษ โชคดีที่ความสามารถ ‘พลังดัดแปลงเนื้อหนัง’ ของเขาทำให้เขาผ่านไปได้ไปในฐานะ ‘เอเวลิน่า’ ตัวจริง
รถไฟไอน้ำเวทมนตร์หยุดที่สถานี รามิโร่มองเห็นดวงดาวที่ส่องประกายระยิบระยับจากหอคอยเวทมนตร์สำนักงานใหญ่ของสภาจากระยะไกลโดยมีความพลังเทียบเท่ากับดวงอาทิตย์สีแดงบนท้องฟ้า
“เกิดอะไรขึ้น?” รามิโร่จำได้ว่ามันคืออะไร แต่เขาก็ถามยังถามออกมา
ชายหนุ่มตรวจสอบอย่างรอบคอบ และตอบว่า “ดูเหมือนว่าจะเป็นประตูมิติสู่ดินแดนใหม่ เป็นไปได้ไหมที่เหล่ามหาจอมเวทจะกลับมาจากการตรวจสอบอาณาจักรลึกลับแล้ว?”
“เราจะรู้ก็ต่อเมื่อเราเข้าไปดูใกล้ๆ” รามิโร่ตอบยิ้มๆ
นี่ดูเหมือนจะเป็นโอกาส แต่ก็ดูเหมือนจะบังเอิญเกินไป
อย่างไรก็ตาม รามิโร่ไม่ได้ละทิ้งโอกาสดังกล่าว ในฐานะของผู้พิทักษ์ราตรีอันดับที่สิบสาม พลังและความสามารถของเขาสามารถคว่ำพวกที่อยู่ในระดับเก้าที่แข็งแกร่งได้มากมาย ด้วยความเด็ดเดี่ยวและความมุ่งมั่นที่จะชิงลงมือทำให้เขากลายเป็นตัวเองที่เคยเป็น ผู้ที่เคยชินกับการวางแผนและวางอุบายจะไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะเข้ามาในลักษณะนี้
“แค่สองจุดเจ็ดวินาที…” รามิโร่พึมพำกับตัวเอง นี่เป็นเวลาที่เขามีก่อนที่เกราะป้องกันเมืองจะตอบสนองเนื่องจากเกราะป้องกันเมืองของอัลลิน ยังไม่ได้ทำงานอย่างเต็มที่ เขาไม่มั่นใจว่าเขาจะสามารถฆ่าลูเซียน อีวานส์และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
…
บนชั้นที่สามสิบสองในหอคอยเวทมนตร์สำนักงานใหญ่ของสภา ภายในห้องโถงใหญ่มีประตูลวงตาที่มีความสูงห้าเมตรและความกว้างสามเมตร
ประตูถูกสร้างขึ้นจากวงเวทที่ซับซ้อนซึ่งประกอบด้วยอัญมณีและวัตถุหายากมากมายนับไม่ถ้วน รังสีของดวงดาวที่ส่องประกายออกมาจากด้านบน และนักเวทหลายคนก็รวมตัวกันอยู่บริเวณรอบๆ
“อาจารย์ขอรับ ทำไมนักเวทและผู้วิเศษระดับสูงหลายคนมารวมตัวกันเยอะขนาดนี้?” ลูเซียนที่ไม่ได้รับการเตือนล่วงหน้า และมาถึงหลังจากที่เขาตรวจพบความผิดปกติเท่านั้น
เฟอร์นันโดที่สวมเสื้อคลุมเวทมนตร์สีแดงสดของเขาเช่นเคยกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เผ่าพันธุ์ในโลกใบนี้เป็นปกติ แต่สภาพแวดล้อมของโลกประหลาดมาก ทุกซอกทุกมุมเต็มไปด้วยบรรยากาศกแปลกๆ ที่กดทับพลังวิญญาณของเราอย่างหนัก แม้แต่สัมผัสของดักลาสก็แผ่รัศมีได้เพียง 300 เมตร โลกใบนี้ถูกแบ่งออกดินแดนต่างๆ นับไม่ถ้วนจากเส้นกั้นพื้นที่มากมายที่ยังไม่สมบูรณ์เสียทีเดียว คนปกติแทบจะไม่รู้สึก คนในโลกใบนั้นรู้แค่ว่ามีโลกใบเดียว แต่สำหรับนักเวทชั้นตำนานอย่างพวกเรา นี่หมายความว่าการบินแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะอาจชนเข้ากับเส้นกั้นดินแดนเอาง่ายๆ”
“ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คงเป็นเรื่องยากมากที่จะหาอัลเทอร์นาและสิ่งมีชีวิตปริศนาพบ ทั้งสองตนคงป้องกันตัวจากพลังของเวทพยากรณ์ได้ไม่ยาก…” ลูเซียนคิดคร่าวๆ ว่าเหตุใดนักเวทและผู้วิเศษระดับสูงจำนวนมากจึงรวมตัวกันที่นี่ บางครั้ง ความแข็งแกร่งก็ขึ้นอยู่กับจำนวนในช่วงเวลาเช่นนี้
เฟอร์นันโดพยักหน้าเห็นด้วยและอธิบายต่อ “เราต่อสู้กับศาสนจักร’ สมเด็จพระสันตะปาปามีส่วนเกี่ยวข้อง และทำให้เราตกอยู่ในวังวน อย่างไรก็ตาม กำลังพสำรองที่พวกเขาสามารถส่งตามหลังเรามานั้นไม่เพียงพอที่จะล้อมและฆ่าพวกเราได้ จากนั้นหลังจากค้นพบลักษณะเฉพาะของดินแดนใหม่ เราก็บรรลุข้อตกลงได้โดยปริยายเพื่อหยุดการต่อสู้ ความสำคัญสูงสุดในตอนนี้คือการสำรวจโลกใหม่และค้นหาที่อยู่ของอัลเทอร์นา การต่อสู้โดยตรงจะทำให้ฝ่ายอื่นๆ ได้เปรียบ”
“โลกใหม่…” ลูเซียนสงสัยว่า ถ้านั่นหมายความว่านาตาชาจะสามารถนำอัศวินอาภาของราชรัฐไวโอเล็ตไปที่นั่นได้ด้วย
เฟอร์นันโดสังเกตว่าลูเซียนไม่ได้ให้ความสนใจ เขาจึงยิ้ม และพูดว่า “จากการคำนวณเบื้องต้น ดินแดนใหม่มีขนาดใหญ่กว่าโลกหลักครึ่งหนึ่ง ดังนั้นนี้จึงถือได้ว่าเป็นโลกใหม่ หากใครสามารถอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของได้ พวกเขาก็จะได้รับทรัพยากรจำนวนมหาศาล”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วทำไมถึงไม่เรียกนักเวทระดับกลางด้วยล่ะ? เมื่อเทียบกันแล้วจำนวนนักเวทผู้วิเศษระดับสูงค่อนข้างจะน้อย” ลูเซียนถามอย่างงงงวย
เฟอร์นันโดส่ายหัว “นั่นเป็นเพราะสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังพิเศษมีอยู่ในโลกนี้ ความสามารถของพวกเขาเหนือกว่านักเวทระดับสูงมากเกินไป การส่งนักเวทระดับกลางเข้าไปนั้นจะส่งผลให้สูญเสียจำนวนมากเท่านั้น”
“สิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังพิเศษ?” ลูเซียนไม่เคยได้ยินเฟอร์นันโดพูดถึงสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังในลักษณะนี้
สีหน้าของเฟอร์นันโดดูเคร่งขรึม “เหล่าพระเจ้าเทียมเท็จที่เกิดขึ้นในช่วงแรกของสงครามแห่งรุ่งอรุณ เป็นพวกสัตว์ประหลาดนานาชนิดที่ทรงพลัง แต่ว่า ไม่รู้ทำไม พวกมันสามารถมอบพลังให้กับผู้ศรัทธาได้ เช่นเดียวกับอสูรและปีศาจ สภาพจิตพวกมันดื้อด้านมาก เราจับตัวพวกมันมาได้ตัวหนึ่งและกำลังศึกษาอยู่”
“ถูกจับได้…” จู่ๆ ลูเซียนก็รู้สึกว่า ‘พระเจ้าเทียมเท็จ’ เป็นสัตว์ที่ถูกล่าอย่างน่าสงสาร
เฟอร์นันโดสังเกตว่านักเวทและผู้วิเศษระดับสูงกำลังจะเข้าสู่ประตูมิติไปยังดินแดนใหม่ เขามองไปที่ลูเซียนและเตือนว่า “เลิกคิดเลยว่าเจ้าจะได้ไป อยู่เฉยๆ ในอัลลิน และพัฒนาเวทมนตร์ของเจ้าไป จนกว่าพลังของเจ้าจะสูงเหมือนอันดับในบัญชีกวาดล้าง จนกว่าจะถึงตอนนั้น ก็ไม่ควรเดินเตร็ดเตร่ไปมา อย่าคิดที่จะมีส่วนร่วมในดินแดนลึกลับนี้ด้วย”
แต่พลังสูงเท่ากับอันดับ ‘บัญชีกวาดล้าง’ ของลูเซียนน่าจะเป็นระดับตำนาน… ลูเซียนถูคางด้วยความหงุดหงิด
เฟอร์นันโดไม่ได้พูดอะไรอีก และหันไปแสดงท่าทางให้ทอมป์สันเข้าสู่ประตูมิติไปยังดินแดนใหม่ พร้อมกับเขา
เมื่อเขาเข้าไปในประตู กองกำลังเสริมก็หยุดการเคลื่อนย้าย ตอนนี้รอบๆ ประตูมิติมีเพียงเพื่อน และนักเวทฝึกหัดหลายคนเท่านั้น การสำรวจครั้งนี้อันตรายกว่าครั้งก่อนมาก นี่อาจจะเป็นการอำลาที่ดีครั้งสุดท้ายของพวกเขา
ท่ามกลางฝูงชน รามิโร่ที่กำลังเฝ้าดูดวงดาวที่สลายไป และเริ่มคิดคำนวณอีกครั้ง ในไม่ช้าประตูมิติไปยังดินแดนใหม่ จะถอยหลังกลับสู่สภาวะกึ่งประจุ
ด้วยพลังงานที่กระจัดกระจายของประตูมิติ เวลาที่เกราะป้องกันหอคอยเวทมนตร์อัลลินและเกราะป้องกันเมืองจะมีปฏิกิริยาตอบโต้อยู่ที่เจ็ดวินาที
เพื่อหลีกเลี่ยงการเตือนภัยของลูเซียน เขาเพียงแค่มองไปที่ลูเซียนในครั้งแรก และไม่สนใจเขาในเวลาต่อมา
“เจ็ดวินาที…”
โอกาสเป็นสิ่งสำคัญ ลงมือตอนนี้!