Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - ตอนที่ 508
บทที่ 507 การเปลี่ยนแปลงในฤดูร้อน
ไม่ไกลจากหุบเขามรณะซึ่งพังทลายไปแล้ว เฟอร์นันโด และเบิร์กเนอร์เหาะลอยอยู่กลางอากาศมองดูความเสียหาย พลางคะเนอุณหภูมิและพลังของการระเบิดจากร่องรอยที่น่าพิศวงและหลุมขนาดมหึมา
“ถ้านี่เป็นเวทระเบิดจริงๆ ดวงอาทิตย์จะไม่ใช่ดาวที่ระเบิดตลอดเวลาเลยเหรอเนี่ย?” เบิร์กเนอร์ถามอย่างพูดไม่ออก
ไม่ใช่เพราะว่าเขาต่อต้าน ‘ระเบิดฟิวชัน’ แต่เพราะเขาแค่รู้สึกพ่ายแพ้ในฐานะศาสดาพยากรณ์ เมื่อดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นดาวที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญทางดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ ได้เผยความลับส่วนหนึ่งในที่สุด
หลังจากเฟอร์นันโดสังหารเทพอสูรจอมเวท-ลิช เบิร์กเนอร์ไม่ได้จากมาด้วยความโกรธจัด จากเหตุผลของคอนกัส เห็นได้ชัดว่ามหาจอมเวทที่ยังมีชีวิตสองคนนั้นมีความสำคัญมากกว่านักเวทชั้นตำนานที่ตายไปแล้ว ถ้าไม่สนใจเรื่องการป้องกันตัวเองของคอนกัสและทำตามกฎของสภาเวทมนตร์ สิ่งที่เฟอร์นันโดทำก็ไม่ผิดเช่นกัน
อาจเป็นเพราะว่า ‘เจ้าแห่งวายุ’ มักจะปฏิบัติตามกฎของสภาเวทมนตร์ ผู้คนจึงลืมว่าเขาหัวเสียได้ง่าย ไม่เพียงแต่กับคำถามวิชาการ หรือวิธีที่เขาได้ระดับชั้นตำนานและฉายาของเขา วันที่เขาโจมตีอย่างกะทันหันที่เบิร์กเนอร์รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลและเป็นไปตามคาดของ ‘เจ้าแห่งวายุ’ ดังนั้น เขาจึงยอมรับผลด้วยรอยยิ้มขมขื่น
เฟอร์นันโดส่ายศีรษะ “พูดในทางเทคนิคก็คือ มันไม่ใช่เวทมนตร์ระเบิด ข้าไม่เจอร่องรอยที่มีลักษณะเฉพาะใดๆ ที่เกิดจากเวทมนตร์ระเบิดแบบดั้งเดิมเลย”
เขาตั้งใจเพิ่มคำว่า ‘แบบดั้งเดิม’ เข้าไปเมื่อกล่าวถึงเวทมนตร์ระเบิดของสำนักธาตุ เห็นได้ชัดว่าเขามองว่าสิ่งที่มาก่อนเขาเป็นวิธีใหม่ในการใช้เวทมนตร์ระเบิดซึ่งใกล้เคียงกับความลับของดวงอาทิตย์ ขณะเดินไปตามทาง กลุ่มแสงและแม่เหล็กไฟฟ้าบางส่วนสามารถรวมเข้ากับสาขาธาตุได้
“ถูกต้อง” แฮททาเวย์พยักหน้าเบาๆ และเห็นด้วยกับข้อสรุปของเฟอร์นันโด
เบิร์กเนอร์ ศาสดาพยากรณ์ผู้ไม่เก่งเรื่องธาตุ ถอนหายใจ “ข้านึกภาพไม่ออกเลยว่าลูเซียน อีวานส์ ได้สร้างเวทมนตร์อย่างนั้นขึ้นมา ยังไงก็ตาม ข้ามีความรู้สึกว่าเวลาได้เปลี่ยนไปแล้ว อาจจะเริ่มจากตอนนี้ก็ได้ ไม่สิ เพราะลูเซียนเสนอ ‘ทฤษฎีพลังงานควอนตัม’ อาร์คานาและเวทมนตร์จึงได้เข้าสู่ยุคน่าอัศจรรย์และน่าทึ่ง”
ในขณะที่เฟอร์นันโดและแฮททาเวย์ไม่ได้ตอบอะไรเบิร์กเนอร์ สีหน้าและความเงียบของพวกเขาก็บ่งบอกว่าพวกเขากำลังใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่ สิ่งที่ศาสดาพยากรณ์พูดต้องไม่ถูกเมินเฉยง่ายๆ
ในตอนนั้นเอง มีคนสองคนเหาะเข้ามาใกล้ มือของเฟอร์นันโดที่กำหมัดแน่นมาตลอดคลายออก และเขาวิจารณ์อย่างรุนแรง “คราวนี้เจ้าโง่เง่าจริงๆ! เจ้าไม่รู้ว่ามีคนตบตาเจ้าอยู่ และเจ้าถูกบีบให้เข้าประตูมิติไปยังดินแดนใหม่แบบนั้น! ถ้าคราวหน้าเจ้าสะเพร่าแบบนี้อีก ข้าคิดว่าข้าคงต้องไปเก็บศพเจ้าแล้วละ ถ้าหาเจอนะ!”
ลูเซียนแทบจะมาไม่ถึงเมื่อได้รับการทักทายเป็นพายุแห่งเสียงคำรามที่เขาคิดถึง เขารู้สึกค่อนข้างอบอุ่นที่ได้เห็นอาจารย์ของเขาโกรธ จึงรีบยอมรับผิด
“ท่านย่า เหตุใดท่านมาเร็วเช่นนี้? เราคิดว่าต้องรอจนค่ำหรือเช้าวันพรุ่งนี้เสียอีก” นาตาชามักได้ยินลูเซียนพูดถึงเสียงคำรามของอาจารย์ของเขาเสมอ นางสังเกตเสียงอย่างสนุกและคิดจะบันทึกเสียงเอาไว้เผื่อแกล้งลูเซียนคราวหลัง อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็เปลี่ยนเรื่องคุยเพราะเหตุผลบางอย่าง
แฮททาเวย์ดูอ่อนโยนมากขึ้นขณะที่นางจ้องมองนาตาชา และเอ่ยอย่างสบายๆ ว่า “เราสังหารคอนกัสและมาจากประตูมิติไปยังดินแดนใหม่ที่เขาสร้างขึ้น”
“ท่านฆ่าคอนกัสหรือ” ลูเซียนทั้งแปลกใจระคนดีใจ เขากังวลว่า ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ จะไม่สามารถสังหารคอนกัสผู้ซึ่งมีเครื่องรางกักพลังได้ และกังวลว่ามันจะมีปัญหาไม่รู้จบถ้าหมอนั่นหลบหนีไป เขาไม่ได้คาดหวังว่าอาจารย์ของเขาจะสนใจปัญหานี้
พวกเขาจะต้องควบคุมความรู้สึกกดดันเอาไว้มากใช่ไหม?
“มันสมควรตาย!” เฟอร์นันโดไม่เปลี่ยนความคิดตน จากนั้น เขาข่ม ‘ความโกรธ’ ไว้ แล้วฝืนยิ้มถาม “เวทมนตร์ของเจ้าเป็นไงบ้างล่ะ? ดวงอาทิตย์มายาที่เราเห็นวันก่อนนั่นเป็นฝีมือเจ้าด้วยใช่ไหม? แล้ว ‘จันทราสีเงิน’ กับ ‘สิ่งมีชีวิตของโลกแห่งวิญญาณล่ะ’?”
“อาจารย์ ท่านก็มองเห็นด้วยหรือครับ?” ลูเซียนไม่ได้คาดหวังว่าอาจารย์ของเขาจะมองเห็นมันจากที่ไกลๆ จากนั้น เห็นได้ชัดว่าบางสิ่งที่สำคัญที่สุดได้หายไปจากห้วงความคิดของเขาในตอนนั้น โลกใบนี้ซับซ้อนเกินกว่าที่เขาคิด
แฮททาเวย์ซึ่งยืนอยู่เงียบๆ มาตลอดพูดแทรกขึ้น “ทุกคนมองเห็นมัน มันเป็นเวทมนตร์ในตำนานที่มาจากการเล่นแร่แปรธาตุใหม่ใช่ไหม?”
นางกระตือรือร้นมากกว่าคนอื่นๆ ราวกับว่ากำลังศึกษา ‘การเล่นแร่แปรธาตุใหม่’
“ใช่ครับ ข้าสังเกตปรากฏการณ์บางอย่างเมื่อตอนที่ข้าศึกษาการสลายของอะตอมและได้ข้อสรุปมากมาย หลังจากที่ข้าสังหารคอนกัสเป็นครั้งที่สอง ความรู้นั้นก็ผสมผสานกัน ประสานเข้าด้วยกันและโลกนี้ก็ให้ผลตอบรับแก่ข้า ข้าประสบความสำเร็จเรื่องต้นแบบของเวทมนตร์ในตำนานสองเวทมนตร์ที่มีปฏิกิริยากับสิ่งที่เราเห็น หลังจากนั้น ด้วยความช่วยเหลือของ ‘จันทราสีเงิน’ ข้าสร้างโครงเวท ‘เปลวเพลิงนิรันดร์’ ได้เสร็จสมบูรณ์ หรือ ‘พลังงานฟิวชันอะตอม’ ได้เสร็จสมบูรณ์และใช้มัน” ลูเซียนไม่ได้เผยทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษหรือสูตรมวล-พลังงาน แต่อธิบายจากปรากฏการณ์การทดลองที่จะเห็นได้ในการเล่นแร่แปรธาตุใหม่
การอนุมาน ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษนั้นไม่ยาก หากพิจารณาความรู้และผลงานของสภาเวทมนตร์ ใครก็ตามที่เอาชนะอคติของตนก็จะทำได้ภายในไม่กี่ปี อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพราะอคตินี่แหละที่ทำให้ลูเซียนไม่กล้าเอางานวิจัยให้อาจารย์ของเขาดูในทันที
ในขณะที่ทฤษฎีคลื่นและทฤษฎีอนุภาคของแสงนั้นเป็นพื้นฐานของกลุ่มย่อยต่างๆ และโลกแห่งปัญญา ความคิดเห็นเรื่องเวลาและอวกาศนั้นเป็น ‘สามัญสำนึก’ พื้นฐานที่จอมเวททุกคนใช้เพื่อทำความเข้าใจโลกนี้ ความคิดเห็นเหล่านี้มาจากความรู้สึกโดยสัญชาตญาณและไม่ผิดพลาดในแต่ละวัน ตัวอย่างก็คือ แม้แต่คนธรรมดาก็ยังมีความรู้สึกว่าเวลาแห่งความสุขมักจะไหลไปอย่างเงียบเชียบ
ดังนั้น สำหรับจอมเวทแล้ว เวลาสัมบูรณ์ เวลาอิสระนั้นเป็นสิ่งสำคัญพื้นฐานสำหรับโลกทัศน์ของพวกเขา เชื่อกันว่า ‘เวทหยุดเวลา’ เวทมนตร์ระดับเก้า เพียงแค่ทำให้พื้นที่หยุดนิ่งและชะลอการเคลื่อนไหว และเชื่อกันว่าเวทนี้ไม่ได้ทำให้เวลาเปลี่ยนแปลง เวทมนตร์นี้เหมือน ‘เวทยืดเวลา’ ฉบับปรับปรุง
ส่วนที่ทำให้เกิดความวุ่นวายของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษนั้นไม่ใช่สูตรมวล-พลังงาน แต่เป็นแนวความคิดว่าที่เวลาและที่ว่างมีความสัมพันธ์กัน โดยกล่าวว่าเวลาสัมพันธ์กับความเร็วและขึ้นอยู่กับสสารซึ่งเป็นพายุขนาดที่ไม่เล็กกว่าพายุที่เกิดจาก ‘ทฤษฎีควอนตัมพลังงาน’ ในขณะเดียวกัน มันก็แสดงว่าให้เห็นว่า ‘ทฤษฎีอีเธอร์’ นั้นล้าสมัย
อย่างไรก็ตาม การศึกษาเรื่องปฏิกิริยาฟิชชันและฟิวชันในเบื้องต้นนั้นไม่จำเป็นต้องใช้สูตรมวล-พลังงาน ตอนนี้ลูเซียนจึงยังไม่บอกอะไรเพื่อให้อาจารย์ของเขาค่อยๆ เข้าใจมัน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ลูเซียนก็ขออภัยอยู่ในใจ “อาจารย์ของข้ามักเป็นคนแรกที่ได้รับผลกระทบจากทฤษฎีใหม่ๆ ข้ารู้สึกขอโทษเขาจริงๆ ว่าแต่ฟิชชันและฟิวชันจะช่วยให้เขาได้ระดับสูงขึ้นได้ไหมนะ?”
เฟอร์นันโดถามอย่างจริงจัง “ปฏิกิริยาฟิวชันงั้นหรือ? อีกอันคือปฏิกิริยาฟิชชันงั้นหรือ?”
การสลายของธาตุต่างๆ ที่เห็นนั้นคือปฏิกิริยาฟิชชันอย่างแน่นอน นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดเขาจึงถามอย่างตื่นเต้น
“ปฏิกิริยาฟิวชันปลดปล่อยพลังงานเหมือนกับปฏิกิริยาฟิชชันไหม?” แฮททาเวย์ถามคำถามสำคัญ ดวงตาสีเทาฉายแววความกระตือรือร้น
พวกเขาลืมเสียสนิทว่าพื้นที่นี้อยู่ภายใต้การควบคุมของศาสนจักร หรือลืมไปว่าการระเบิดอย่างบ้าคลั่งของ ‘เวทพี่ใหญ่ไอวาน’ เกิดขึ้นหมาดๆ ทุกคนต่างเหาะไปเรื่อยๆ พลางถกกันเรื่องปฏิกิริยาฟิชชันและฟิวชันของอะตอม
ลูเซียนสอนนาตาชามาล่วงหน้าแล้ว นางจึงฟังอย่างเพลิดเพลินและพูดแทรกบ้างบางครั้ง เบิร์กเนอร์ ผู้ซึ่งไม่เก่งเรื่องธาตุรู้สึกอึดอัดจนออกจากการสนทนาแล้วคอยระแวดระวังแทน
หลังจากสรุปให้ฟัง ลูเซียนก็เอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ ท่านแฮททาเวย์ขอรับ วารันไทน์ต้องเห็นการระเบิดครั้งนี้ก่อนแล้ว”
“วารันไทน์น่ะนะ? มันจะกล้ามาที่นี่หรือ?” เจ้าแห่งวายุจ้องมองลูเซียน มีมหาจอมเวทสองคน มีศาสดาพยากรณ์ชั้นตำนานระดับสองหนึ่งคน เหตุใดพวกเขาจะต้องกลัวผู้นำนักพรตที่ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งนักบุญด้วยล่ะ?
ถึงแม้พระสันตะปาปาจะมาที่นี่ด้วยตนเอง เฟอร์นันโดก็ยังคงเชื่อในสมรรถภาพของพวกตน ตราบใดที่ไม่มี ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ ถึงแม้พวกเขาจะเอาชนะเขาไม่ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหนี นักเวทชั้นตำนานนั้นฆ่ายากกว่าในระดับอื่นๆ ยกเว้นพวกเขาจะถูกล้อมและมิติถูกปิดกั้น ทว่าตั้งแต่ศาสดาพยากรณ์มาอยู่ที่นี่ มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะซุ่มโจมตีและล้อมกรอบพวกเขา
ทั้งๆ ที่พูดอย่างนั้น เฟอร์นันโดก็ยังคงซ่อนความปรารถนาในการสำรวจอาร์คานา เขาพูดต่อ “กลับไปอัลลินกันเถอะ เจ้าเขียนรายงานประสบการณ์เรื่องจันทราสีเงินกับสิ่งมีชีวิตในโลกแห่งวิญญาณได้นะ บอกผู้คนเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับมาสเกลีนด้วยถ้าเจ้าอยากบอก เจ้าไม่สามารถเผชิญหน้ากับโลกแห่งวิญญาณคนเดียวได้หรอก”
คอนกัสมีข้อมูลทิ้งไว้อยู่บ้างที่ปราสาทของเขา ที่ทำให้เฟอร์นันโดรู้ว่าทำไมพวกเขาไล่ตามลูเซียน
นาตาชาใช้โอกาสนี้กล่าวลา นางพร้อมที่จะกลับไปหากลุ่มอัศวินที่ราชรัฐไวโอเล็ตส่งมา
“ไว้คุยกัน” นาตาไม่ได้รู้สึกเศร้าที่ต้องไป และแสดงท่าทางว่าให้ส่งข้อความคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าให้ลูเซียนพร้อมรอยยิ้ม นางเหาะออกไปอย่างสบายใจหลังจากแอบกระซิบอะไรบางอย่างแก่แฮททาเวย์
เมื่อเฟอร์นันโดเห็นว่านางไปแล้ว เขาก็ยิ้มออกมาอย่างน่ากลัวในทันที “ลูเซียน การไล่ตามความรักของเจ้าดูจะยากเย็นเสียเหลือเกิน”
มองออกหรือนี่? ลูเซียนถามอย่างเขินๆ “พูดอะไรน่ะขอรับ ท่านอาจารย์?”
“ฮ่าๆ ไม่ต้องอายหรอก ข้ามีประสบการณ์เรื่องความรักมาเยอะ มีอะไรที่ข้ายังไม่เจออีกล่ะ? เหตุผลเดียวที่ตอนนี้ข้ายังโสดเพราะข้าไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่น่ะสิ ถ้าเจ้าอยากถามข้าเรื่องพวกนี้ ถามมาได้เลย” เฟอร์นันโดแหย่ลูกศิษย์ของเขาอย่างชัดเจน
….
ในพระราชวังเนคโซ นครเรนทาโต เมืองหลวงของอาณาจักรโฮล์ม
เทียนสีขาวกำลังส่องแสงอยู่บนเชิงเทียนสีเงิน แสงสลัวสร้างบรรยากาศเงียบเหงาและโดดเดี่ยวตรงข้ามของพายุและฟ้าแลบแปลบปลาบด้านนอก
ซาร์ด ซึ่งสวมหมวกสีขาว มองกษัตริย์เฟลติสซึ่งนอนอยู่บนเตียง แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ชีวิตของพระองค์มาจนสุดทางเมื่อสองสามเดือนก่อน ทว่ามีพลังของเทพประคับประคองไว้ตั้งแต่ตอนนั้น อย่างไรก็ตามแม้แต่พลังของเทพก็ไม่อาจยื้อชีวิตของพระองค์ได้อีกต่อไป ทุกสิ่งถูกจัดสรรไว้แล้ว ฝ่าบาทต้องกลับคืนสู่อ้อมกอดของพระผู้เป็นเจ้าอย่างสงบ ความตายไม่ใช่ชะตากรรม ฝ่าบาทจะได้พบความสุขนิรันดร์และได้รับการไถ่บาปบนหุบเขาวิมานนั้น”
ดวงตาขุ่นมัวของเฟลติสใสขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่ความรู้สึกผิดของเขาถูกแทนที่ด้วยความรับผิดชอบต่อหน้าที่และการตัดสินใจแน่วแน่ เขาพูดตะกุกตะกัก “ท่านนักบุญซาร์ด… เร็กซ์ สิ่งทั้งหลาย… จะอยู่ในมือท่าน โฮล์มเป็นอาณาจักรที่พระเจ้าช่วยเหลือเสมอ… และมันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป”
เร็กซ์ ดยุกแห่งเฟรนเบิร์ก และประธานรัฐสภาแห่งขุนนางเศร้าโศกเสียใจอยู่ตรงหน้าองค์ราชาที่เขารับใช้มาเป็นเวลาหลายปี เขาจับมือเฟลติสวางบนเข่าข้างหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมจะทำตามความหวังของพระองค์”
“มันเป็นภารกิจของกระหม่อมที่ต้องเพิ่มความรุ่งโรจน์ให้แก่พระผู้เป็นเจ้า ฝ่าบาท ขอพระองค์มั่นใจได้ เจ้าชายจะไม่ตกนรกอย่างแน่นอน” ซาร์ดดึงไม้กางเขนตรงหน้าอกออกมา
เปรี้ยง สายฟ้าขนาดมหึมาฟาดลงมาจนห้องสว่างไสว เฟลติสหลับตาพลางยิ้ม มือขวาของเขาเลื่อนหล่นลงไป
….
ณ ที่พักของรัฐมนตรีการคลัง เคานต์เฮนสันตื่นจากความฝัน
“อะไรนะ? ฝ่าบาทกลับคืนสู่พระเจ้าแล้วงั้นหรือ? เตรียมรถม้าเดี๋ยวนี้!” เคานต์เฮนสันลุกพรวดขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกไปทั้งชุดนอน คู่รักของเขารีบตามไปแล้วสวมเสื้อคลุมสีดำให้แล้วส่งไม้ค้ำให้เขา
เคานต์เฮนสันผู้ไร้ความสง่างามเดินกึ่งวิ่งไปยังรถม้าที่ประตูคฤหาสน์ จากนั้นตะโกนว่า “เร็ว! ไปพระราชวังเนคโซ!”
เมื่อไม่ได้เปิดใช้พลังสายเลือด เขาจึงวิ่งช้ากว่ารถม้าที่ลากด้วยม้าเกล็ดมังกร แต่ในอีกด้านหนึ่ง การนั่งรถม้าไปที่พระราชวัง จะแสดงว่าเขาตื่นตระหนก ดังนั้นเขาจึงทำความสะอาดเสื้อผ้าในรถม้าเพื่อให้เห็นว่าเขาสงบเพื่อสร้างความมั่นใจแก่พวกขุนนาง ทั้งที่เขาเองก็วิตกกังวล
เปรี้ยง ฟ้าแลบปลาบ เสียงฟ้าร้องลั่นกึกก้อง อันส่งผลต่อหัวใจของเคานต์เฮนสัน รถม้าแล่นไปอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่คนบังคับม้าจะทำได้ ทำให้โคลนกระเซ็นไปทั่ว
ล้อทั้งสี่หมุนอย่างรวดเร็วจนรถทั้งคันเกือบล้มตอนเลี้ยว
ผลก็คือหน้าต่างของรถเปิดออก ลมแรงพัดเข้ามา เม็ดฝนขนาดเท่าเมล็ดถั่วสาดเข้ารถ ค่ำคืนด้านนอกมืดมิดราวกับหมึกดำและดูเหมือนเต็มไปด้วยความน่ากลัวไม่สิ้นสุด
รถม้าหยุดอยู่นอกพระราชวังเนคโซ เคานต์เฮนสันฝ่าพายุรุดเข้าไปในพระราชวัง จากนั้น เขาเห็นดยุกเจมส์กับดยุกรัสเซลผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ประตูทางเข้า
ฟบทที่ 508 ผู้เข้ารับคัดเลือก
ในรัฐสภาแห่งขุนนาง พระราชวังเนคโซ
ฝนตกหนักราวฟ้ารั่วด้านนอกพระราชวังกับเสียงสายฟ้าดังลั่นและฟ้าแลบแปลบปลาบราวกับเป็นวันสิ้นโลก แต่สมาชิกทุกคนของรัฐสภาแห่งขุนนางในนครเรนทาโตกลับมารวมตัวกันในห้องโถง มองเห็นวิกผมสีขาวและผ้าคลุมไหล่สีดำอยู่ทั่วห้อง
ถ้าไม่ได้เป็นเพราะว่าพลังของสายฟ้า ซึ่งทำให้บรรดาผู้มีพลังขั้นสูงที่ระดับต่ำกว่าอัศวินทองคำกลัวจนไม่กล้าเหาะมาที่นี่ สมาชิกทั้งหมดของรัฐสภาแห่งขุนนางก็คงจะมารวมตัวกัน และเวลาผ่านไปแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้นนับตั้งแต่กษัตริย์เฟลติสกับเจ้าชายแพทริคกลับคืนสู่พระเจ้า
แน่นอนว่า เหล่าขุนนางที่ไม่สามารถมาได้ก็ได้รู้จากทางไกลผ่านทางผู้แถลงและสมาชิกในกลุ่มในนครเรนทาโตและแสดงความคิดเห็นของพวกตน
พวกเขาขอบคุณบริษัทโทรศัพท์และโทรเลขอัลลินเป็นอย่างมาก ในขณะที่ ‘โทรศัพท์แบบมีสาย’ ที่พวกเขาสนับสนุนนั้นจำกัดอยู่แค่นครเรนทาโตและเมืองใหญ่ๆ ในเขตปกครองไม่กี่แห่งอันเนื่องมาจากโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อนและค่าใช้จ่ายมหาศาลที่ตามมา มันก็เป็นวิธีการติดต่อสื่อสารเพียงอย่างเดียวสำหรับเหล่าขุนนางที่ไม่สามารถเดินทางมาได้และไม่สามารถใช้ช่องเทเลพอร์ตซึ่งมีราคาแพงในสภาพอากาศแบบนี้ ขุนนางหลายคนจึงตัดสินใจช่วยสนับสนุนหลังจากเห็นประโยชน์ของมัน
“เจ้าชายกลับคืนสู่พระเจ้าได้อย่างไร?” เคานต์เฮนสันอาบน้ำร้อนในห้องน้ำในรัฐสภาแห่งขุนนางแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าและวิกผม ก่อนหน้านี้เขาไม่ยังตกใจไม่หาย เขาติดดอกไม้กระดาษสีขาวและนั่งลงตรงแถวหน้า พลางถามเจมส์ ดยุกแห่งแพฟอส รัสเซล ดยุกแห่งวูล์ฟเบิร์ก และไวเคานต์แฮร์ริสันซึ่งมาหลังจากแจ้งข่าวแก่สภาเวทมนตร์
สี่คนในบรรดาขุนนางเหล่านี้เป็นผู้นำของกลุ่มเสรีนิยมนอกเหนือจากเจ้าชายแพทริค พวกเขาจะต้องได้ความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่เสียก่อน ไม่เช่นนั้นพวกขุนนางที่อยู่ฝ่ายตนก็จะสูญเสียความมั่นใจ
ในรัฐสภาแห่งขุนนาง ดยุกเจมส์สวมวิกผมสีขาวเพื่อปกปิดศีรษะล้านเลี่ยน เขาตอบห้วนๆ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่ข้ากับรัสเซลไปถึงพระราชวังเนคโซเรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว พวกเราตรวจดูพระวรกายของเจ้าชายแต่ไม่พบความผิดปกติใดๆ อันที่จริงคือพระองค์ทรงล้มพับไปเพราะความเศร้าพระทัยอย่างหนัก ข้าไม่คิดว่าจะมีคนลอบสังหารพระองค์ในเมื่อมีท่านคริโทเนียคุ้มกันอยู่”
คริโทเนีย ผู้มีสมญานามว่า ‘เจ้าแห่งกาล’ เป็นหนึ่งในสองวีระอัศวินแห่งอาณาจักรโฮล์ม ในโลกนี้ อัศวินที่สามารถเลื่อนถึงชั้นตำนานระดับสามมีไม่ถึงห้าคน เขากับรูดอล์ฟที่สองก็อยู่ในกลุ่มนั้น ส่วนบรรดาวีระอัศวินที่ได้ชั้นตำนานระดับสูง นอกจากอมนุษย์อย่างเช่นเจ้าชายแดรกคูลา เจ้าชายแห่งนรก และเจ้าแห่งนรกขุมแรก มีมนุษย์เพียงคนเดียว นั่นคือนักบุญเมลแม็กซ์ หัวหน้าอัศวินวิหารและพระคาร์ดินัลหลวง
ถึงแม้เจมส์จะบอกว่าไม่มีทางที่การลอบสังหารจะเกิดขึ้นภายใต้การดูแลของคริโทเนีย ทว่าเขาก็ยังไม่มั่นใจ
“ท่านคริโทเนียเป็นวีรบุรุษในสงครามแห่งรุ่งอรุณและเป็นวีรอัศวินที่บดขยี้บัลลังก์ การปกครองของจักรวรรดิเวทมนตร์ในอาณาจักรโฮล์มพร้อมกับกษัตริย์เฟลติส อย่างไรก็ตามเขาใกล้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว เขาจำเป็นต้องพิจารณาและเตรียมการเรื่องต่างๆ มากกว่าคนทั่วไป” ดยุกรัสเซลพูดอย่างไร้อารมณ์ “เขาไม่สามารถสังเกตสถานการณ์ได้อย่างเงียบๆ เท่ากับท่านวินสตันแห่งตระกูลโซเลเฟน”
วินสตัน ผู้มีสมญานามว่า ‘บุรุษรัตติกาล’ เป็นวีรอัศวินอีกคนหนึ่งในอาณาจักรโฮล์ม ตอนนี้เขาดูแลอาณานิคมของอาณาจักรในมิติใหม่สองสามแห่ง
ไวเคานต์แฮร์ริสันยิ้มเยาะ “ข้าคนหนึ่งละที่ไม่เชื่อว่าเจ้าชายจะสิ้นพระชนม์เพราะความโศกเศร้า”
แฮร์ริสัน เฮนสัน และคนที่เหลือรู้ว่าเจ้าชายแพทริคครองตำแหน่งรัชทายาทมาสี่ทศวรรษ เรื่องอำนาจที่ขัดแย้งกันระหว่างเจ้าชายกับกษัตริย์ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งสองคนไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันมานานแล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีความคิดแตกต่างกันสุดขั้ว ถ้าบอกว่าเจ้าชายแพทริคสิ้นพระชนม์เพราะความปิติยินดี พวกขุนนางน่าจะเชื่อมากกว่าเสียอีก
“เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว เราต้องลืมเรื่องเศร้าเสียใจแล้วสนใจสองเรื่อง เรื่องแรก เราต้องขอให้นักเวทของสภาเวทมนตร์แอบสืบเรื่องการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชาย เรื่องที่สอง เราต้องทำตามแผนสำรองและหนุนให้เดวิดขึ้นครองบัลลังก์” หลังจากเคานต์เฮนสันคลายความตกใจลงแล้ว ดวงตาสีฟ้าของเขาก็ฉายแววคมกริบอีกครั้ง
เจ้าชายแพทริคมีพระอาการไม่ดีอยู่แล้ว เหล่าขุนนางฝ่ายเสรีนิยมจึงเตรียมใจไว้แล้วว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์ก่อนองค์กษัตริย์ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ตื่นตระหนกหลังจากที่ผ่านเรื่องน่าตกใจตอนแรกแล้ว
บิดาของเดวิดเป็นลูกพี่ลูกน้องชองกษัตริย์เฟลติส และเป็นหลานและลูกศิษย์ของผู้วิเศษมอร์ริส ถึงแม้ว่าเขาจะเสียชีวิตระหว่างการผจญภัย แต่เดวิดซึ่งเป็นอัศวินหลวงนั้นฝักใฝ่กลุ่มเสรีนิยมทั้งจากเรื่องประจำวันและภารกิจหน้าที่ภายใต้การอบรมสั่งสอนจากบิดา เขาเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในราชวงศ์สำหรับเหล่าขุนนางหัวก้าวหน้า สายเลือดของเขาก็ใกล้ชิดมากเช่นกัน ตามกฎของขุนนาง ในบัญชีรายชื่อ เขาเป็นทายาทลำดับสี่
“ตกลง” ดยุกเจมส์พยักหน้าขึงขังและแจ้งผลการหารือแก่ขุนนางฝ่ายเสรีนิยมคนอื่นๆ
ต่อมา เร็กซ์ หรือ ‘กริฟฟินของกษัตริย์’ ประธานรัฐสภาแห่งขุนนางซึ่งสวมผ้าคลุมไหล่สีน้ำเงินกับวิกสีขาวเดินเข้ามา ตามด้วยชายผมดำมีรอยยิ้ม ดวงตาสีเทาของเขาบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาเป็นคนในตระกูลฮอฟเฟนเบิร์ก
“กอร์ดอน!” เหล่าขุนนางฝ่ายเสรีนิยมเริ่มจริงจัง
ดยุกเจมส์ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก “เขาไม่ได้กล่าวหรือว่าเขาจะรับใช้พระผู้เป็นเจ้าด้วยชีวิต? เขาไม่ได้ออกจากกลุ่มอัศวินดาบแห่งสัจธรรมและไปยังแลนซ์ นครศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเข้ากลุ่มอัศวินแห่งวิหารหรือ?”
“อัศวินอาภาระดับแปดไม่เกินห้าสิบ ‘ดาบแตกหัก…” ดยุกรัสเซลกับไวเคานต์แฮร์ริสันกระซิบกันอย่างจริงจัง
เสียงกังวานในห้องโถง ขุนนางคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเสรีนิยมหรืออนุรักษ์นิยมเริ่มกระซิบกระซาบกัน เคานต์กอร์ดอนเป็นอัจฉริยะและเป็นคนแปลกของตระกูลฮอฟเฟนเบิร์ก เขาได้เป็นอัศวินอาภาเมื่ออายุเพียงสามสิบห้าปี เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยหัวหน้ากลุ่มอัศวินดาบแห่งสัจธรรมของกษัตริย์เฟลติส อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้ศรัทธาในศาสนา เขาเดินทางไปนครศักดิ์สิทธิ์เมื่ออายุสี่สิบปี และเข้าร่วมกลุ่มอัศวินแห่งวิหาร
ลำดับสายเลือดของเขาห่างจากกษัตริย์เฟลติสมากกว่าเดวิด อย่างไรก็ตาม ระดับของเขาซึ่งได้เป็นอัศวินอาภานั้นมีผลมากพอที่จะทำให้เขามีสิทธิในการสืบทอดราชบัลลังก์เท่าๆ กับเดวิด ในขณะที่ตระกูลฮอฟเฟนเบิร์กไม่ใช่พวกไร้ชื่อเสียง ทว่าสมาชิกในตระกูลส่วนใหญ่กลับเป็นญาติลำดับห่างๆ หรือไม่ได้เป็นอัศวิน หรือไม่ก็เดินทางสายเวทมนตร์แล้ว จึงไม่มีคุณสมบัตินั้น
ดยุกเจมส์และฝ่ายเสรีนิยมต่างคิดว่าเร็กซ์จะสนับสนุนอเล็กซ์ หลานของเขาผู้ซึ่งเพิ่ง กระตุ้นสายเลือดแห่ง ‘ดาบแห่งสัจธรรม’ ดังนั้นในแง่ของพลังและความเกี่ยวข้องทางสายเลือด เดวิดจะต้องสืบทอดราชบังลังก์อย่างแน่นอน ไม่มีใครคาดคิดว่ากอร์ดอนจะกลับมา
เมื่อมีเสียงค้อนไม้ทุบโต๊ะ ห้องโถงของรัฐสภาแห่งขุนนางก็พลันเงียบกริบ
เรกซ์ดึงไม้กางเขนตรงหน้าอกออกมาแล้วกล่าวอย่างโศกเศร้า “กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของเรา กษัตริย์เฟลติส และองค์รัชทายาทผู้ทรงดำรงเกียรติยศ เจ้าชายแพทริคได้กลับคืนสู่พระเจ้าเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน ขอให้ยืนสงบนิ่งและขอให้พระผู้เป็นเจ้าแห่งหุบเขาวิมานเมตตาทั้งสองพระองค์ด้วยเถิด”
เจมส์และขุนนางคนอื่นๆ ยืนขึ้นแล้วดึงไม้กางเขนออกมาอย่างเงียบเหงาเศร้าสร้อย
ห้านาทีต่อมา เร็กซ์เปรยว่าทุกคนควรจะนั่งลง เขาพูดอย่างเด็ดขาด “เนื่องด้วยเจ้าชายแพทริค ผู้สืบทอดราชบัลลังก์แห่งอาณาจักรนี้ ได้กลับคืนสู่พระเจ้าเช่นกัน โดยปราศจากโอรสหรือธิดา รัฐสภาแห่งขุนนางจึงต้องเลือกผู้สืบทอดตามกฎ การเลือกจะยึดตามสิทธิในการสืบทอด โดยมีแนวคิดว่าพวกเขาจะต้องได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้า”
โดย ‘ได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้า’ เร็กซ์หมายความว่าพระคาร์ดินัลหลวงจะต้องมาประกอบพิธีสืบราชบัลลังก์
เร็กซ์ไม่อนุญาตให้เหล่าขุนนางพูดอะไร เขาชี้ไปที่กอร์ดอนซึ่งอยู่ข้างๆ “ราชตระกูลแห่งอาณาจักรโฮล์มนั้นอยู่ในอันตรายหลังจากการโจมตี ดังนั้น เคานต์กอร์ดอนจึงตัดสินใจพิจารณาสำหรับตระกูลของเขาและร้องขอการให้อภัยจากพระผู้เป็นเจ้า เขาออกจากกลุ่มอัศวินแห่งวิหารและกลับมาผ่านทางช่องเทเลพอร์ของศาสนจักร เขาเป็นอัศวินอาภาระดับแปด และมีสายเลือดบริสุทธิ์แห่ง ‘ดาบแห่งสัจธรรม’ ข้าขอเสนอให้เขาเป็นผู้สืบราชบัลลังก์ ขอให้ท่านทั้งหลายยกมือเพื่อออกเสียง”
“รอประเดี๋ยว” เจมส์ลุกขึ้นพูดเสียงดัง “ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตามกฎหมายแล้ว ถ้าสมาชิกมากกว่าสองในสามเห็นชอบและดยุกทั้งเก้าคนไม่มีใครคัดค้านจึงสามารถเลือกผู้สืบราชบัลลังก์ได้ กรณีนี้ใช่หรือไม่ ท่านประธานเร็กซ์?”
เร็กซ์มองเจมส์ด้วยแววตาหม่นหมอง “ใช่ และไม่ใช่ เมื่อผู้เข้ารับการคัดเลือกคนอื่นๆ ทั้งหมดได้คะแนนเสียงไม่ถึงหนึ่งในห้า ผู้เข้ารับการคัดเลือกคนสุดท้ายก็ไม่จำเป็นต้องมีข้อกำหนด ในกรณีเร่งด่วน ผู้เข้ารับการคัดเลือกที่ได้คะแนนเสียงมากกว่าครึ่งหนึ่งจะได้สืบราชบัลลังก์โดยตรง ข้าเชื่อว่าตอนนี้ก็เป็นกรณีเร่งด่วน เราไม่อาจปล่อยให้บัลลังก์ว่างได้”
“กรณีนี้จะเร่งด่วนหรือไม่ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า เราต้องการคะแนนเสียงจากทุกคน เอาละ ข้าขอเสนอเคานต์เดวิด สายเลือดของเขาใกล้ชิดกับกษัตริย์และมีสิทธิในการขึ้นครองบัลลังก์มากกว่าเคานต์กอร์ดอน นอกจากนี้เขายังเป็นอัศวินหลวงซึ่งได้กระตุ้นพลังแห่งสายเลือดแล้ว”
บนแท่น เจมส์ไม่ได้พูดอะไรแต่กวาดตามองขุนนางทั่วทั้งห้อง “ข้าไม่คิดว่าจะมีสมาชิกท่านใดจะคัดค้านการสืบทอดบัลลังก์โดยสายเลือด ใช่ไหม? หากผู้ใดเห็นชอบ ถ้าอย่างนั้นผู้เข้ารับการคัดเลือกที่มีระดับสูงกว่าลูกหรือหลานของกษัตริย์สามารถขออุทธรณ์และชิงตำแหน่งเมื่อพวกเขากำลังจะได้ตำแหน่งใช่ไหม?”
มันเป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องให้พวกขุนนางทราบข้อเท็จจริง ขุนนางทุกคนต้องการให้ทายาทสายตรงของตนสืบทอดตำแหน่ง ถ้าพลังสามารถชิงกันได้โดยอิสระ ตระกูลคงเต็มไปด้วยการลอบสังหารและการขัดแย้งในตระกูล
แน่นอนว่า นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่พวกเขายอมอยู่ภายใต้ศาสนจักร ศาสนจักรที่เป็นอิสระและมีอำนาจนั้นทำให้พวกเขาแน่ใจได้ว่าจะไม่มีใครเมินเฉยต่อกฎเพราะต้องการพลังของพวกเขา
ขุนนางฝ่ายอนุรักษ์นิยมคนหนึ่งลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับทุกคนอย่างอ่อนน้อม “ตามกฎแล้ว ความสามารถทางสายเลือดเป็นพื้นฐานของขุนนาง ส่วนพลังนั้นจะได้รับการพิจารณาในช่วงที่สืบทอด
หากพิจารณาระดับความแข็งแกร่งระดับอัศวินอาภาแล้ว ดยุกกอร์ดอนและเคานต์เดวิดนั้นเทียบเท่ากัน ดังนั้น การเลือกกอร์ดอนจึงไม่ถือว่าฝ่าฝืนกฎและจะไม่เสียระเบียบ”
“บิดาของเคานต์เดวิดก็เป็นนักเวทด้วย เราต้องพิจารณาว่าเขาสามารถได้รับพรจากพระเจ้าได้หรือไม่”
การตอบสั้นๆ ของเขาขจัดคำโต้แย้งของเจมส์ได้อย่างสิ้นเชิง
เคานต์เฮนสันยืนขึ้นพร้อมปากกาขนนก เขาคำนับไปรอบๆ อย่างอ่อนน้อมแล้วเอ่ยว่า “เพียงเพราะว่าบิดาของเขาเป็นนักเวทมิได้หมายความว่าบุตรชายจะไม่เป็นผู้ที่ศรัทธาในศาสนา เคานต์เดวิดไม่เคยขาดประชุมของศาสนจักรทั้งยังบริจาคให้ศาสนจักรเสมอๆ ใครๆ ก็รู้ดีว่าเขามีศรัทธาแรงกล้า ข้าเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าต้องมองเห็นและยอมรับ ส่วนเคานต์กอร์ดอนนั้น เมื่อเข้ากลุ่มอัศวินแห่งวิหาร ข้าพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าในวันข้างหน้าเขาจะให้ความสนใจอาณาจักรโฮล์มมากกว่าสิ่งอื่น มันไม่ใช่การดูหมิ่นพระผู้เป็นเจ้าแต่เป็นความสับสนยุ่งเหยิงระหว่างอำนาจของศาสนจักรกับกษัตริย์”
ในตอนนั้นเขาไม่มีเวลาอธิบายอย่างละเอียดแต่ชี้ประเด็นเรื่องการเผชิญหน้าของสองอำนาจ
กอร์ดอนยกมือขึ้นแล้วยิ้ม “การคาดการณ์ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ข้าเชื่อว่าข้าจะมองคำถามของขุนนางในฐานะกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรโฮล์ม มิใช่อัศวินแห่งวิหาร”
ขุนนางฝ่ายเสรีนิยมและฝ่ายอนุรักษ์นิยมคนอื่นๆ ต่างยืนขึ้นแสดงความเห็น ในที่สุด เร็กซ์ก็พูดขึ้นว่า “เอาละ ได้เวลายกมือแล้ว ใครที่เห็นชอบเลือกเคานต์เดวิด ขอให้ยกมือขึ้น”
ขุนนางต่างยกมือ ดูเหมือนว่ามีไม่มากเท่าไร แต่ก็ได้เสียงไปหนึ่งในสาม ในขณะที่ฝ่ายเสรีนิยมมีจำนวนมากกว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยม พวกเขาจึงมีความเห็นสอดคล้องกัน
เร็กซ์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นผลคะแนนเสียงนั้น เพราะเขาไม่สามารถอุทธรณ์ข้อกำหนดพิเศษได้ในตอนนี้ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วดำเนินการต่อไป “ใครที่เห็นชอบเลือกเคานต์กอร์ดอน ขอให้ยกมือขึ้น”
ขุนนางต่างยกมือ ดูเหมือนว่ามันไม่เป็นปัญหาที่เขาจะได้คะแนนเสียงเกินครึ่ง เร็กซ์เริ่มคิดว่าเขาจะแถลงอย่างไรดีสำหรับเรื่องกรณีเร่งด่วน
ทันใดนั้น มือที่ต่างยกขึ้นก็หยุดลงทั้งที่ยังไม่ถึงครึ่ง เร็กซ์มองดยุกโซโลมอนซึ่งนิ่งอึ้ง ขุนนางผู้มีหนวดสีดำส่ายศีรษะ เป็นการบอกกล่าวว่าเขาจะไม่สนับสนุนผู้เข้ารับการคัดเลือกที่มีภูมิหลังเกี่ยวข้องกับศาสนจักรอย่างเด่นชัด ในฐานะที่เป็นผู้นำคนสำคัญของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ทัศนคติขอเขามีอิทธิพลต่อขุนนางคนอื่นอีกหลายคนโดยตรง
ดยุกเจมส์ยิ้ม “ท่านประธานเร็กซ์ ดูเหมือนว่าเราจะต้องหารือและเจรจาต่อรองกันนานหน่อย”
ตอนนี้ดยุกโซโลมอนลังเล เขามั่นใจว่าจะคัดกอร์ดอนออกไปโดยการประนีประนอม
เร็กซ์นิ่งเงียบไป เขามองดูค้อนไม้ในมือ ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมา “ข้าขอเสนอผู้เข้ารับการคัดเลือกอีกคน”
เขาต้องการจะบังคับให้ดยุกโซโลมอนและคนที่เหลือเห็นชอบกับข้อเสนอของเขาในกรณีเร่งด่วนเช่นนี้ แต่พวกเขาหัวแข็งกว่าที่เขาคิด ตอนนี้เขาทำได้เพียงใช้แผนสำรองเท่านั้น
“ใคร? ใครที่จะสูงกว่าการสืบทอดบัลลังก์โดยสายเลือดมากกว่าเคานต์เดวิดกับเคานต์กอร์ดอน?” ดยุกรัสเซลแสดงอาการคัดค้าน
เร็กซ์ตอบอย่างใจเย็น “นาตาชา ไวโอเล็ต เคาน์เตสแห่งราชรัฐไวโอเล็ต ได้กระตุ้นสายเลือดแห่ง ‘ดาบแห่งสัจธรรม’ นางเป็นญาติใกล้ชิดกษัตริย์ยิ่งกว่าเคานต์เดวิดเสียอีก ซ้ำยังเป็นอัศวินอาภาและมีศรัทธาในศาสนาอย่างแรงกล้าซึ่งสามารถได้รับพรจากศาสนจักร”
…………….
“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าชายอยู่ที่ไหน?” เคานต์เอนสันหายใจแรง เขาอายุมากแล้ว
เจมส์ตอบด้วยเสียงแหบแห้ง ใบหน้าเศร้าหมอง “เจ้าชายกลับคืนสู่พระเจ้าเช่นกัน เพราะความเศร้าโศกเสียพระทัย”
“ฮะ?”
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เสียงอุทานของเคานต์เฮนสันถูกกลบโดยสายฟ้าฟาดต่อเนื่อง เขายื่นนิ่งตากฝน ตรงหน้าเขาไม่มีอะไรนอกจากความเลือนรางและแสงแปลบปลาบเท่านั้น