Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 570 สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง
- Home
- Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา
- บทที่ 570 สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง
บทที่ 570 สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง
ครืน! ครืน! ครืน!
ฟ้าร้องดังสนั่นติดต่อกันสามครั้งทำให้เฟอร์นันโดและเฮลเลนซึ่งอยู่ที่ชั้นสามสิบสามของหอคอยเวทมนตร์อัลลิน ชะลองานตรงหน้าที่พยายามเปิดมิติแดนสัจธรรม ทั้งคู่หันมองออกไปที่นอกหน้าต่าง จับตาดูสายฟ้าที่เปล่งแสงเรืองรองอยู่ในมุมนี้ของโลก
“โลกแห่งปัญญาของใครกันที่สั่นไหว?” ผิวของเฮลเลนสะอาดใสราวกับน้ำแข็งอยู่ก่อนแล้ว และตอนนี้ยิ่งดูขาวซีดไร้เลือดฝาดลงไปอีก นางขมวดคิ้วแสดงความเห็นต่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงภายนอก และแทบจะไม่อยากเชื่อ
นี่ไม่ใช่เพราะทฤษฎีแรงโน้มถ่วงถูกพิสูจน์ว่าผิด แต่เพราะปัญหาเกี่ยวกับแหล่งที่มาและลักษณะของแรมโน้มถ่วงจะไม่เกิดความสับสนในใจของผู้ก่อตั้งศาสตร์ด้านนี้ ซึ่งยังมีความคิดอีกว่าพระผู้เป็นเจ้าบงการอยู่เบื้องหลังทุกสรรพสิ่ง เพราะฉะนั้นผู้คนจึงตั้งคำถามถึงความจำเป็นและความถูกต้องของการศึกษาอาร์คานาในปัจจุบัน
ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตัวนักเวทจะขึ้นอยู่กับทัศนคติของแต่ละคนต่อพลังอำนาจของดักลาส หากจะพูดให้เจาะจงยิ่งขึ้น นักเวทชั้นตำนานจะพึ่งพาอาศัยบารมีของดักลาสน้อยกว่าคนทั่วไป ยกตัวอย่างเช่นบรูค เขาเป็นผู้มีพลังขั้นสูงที่มีแนวคิดขัดแย้งกับทฤษฎีอนุภาคของอาจารย์ของเขา
เพราะฉะนั้นเฮลเลนจึงรู้สึกสับสน ในบรรดานักเวทชั้นตำนานทั้งหมด นางเป็นคนที่เคารพต่อพลังอำนาจของท่านประธานมากที่สุด แต่นางยังไม่รู้สึกหวั่นไหว คนโง่คนไหนกันที่สูญเสียความเชื่อมั่นโดยไม่ยืนยันสถานการณ์จริงๆ เสียก่อน?
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ นางก็สงสัยว่าคนๆ นั้นพัฒนาขึ้นมาถึงชั้นตำนานได้อย่างไร!
เฟอร์นันโดไม่อาจควบคุมความเกรี้ยวกราดและความสับสนที่ปรากฏบนหน้า “ดูเอาจากระดับพลังและภาพมายา นี่เป็นอิทธิลของโลกแห่งปัญญาที่มีต่อโลกจริง แต่มีความหวั่นไหวแม้แต่น้อย…”
“ไม่ว่าจะแบบไหน เราเปิดระบบป้องกันอัลลินก่อนเถอะ เผื่อเกิดความเสียหายร้ายแรงและศัตรูจะลอบเข้ามาระหว่างช่วงชุลมุน” หลังจากตกตะลึงในตอนแรก เฮลเลนก็ค่อยๆ สงบสติอารมณ์
…
ณ สำนักงานใหญ่ของกลุ่มเจตจำนงแห่งธาตุ…
ราเวนติกำลังสนทนากับนักโหราศาสตร์ที่อาศัยอยู่ในหอคอย ทันใดนั้น สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าก็ปั่นป่วนและยุ่งเหยิง ฟ้าร้องเสียงดังกัมปนาท
“อันโนนิส เกิดอะไรขึ้น?” ราเวนติถามด้วยน้ำเสียงขึงขัง
อันโนนิสตอบอย่างไม่แน่ใจ “สภาพอากาศระยะสองพันเมตรภายในอัลลินเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน มีพายุฟ้าคำราม…”
“เป็นไปได้หรือ…” ราเวนติพูดไม่จบประโยค เขามองไปยังที่ตั้งของนครอัลลินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และเห็นเพียงสายฟ้าสีเงินลางๆ ซึ่งดูเหมือนฝูงงูขนาดยาวพาดท้องฟ้า
“ข้าไม่คิดเหมือนกัน…” อันโนนิสเข้าใจสิ่งที่ราเวนติต้องการสื่อ นะตอบช้าๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลง
“หวังว่าคงไม่ใช่อย่างที่ข้าคิด”
ขณะที่จ้องมองฝูงงูสายฟ้าทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า ราเวนติก็แจ้งไปยังแฮททาเวย์
…
ภายในสถานีวิทยุสกาย พวกจอมเวทที่กำลังตื่นตระหนกอยู่แล้วก็ต้องตกตะลึงกับเสียงฟ้าคำราม สายตาของพวกเขามองเห็นเพียงสายฟ้าฟาด ทุกคนตกอยู่ในภาวะตะลึงงัน
“ทำไมจู่ๆ ถึงมีพายุ?” จอมเวทคนหนึ่งถามขึ้นด้วยเสียงเบาๆ เขารู้สึกว่าพายุฝนฟ้าคะนองอันมืดมิดและน่าหดหู่ก็กำลังเกิดขึ้นในภาวะจิตของเขาเช่นกัน
ฝนที่ตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาสาดลงในใจของพวกเขา และสร้างความตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล บางคนถึงกับต้องปลอบตัวเองให้สงบสติลง “นี่เดือนแห่งปรารถนา ปกติไม่มีพายุช่วงนี้นี่นา?”
ครืน!
เสียงฟ้าร้องคำรามอีกครั้ง ทำให้จอมเวทต่างอกสั่นขวัญหาย “บางคนถึงกับพูดโพล่งออกมา “ไม่ นี่ไม่ปกติเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและแรงดันก่อนเลย!”
หากไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศตามปกติ แล้วพายุเกิดจากอะไร?
ทันใดนั้น จอมเวทในที่นั่นก็เห็นประตูมิติของอัลลินเปิดขึ้น มีหมอกจางๆ ลอยเข้ามาในพื้นที่
ด้วยพายุลูกใหญ่ที่อยู่ด้านนอก ทุกคนต่างรู้สึกสังหรณ์ใจว่ากำลังเกิดเรื่องร้ายขึ้น
“อย่าคิดมาก ถ้าเกิดอะไรขึ้น สภาสูงสุดจะดูแลทุกอย่างเอง เราต้องไม่ตื่นตระหนก” ซาแมนธาพยายามสงบสติอารมณ์ลง
หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ นางเชื่อว่านางจะต้องประเมินความร้ายกาจของศาสจักรเสียใหม่ ดูเหมือนศาสนจักรไม่ได้โหดร้ายและไม่รู้จักวางแผน ทั้งๆ ที่พวกศาสนจักรสามารถจัดการปัญหาด้วยพลังอำนาจและการลอบสังหาร
ครืน!
เสียงฟ้าร้องดังครืนๆ ลอยเข้ามาในหูของเบลค ขณะมองภาพที่ดูเหมือนวันสิ้นโลกข้างนอกหน้าต่าง เขาก็พูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ยตัวเองอย่างขมขื่น “หรือว่าสภาพอากาศสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังของจอมเวทในอัลลินเหมือนกัน?”
…
ภายในห้องทำงานของเขาสถาบันอะตอม…
ลูเซียนเขียนโลกอันสวยงามต่างๆ ขึ้นด้วยปากกาขนนกในมือ
“บทความนี้ตั้งอยู่บนข้อสมมติฐานสองประการ ประการแรกคือหลักแห่งความสมมูล…”
“… ด้วยการทดลองและหลักฐานเบื้องต้น เราจะเห็นได้ว่าวัตถุในสนามโน้มถ่วงมีการเร่งความเร็วเดียวกัน ซึ่งสามารถสรุปได้ว่าความสมมูลของมวลเฉื่อยและมวลโน้มถ่วง…”
ด้วยต้นฉบับที่เขาคัดลอกไว้และความคิดที่เขารวบรวมมาในอดีต เมื่อลูเซียนเขียนมาถึงย่อหน้าหนึ่งใดย่อหน้าหนึ่ง บทความที่เต็มไปด้วยถ้อยคำและสูตรต่างๆ จะบินมาหาเขา และเขาก็จะสรุปบทเรื่องนั้นลงในบทความอย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากปรับแก้นิดๆ หน่อยๆ
ด้วยวิธีนี้ ลูเซียนจึงเขียนและเชื่อมโยงความคิดต่างๆ ได้เร็วจี๋ เขาใช้เวลาไม่นานก่อนที่จะอธิบายหลักแห่งความสมมูลและทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป หลังจากนั้น เขาก็เริ่มเขียนคำอธิบายเชิงสัมพัทธภาพและการพรรณาเชิงเรขาคณิตของแรงโน้มถ่วง
ณ ตอนนั้น เครื่องมือการวิเคราะห์ที่เขาร่วมมือกับเลฟสกี มิลินา และจอมเวทสังกัดกลุ่มหอคอยซึ่งรวมถึงเรขาคณิตอีวานส์และเทนเซอร์ ถูกนำมาใช้ประโยชน์ ซึ่งทำให้เนื้อหาที่ยากเกินกว่าจะเข้าใจและเต็มไปด้วยปริศนาที่ลึกลับ
เพื่อความเข้าใจของจอมเวททั่วไป และเพื่อแก้ปัญหาความสับสนอันเกิดจากคำพูดของท่านประธาน ลูเซียนจึงเพิ่มการพรรณาเชิงเปรียบเทียบ
“เมื่อพิจารณาจากแม่แบบเรขาคณิตข้างต้น ซึ่งอวกาศเป็นเสมือนตาข่ายที่ยืดหยุ่น และวัตถุในอวกาศเป็นเหมือนลูกบอลที่ร่วงลงสู่ตาข่ายที่ยืดหยุ่นนั้น มวลของวัตถุจะส่งผลต่อการทรุดตัวของตาข่าย และเกิดการบิดงอของกาลเวลาและอวกาศโดยรอบ การบิดงอดังกล่าวจะทำให้ลูกบอลอื่นๆ ที่มีมวลขนาดเล็กกว่าในตาข่ายที่ยืดหยุ่นเปลี่ยนไปสู่บอลที่มวลใหญ่กว่า นี่คือลักษณะที่แท้จริงของแรงโน้มถ่วง การบิดงอของกาล-อวกาศ!”
“ดังนั้น นี่จึงเป็นหลักฐานว่ากาลและอวกาศที่เราอยู่ไม่ได้เป็นกาลและอวกาศที่มีลักษณะแบบตามที่เรขาคณิตหอคอยพรรณาไว้ แต่เป็นการบิดงอของกาล-อวกาศที่ค้นพบในเรขาคณิตอีวานส์ที่มีความโค้งมากกว่าศูนย์!”
ครืน!
ขณะที่เขาเขียน ดวงดาวและแรงโน้มถ่วงในโลกแห่งปัญญาของลูเซียนกำลังเปลี่ยนแปลง ความสว่างไหวของดวงหลักแห่งเทวลิขิตของเขาก็กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว!
ดูเหมือนลูเซียนค่อยๆ เห็นเงาของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวอันไร้ขอบเขต ซึ่งกำลังเฝ้ามองทุกสรรพสิ่งมาจากด้านบน ขณะที่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ฉายภาพสะท้อนมาถึงโลกแห่งปัญญาของเขา สัญลักษณ์พิเศษที่ซับซ้อนถูกสร้างขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วน
โลกแห่งปัญญาของเขาไหลเวียนรวดเร็วและมีปฏิกิริยากับวิญญาณของเขาอย่างในทันที สร้างโครงร่างแม่แบบเวทมนตร์ภายในวิญญาณของเขาขึ้นโดยธรรมชาติ
‘เวทหยุดเวลา’ เวทมนตร์ระดับเก้า!
ครืน!
ฟ้าคำรามภายนอกหน้าต่างจู่ๆ ก็หยุดลงกะทันหัน ฟ้าแลบก็หยุดลง และฝนก็กระจายตัวออกไปทุกทิศทาง ราวกับถูกลมเป่าจากทิศทางต่างๆ
ชั้นความมืดอันซับซ้อนเข้าปกคลุมนครอัลลิน บิดมวลพายุ แสงดาวที่ส่องสว่าง อวกาศ และราตรีอันมืดมิดอันผิดรูปผิดร่าง!
เป็นภาพที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง!
ลูเซียนไม่หยุดพัก หลังจากพรรณาทฤษฎีของเขาด้วยคำง่ายๆ ที่จอมเวทสามารถเข้าใจได้แล้ว เขาก็เริ่มเขียน ‘สมการสนามของไอน์สไตน์’ แก่นของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปทั้งหมด!
…
ขณะมองภาพที่น่าสะพรึงกลัวด้านนอกหน้าต่างที่ทุกอย่างดูผิดรูปผิดร่าง เฮลเลนก็พูดขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อด้วยดวงตาที่เบิกโพลง “นี่เป็นภาพสะท้อนของแรงโน้มถ่วง…”
เฟอร์นันโดพยักหน้า ราวกับว่าเขาสบายใจมากขึ้น “นี่มันโลกแห่งปัญญาที่เป็นปึกแผ่นครึ่งหนึ่งตามทฤษฎีแรงโน้มถ่วง!”
เมื่อผู้ก่อตั้งทฤษฎีแรงโน้มถ่วงเพิ่งแสดงความสับสนออกมา และเชื่อว่าเป็นความผิดพลาดมาตลอดและมีพระผู้เป็นเจ้าคอยบงการทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ยังมีนักเวทที่มีโลกแห่งปัญญาเป็นปึกแผ่นครึ่งหนึ่งตามทฤษฎีแรงโน้มถ่วงอย่างนั้นหรือ?
เขาได้ฟังคำพูดของดักลาสหรือเปล่านะ?
หรือเขาค้นพบเส้นทางของตัวเองและมั่นใจในแรงโน้มถ่วงมากขึ้นกว่าเดิม?
ภายในสถานีวิทยุสกาย…
ซาแมนธาและจอมเวทคนอื่นๆ ต่างตกตะลึงกับภาพที่น่าขนลุกภายนอก อวกาศที่มืดมิดและบิดเบี้ยวฉีกมวลพายุออกจากกันและปัดเป่าหมอกจางๆ สลายๆ ดูเหมือนสัตว์ร้ายสีดำที่จ้องทำลายโลกกำลังซ่อนตัวอยู่ในหมอกลึก และเฝ้ารอเหยื่อร่วงหล่นเข้ามาในปากที่อ้ากว้างของมัน
“เกิดอะไรขึ้น…” จอมเวทต่างบ่นพึมพำ
ซาแมนธาคิดถึงอะไรบางอย่าง นางพูดขึ้นด้วยความตกตะลึงและความดีใจ “โลกแห่งปัญญาของผู้วิเศษกำลังก่อตัวเป็นปึกแผ่นครึ่งหนึ่งตามทฤษฎีแรงโน้มถ่วง!”
เบลคซึ่งอยู่ในคฤหาสน์ชานเมืองของเขา กำลังหวาดวิตกกับสิ่งที่เขาเห็น เขาไม่เห็นพบเจอกับสภาพอากาศลึกลับเช่นนี้มาก่อน! ราตรีอันมืดมิดที่บิดเบี้ยว แสงดาวที่คดงอ และพายุที่แตกสลาย ทุกอย่างดูเหมือนกับวันสิ้นโลกในนิทานของกวี!
“คืนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เบลคพูดด้วยเสียงแผ่วบา ร่างของเขาสั่นไปทั้งตัว
…
ไกลออกไปจากนครอัลลิน คริโทเนียเห็น ‘นครลอยฟ้า’ ดูเหมือนจะถูกห่อหุ้มด้วยมวลพลังสีดำทึบ และทั้งแสงดาวจากภายนอกและสายฟ้าภายในเกิดการบิดเบี้ยวอย่างแปลกประหลาด ทันใดนั้นเขาก็สังหรณ์ใจไม่ดี
“นี่มัน…” คริโทเนียและภาพสะท้อนของเบเนดิกต์ที่สามพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว
เบเนดิกต์ที่สามพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเย็น “นี่ไม่ใช่การสั่นไหวของโลกแห่งปัญญา แต่เป็นการรวมตัวเป็นปึกแผ่นครึ่งหนึ่งต่างหาก”
“แล้วมันก็ยังมีพื้นฐานจากทฤษฎีแรงโน้มถ่วง”
คริโทเนียถามด้วยความประหลาดใจ “หรือว่าเขาจะไม่ได้ฟังบทสนทนาระหว่างดักลาสกับพระองค์?”
ขณะที่วางปากกาขนนกลง สมการสนามแรงโน้มถ่วงก็ได้รับการอธิบายในบทความของลูเซียนอย่างสมบูรณ์
ครืน!
ลูเซียนติดอยู่ในเงาที่เหนือธรรมชาติของท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาว โลกแห่งปัญญาของเขาเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง สัญลักษณ์พิเศษที่ซับซ้อนเริ่มเชื่อมโยงถึงกันทั้งหมด!
ในทางกลับกัน รูปแบบเวทมนตร์ ‘เวทหยุดเวลา’ ในวิญญาณของเขา ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างอย่างไร้ปัญหา ขณะที่เขาพัฒนาขึ้นสู่ระดับเก้า!
ครืน!
ภายในพายุสีดำอันบิดเบี้ยว ความมืดมิลวงตาปรากฏขึ้นอย่างไม่มีที่มา ดูดซับเอาฝนที่ตกห่าใหญ่ สายลมที่พัดกระหน่ำ สายฟ้าฟาด แสงดาวที่ทอดลงมา และมวลพลังทั้งหมดที่ก่อให้เกิดสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดทั้งมวลไหลลงสู่ความมืดมิดอันน่าสะพรึงกลัวที่ดูเหมือนสามารถกลืนกินทุกสิ่งและทำลายทุกอย่าง!
“นี่มัน…”
เฟอร์นันโดและเฮลเลนมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความรู้สึกค่อนข้างตกตะลึง
“นี่มัน…”
ซาแมนธาและจอมเวทคนอื่นๆ เข้าใจภาพที่น่าสยองขวัญได้แม้แต่น้อย
“นี่มัน…”
คริโทเนียเกิดความสับสนขึ้นอีกครั้ง
แม้ว่าเขาจะพยายามควบคุมตัวเอง เบเนดิกต์ที่สามก็ยังคงกัดฟันกรอด “นี่แตกต่างจากทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของดักลาสโดยสิ้นเชิง! หรือว่านี่คือลักษณะของแรงโน้มถ่วงที่แท้จริง?”
“เขาเป็นใครกันแน่?”
………………………………………………………….