Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 672 กิจวัตรประจำวันของชาวเอลฟ์
- Home
- Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา
- บทที่ 672 กิจวัตรประจำวันของชาวเอลฟ์
แสงแดดสาดส่องลอดม่านหมอกลงมา ทิ้งไว้เพียงจุดสีทองตรงสุดปลายลำแสงอันเลือนลางที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวหลากหลายเฉดสีอยู่ตลอดเวลา ภาพนั้นยิ่งทำให้ถิ่นพำนักแห่งธรรมชาติดูราวกับภาพฝันและมีชีวิตชีวิตมากขึ้นไปอีก
“ทุกๆ ท่านจะอยู่ที่นี่ในระหว่างนี้นะเจ้าคะ แต่อย่าเที่ยวเดินไปที่อื่นนะเล่า เอลฟ์บางตนก็มิได้เป็นมิตรกับมนุษย์สักเท่าไหร่” ไอริสทีนชี้ไปทางป่าที่มีต้นไม้นับสิบๆ ต้น และบนต้นไม้เหล่านั้นก็มีบ้านอยู่หลายหลังทีเดียว
เมื่อได้ยินประโยคนั้น อัลเฟอร์ริสก็สะบัดหางและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่มีปัญหา”
เขาได้ยินมาอย่างชัดเจนว่าเหล่าเอลฟ์จะไม่เป็นมิตรกับมนุษย์เพียงเท่านั้น ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถเดินเตร่ไปรอบๆ และเก็บของฝากสำหรับตัวเองได้
จูรีเซียนส่งยิ้มให้ไอริสทีน “องค์หญิง พระองค์ช่วยมอบรายชื่อเหล่าเอลฟ์ที่นิสัยเปลี่ยนไปให้ข้าด้วยพะยะค่ะ”
“พวกเขาถูกจับขังไว้ในคุกใกล้ๆ กับต้นไม้เอลฟ์ ท่านจะไปตรวจสอบพวกเขาตอนนี้เลยหรือไม่” อาร์เซเลียนพออกพอใจกับความกระตือรือร้นของเหล่านักเวท
จูรีเซียนส่ายหน้า “หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็มั่นใจว่าอีกเดี๋ยวท่านอีวานส์คงไปตรวจสอบที่นั่น เราจะเดินดูรอบๆ ป่าและสอบถามรายละเอียดจากสหายของผู้ที่มีนิสัยเปลี่ยนไป ดังนั้น…”
เขาแย้มยิ้ม ละประโยคไว้เป็นฐานที่เข้าใจ
ไอริสทีนพยักหน้า “ข้าจะมอบเอกสารเกี่ยวกับเอลฟ์ที่ถูกความวิบัติกลืนกินและสหายของพวกเขาให้ท่านเจ้าค่ะ”
“ท่านควรจะทำเครื่องหมายผู้ที่ใกล้ชิดกับพวกเขาก่อนที่จะเกิดอาการไว้ด้วย” เฟลิเปกล่าวเสริม แม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นความวิบัติที่เกิดจากรังสีแห่งอเวจี แต่ความเป็นไปได้อื่นๆ ก็ไม่ควรถูกตัดทิ้งไป จนกว่าทุกสิ่งจะได้รับการตรวจสอบ มิเช่นนั้นพวกเขาอาจไขว้เขวเข้าใจผิดได้
สีหน้าของอาร์เซเลียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับ
มิใช่ว่าเขาเก็บงำความลับอะไรไว้ แต่นี่นับเป็นปฏิกิริยาปกติที่ผู้นำชาวเอลฟ์ทุกตนพึงมีเมื่อได้ยินถ้อยคำของเฟลิเป ซึ่งชี้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติในหมู่ชาวเอลฟ์ด้วยกันเอง
ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้า เฟลิเปนั้นดูไม่ต่างจากแวมไพร์ที่ไม่ได้ออกมายังโลกภายนอกนับร้อยๆ ปี ทว่า เขากลับมิได้อธิบายว่านี่คือกระบวนการตรวจสอบทั่วไป เพียงปล่อยให้อาร์เซเลียนและไอริสทีนคาดเดากันเอาเอง จะเป็นอย่างไรกันเล่าหากว่าหนึ่งในสองตนนี้เผยพิรุธเมื่อตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน
หลังจากนั้นสิบนาที แอนนิคกับสปรินต์ก็เดินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของป่าพร้อมกับรายชื่อและเครื่องหมายบอกตำแหน่งที่ตั้ง
“อุลเมอร์ สหายสนิทของเอลฟ์คาเล็ตต์ที่ถูกความวิบัติกลืนกิน…” แอนนิคอ่านรายชื่อ
ขณะนี้เหล่าเอลฟ์ผู้มีใบหน้างดงามไม่ว่าจะเพศใดกำลังจดจ้องทั้งสองอยู่ ทำให้ใบหน้าของแอนนิคเห่อแดงอย่างไม่อาจควบคุมได้ เขารีบร่าย ‘เวทจิตกล’ ให้กับตนเอง
สปรินต์มองเขา “จะอายอะไรกันเล่า เราคือผู้สอบสวนนะ และเราคือฝ่ายรุก พวกเขาสิควรจะเป็นฝ่ายประหม่า!”
“ข้ามักจะวิตกกังวลและควบคุมความรู้สึกไม่ได้เวลาเจอคนแปลกหน้าเสมอ” สีแดงก่ำบนใบหน้าแอนนิคหายไปแล้ว ทั้งยังกลายเป็นนิ่งเฉยเย็นชาประดุจโกเล็มเหล็ก
สปรินต์ส่งเสียงออกจมูกดังพรืด “วิตกกังวลงั้นรึ เจ้าน่ะขาดความมั่นใจเกินไป มันเป็นเรื่องปกติมากๆ ที่จะพูดหรือทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง”
“เจ้ากลัวว่าเจ้าจะทำให้พวกเขาไม่ประทับใจในตัวเจ้าหรือไร ไร้สาระน่า เราไม่มีทางรู้เลยว่าเราจะได้กลับมาที่ป่าสตรู๊ปแห่งนี้หรือไม่ แม้ว่าเจ้าอาจจะทำเรื่องน่าอับอายสุดๆ ลงไป แล้วอย่างไรล่ะ อีกอย่าง ความงุ่มง่ามของเจ้ามีแต่จะทำให้พวกเขาไม่ชอบใจยิ่งกว่าการทำเรื่องน่าอับอายใดๆ เสียอีก”
เขาคอยตำหนิเรื่องบุคลิกของแอนนิคมาตลอด และครั้งนี้ เขาก็ได้รับภารกิจมาจากไฮดี้ในการช่วยให้แอนนิคมีความมั่นใจและกล้าหาญมากขึ้น เพื่อที่เขาจะสามารถเผชิญหน้ากับอาจารย์ด้วยทัศนคติที่ดีกว่านี้โดยไม่สนใจเรื่องการโต้แย้งเกี่ยวกับอาร์คานา
“เหตุใดกันเล่า ข้าชอบบุรุษขี้อายที่สุดเลย มันหมายความว่าพวกเขามีหัวใจที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย!” ทันใดนั้น เสียงนุ่มนวลก็ดังแทรกการสนทนาของทั้งสอง
‘นั่นไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป คนบางคนไม่ยอมพูดอะไรมากก็เพราะหัวใจของเขาสกปรกโสมมจนเกินไป’ สปรินต์คิดในใจ ขณะที่เขาหันไปมองต้นเสียง เพียงเพื่อจะพบกับเอลฟ์ผู้งดงามที่กำลังเดินมาหาพวกเขา นางมีเส้นผมสีดำ ผิวสีเงิน และสวมเสื้อผ้าง่ายๆ ที่ทำมาจากใบไม้ โดยที่ในมือนางถือฮาร์ปอยู่ด้วย
หลังจากกวาดตามองผู้มาใหม่จากศีรษะจรดปลายเท้า สปรินต์ก็แอบพูดกับแอนนิคว่า “เอลฟ์ตนนี้สนใจในตัวเจ้า อย่าปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปล่ะ มิเช่นนั้นเจ้าคงจะต้องครองตัวเป็นโสดชั่วชีวิตแน่”
เขากระแอมไอ ก่อนจะเอ่นถามแทนสหาย “ท่านหญิง ข้าขอทราบนามของท่านได้หรือไม่ขอรับ”
“ข้าเป็นบุรุษเพศ” ใบหูแหลมเรียวอ่อนนุ่มของเอลฟ์ผู้งดงามโบกสไว เขาดูไม่ประหลาดใจกับสถานการณ์นี้นัก
แม้ว่าจะมีฤทธิ์ของ ‘เวทจิตกล’ อยู่ ใบหน้าของแอนนิคก็ยังคงดูย่ำแย่อย่างที่จะแย่ไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ส่วนสปรินต์ยังถามต่อไป แม้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาจะชักกระตุกไม่หยุดก็ตาม “ท่านเป็นบุรุษเพศหรอกหรือ และท่านก็บอกว่าท่านชอบบุรุษที่สุดอย่างนั้นน่ะหรือขอรับ”
เอลฟ์ผู้งดงามสะบัดฮาร์ปในมือพลางพูดด้วยท่าทางราวกับนักกวี “ความรักนั้นไร้ข้อจำกัดเรื่องเพศ”
แอนนิคดึงตัวสปรินต์ไว้ ขณะสะกดกลั้นความไม่สบายใจแล้วหันหลังกลับ
‘ไม่แปลกใจเลยที่เอกสารมากมายในห้องสมุดจะบอกว่าพวกเอลฟ์มีความคิดแปลกพิกลมากมายหลากหลายเพราะช่วงชีวิตอันยืนยาวและการใช้ชีวิตตามอารมณ์…’ สปรินต์คิดอย่างเสียใจ เขาเกือบจะผลักสหายให้ตกลงสู่อเวจีสียแล้ว
ก่อนที่แอนนิคจะทันได้ตอบอะไร เอลฟ์ผู้งดงามทางด้านหลังก็เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มๆ “อ้อ ข้ายังมิได้แนะนำตัวเลย ข้ามีนามว่าอุลเมอร์ เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินพวกเจ้าเอ่ยถึงข้านี่”
ในฐานะเอลฟ์จันทรา เขาย่อมมีความสามารถทางโสตประสาทอันยอดเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสายลมเป็นใจ
“อุลเมอร์?” สปรินต์กับแอนนิคชะงักไป ทั้งสองหมุนตัวกลับมา ด้วยสีหน้าไม่ดีนัก
“ท่านอุลเมอร์ เรามีเรื่องบางอย่างอยากจะสอบถามท่านน่ะขอรับ” สุดท้าย แอนนิคที่มีฤทธิ์ของ ‘เวทจิตกล’ ก็รวบรวมความกล้าถามออกไป
อุลเมอร์ตอบกลับยิ้มๆ “เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับเฮปตาคอร์ด[1] การปรับเปลี่ยนฮาร์ปของมนุษย์ทำให้มันสูญเสียแก่นแท้ไปหรือไม่”
“…” แอนนิคและสปรินต์พลันพูดอะไรมิออก แม้ว่าอาจารย์ของพวกเขาจะเป็นนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ แต่พวกเขาได้ร่ำเรียนเพียงเวทมนตร์กับอาร์คานามาจากท่าน หาใช่ดนตรี! พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำถามด้านดนตรีอาชีพข้อนี้หมายถึงอะไร!
อุลเมอร์ถอนหายใจ “เราคงเป็นสหายกันมิได้หากพวกเจ้ามิรู้จักศาสตร์แห่งศิลป์ และเราก็คงมิอาจมีบทสนทนาที่ดีได้หากเรามิใช่สหาย เช่นนั้นเจ้ามีความเห็นอย่างไรกับหุ่นขี้ผึ้งบ้าง ไม่นานมานี้ข้าเพิ่งซื้อมาตัวหนึ่งและข้าก็รู้สึกว่าหุ่นพวกนี้น่าสนใจยิ่ง พวกเจ้าชอบมันหรือไม่”
“…” สปรินต์กับแอนนิคพูดอะไรไม่ออกอีกครา จู่ๆ ทั้งสองก็รู้สึกว่าชีวิตพวกเขาช่างขาดแคลนประวัติชวนนำเสนอ
“เจ้าไม่ชอบหุ่นขี้ผึ้งเช่นกันหรือ อืม แล้วถ้าเป็นอารยธรรมที่หายสาบสูญไปแล้วล่ะ ข้าได้ยินมาว่าสภาเวทมนตร์ได้ค้นพบอนุสรณ์สถานของอารยธรรมไอนี้นี่” อุลเมอร์กล่าวด้วยความผิดหวัง
ฟู่ แอนนิคและสปรินต์ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก ประวัติศาสตร์กับอารยธรรมที่หายสาบสูญไปแล้วถือเป็นความถนัดของจอมเวททุกท่าน มิเช่นนั้นแล้วพวกเขาจะไม่สามารถออกสำรวจและระบุสิ่งต่างๆ ว่าเป็นอะไร นอกจากนี้ อาจารย์ของพวกเขาก็เป็นผู้ค้นพบอนุสรณ์สถานนั้น
หลังจากแลกเปลี่ยนความเห็นกันพอหอมปากหอมคอ ท่าทีของอุลเมอร์ก็เปลี่ยนไปในที่สุด “พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อถามเกี่ยวกับคาเล็ตต์อย่างนั้นหรือ”
“ขอรับ เราอยากทราบว่าเขาได้แสดงความผิดปกติอะไรก่อนที่ความวิบัติจะกลืนกินเขาหรือไม่น่ะขอรับ” แอนนิคตอย รู้สึกโล่งอกอย่างยิ่ง
อุลเมอร์ขยับมือเรียวยาวงดงามไปบนสายเครื่องดนตรี ก่อให้เกิดเสียงเพลงอันแสนรื่นเริง แต่เขากลับตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ทุกอย่างปกติดี คาเล็ตต์ยังเคยบอกด้วยซ้ำว่าเขาเพิ่งเรียนรู้การเต้นระบำแบบพิเศษ และกำลังจะแสดงให้ข้าดู แต่เขากลับถูกความวิบัติกลืนกินและกลายเป็นปีศาจไปเสียก่อน…”
เสียงของเขาเบาลงเรื่อยๆ จนแทบฟังไม่ได้ศัพท์
“การเต้นระบำแบบพิเศษงั้นหรือขอรับ” แม้ว่าจะเป็นคนขี้อาย แต่แอนนิคก็มักจะเป็นคนละเอียดรอบคอบอยู่เสมอและไม่มีทางปล่อยเบาะแสใดให้หลุดลอดไป
“มันเป็นข้อตกลงของเราน่ะ เราจะเขียนบทกวี บทเพลง และคิดท่าเต้นแบบพิเศษตามบันทึกของแต่ละอารยธรรมเพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่กัน” อุลเมอร์อธิบายเสียงเศร้าซึม
‘นั่นฟังดูไม่ได้ผิดแปลกอะไรเลย…’ สปรินต์ถามต่อ “ยังมีใครอีกหรือไม่ขอรับที่คาเล็ตต์สนิทสนมด้วย นอกจากท่านแล้ว หรือว่า เขามีความโน้มเอียงไปทางนิกายใดของชาวเอลฟ์งั้นหรือขอรับ”
“เราต่างก็เป็นผู้ศรัทธาในนิกายสมดุลธรรมชาติ เราต่างนักในเสียงดนตรี รูปปั้น ภาพวาดและงานศิลปะอื่นๆ ของมนุษย์” อุลเมอร์มิได้เก็บงำเรื่องนี้ แต่ทันใดนั้นเอง เขาก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ “เขามีสหายอยู่สองสามตนที่เป็นผู้ศรัทธาในนิกายกบฏธรรมชาติ แต่ว่า แวดวงสังคมในถิ่นพำนักแห่งธรรมชาตินั้นแคบนัก ทุกๆ ตนล้วนมีสหายที่ศรัทธากันคนละอย่าง อ้อใช่ ก่อนที่เขาจะถูกความวิบัติกลืนกิน เขาเพิ่งไปทำหน้าที่ตรงรอยแยกแห่งอเวจี นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขากลายเป็นปีศาจร้าย…”
นั่นคือเบาะแสหลักที่ทางสภาเอลฟ์บอกมา ทั้งแอนนิคและสปรินต์ต่างรู้เรื่องนั้นดี เมื่อเห็นว่ามิมีข้อมูลสำคัญใดอีก พวกเขาจึงบอกลาอุลเมอร์และออกตามหาเอลฟ์บนรายชื่อตนถัดไป
…
ไฮดี้กับคาทรินาท่องไปทั่วผืนป่าที่ได้รับการคุ้มครองจากถิ่นพำนักแห่งธรรมชาติ บางครั้งพวกนางก็จะเห็นชาวเอลฟ์ที่กำลังสร้างรูปปั้นด้วยรากไม้แห้ง หรือวาดภาพด้วยสีธรรมชาติลงบนกระดาษเปลือกไม้ วิถีชีวิตของพวกเขาช่างดูสงบสุขยิ่งนัก
“ทุกๆ ท่าน…”
เอลฟ์กว่าหนึ่งร้อยตนมารวมตัวกันตรงพื้นที่ว่างทางด้านหน้า เอลฟ์สตรีที่สูงปานกลางกำลังเอ่ยสุทรพจน์อยู่บนต้นไม้ ไฮดี้แน่ใจว่านางคืออิสตรีเพราะนางสวมกระโปรงยาวที่ถักทอมาจากใบไม้สด ส่วนเอลฟ์ที่เป็นบุรุษนั้นจะสวมชุดสองชิ้นที่ทำจากใบไม้กับหนังสัตว์ โดยถักทอเข้าด้วยกัน
หากว่าทั้งสองเพศสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกัน ไฮดี้กับคาทรินาคงต้องสังเกตพวกเขาให้ดีกว่านี้เพื่อระบุเพศ อย่างไรเสีย ทั้งอิสตรีและบุรุษเพศชาวเอลฟ์ต่างก็มีหุ่นเพรียวบางงดงาม และมันคงจะเป็นการเสียมารยาทหากจะตรวจสอบพวกเขาด้วยเวทมนตร์
คาทรินาหยุดเดินตรงพื้นที่ว่าง นางดึงเสื้อไฮดี้แล้วชี้ไปอีกทาง “ท่านเฟลิเปอยู่ที่นี่…”
เฟลิเปยืนเงียบๆ อยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งโดยซุกมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋า ขณะรับฟังสุนทรพจน์ของเอลฟ์สาว
“…ข้ามีนามว่าโนดาเนียลย์ ข้ามาที่นี่ก็เพื่อเรียกร้องให้พวกท่านจับกวางมาเพิ่ม” เอลฟ์สาวพูดด้วยเสียงที่แหลมสูงแต่ไม่ถึงกับไม่น่าฟัง
“อะไรนะ”
“เหตุใดเจ้าจึงอยากจะสังหารสัตว์ที่เชื่องปานนั้นกันเล่า”
เหล่าเอลฟ์ที่อยู่บนพื้นต่างมึนงงสับสน
‘โนดาเนียลย์งั้นหรือ’ ไฮดี้และคาทรินามองหน้ากัน นั่นคือเป้าหมายที่ทั้งสองกำลังมองหาอยู่
โนดาเนียลย์ตอบอย่างกระตือรือร้น “เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้เหล่านักล่าภายในป่าคลุ้มคลั่งและกระหายเลือดยิ่งกว่าเดิม จำนวนของพวกมันลดลงฮวบหลังจากที่เราสังหารพวกมันไปมากมาย ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ จำนวนของกวางย่อมเพิ่มพูนขึ้นอย่างผิดปกติหลังจากที่ศัตรูของมันหายไป เพราะพวกมันสืบพันธุ์ได้รวดเร็วเหมือนหนู”
“เมื่อใดที่จำนวนกวางมีมากเกินขอบเขต พวกมันก็จะสร้างความเสียหายให้กับผืนป่าอย่างที่ไม่อาจฟื้นฟูคืนกลับมาได้ เพราะพวกมันจะกินรากและกิ่งของพืชพรรณจนเติบโตมิทัน”
“เราต้องรักษาสมดุลแห่งธรรมชาติ!”
‘นางเป็นสมาชิกของนิกายสมดุลธรรมชาติงั้นหรือ’ ไฮดี้กับคาทรินาร่วมรับฟังกับฝูงชนด้วยความสนใจอย่างยิ่ง
หลังจากที่โนดาเนียลย์พูดจบ เอลฟ์ส่วนใหญ่ก็เห็นดีด้วย แล้วไฮดี้กับคาทรินาก็เดินเข้าไปทักทายนาง
………………………………….
[1] เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย มีเจ็ดเสียง หน้าตาคล้ายฮาร์ปหรือพิณฝรั่งขนาดเล็ก