Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 686 เจ้าชายปีศาจ
รอยแผลบาดลึกที่คล้ายกับภาพมายาปรากฏขึ้นบนหน้าท้องของเจ้าชายปีศาจ ฉีกกระชากและตัดเฉือนผ่านเกล็ด ‘กล้ามเนื้อ’ และกระดูก ยังผลให้โลหิตสีดำมีฤทธิ์กัดกร่อนไหลทะลักออกมากองโต อวัยวะภายในที่ขยับยุกยิกอยู่ตลอดเวลาดูราวกับปีศาจตัวน้อยพลันเผยโฉมต่อหน้าลูเซียน
เจ้าชายปีศาจกรีดร้องเสียงดังลั่นจนทั้งมิติพิเศษสั่นสะเทือน แล้วจู่ๆ มันก็อ้าปาก สำรอกเอาวัตถุรูปร่างเหมือนมนุษย์ที่มีเมือกโอบล้อมรอบกายออกมา เจ้าสิ่งนั้นมีเขาปีศาจดูเป็นเอกลักษณ์พิเศษและยังแผ่ไอพลังน่าคร้ามเกรงของชั้นตำนานระดับสูงออกมา เพียงกลิ่นอายเหนือคำบรรยายนี้ก็เพียงพอจะทำให้พื้นดินแตกแยก เผยให้เห็นสายธารลาวาบนเนินสูงสกาเล็ต
‘ปีศาจมีรูปร่างเช่นนั้นน่ะหรือ’
‘มันย่อมไม่มีทางเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงหากมิใช่ว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสใช่หรือไม่’
แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร มันก็สายเกินไปแล้ว
“เปลวไฟนิรันดร์!”
ขณะที่ลูเซียนยื่นมือซ้ายออกไป แสงเจิดจำรัสร้อนแรงเหนือจินตนาการก็พลันแผ่พุ่งออกจากหน้าท้องของเจ้าชายปีศาจ ราวกับว่าดวงอาทิตย์นับหมื่นดวงได้มาเยือนพร้อมๆ กัน!
มัลฟิวเรียนต้องหลับตาลงอย่างช่วยไม่ได้แม้ว่าจะมีไม้คทาสีเขียวของตนคอยคุ้มครองอยู่ เขานึกสงสัยว่าดวงตาของตนคงจะมืดบอดไปแล้วหากเขามิได้ร่ายเวทคุ้มกันกายเสริมให้กับตัวเอง
ขณะยกโล่แห่งสัจธรรมขึ้น นาตาชาก็ยังคงหลับตา หากไร้ซึ่งปราการกีดขวางอย่างรอยแยกแห่งอเวจี นางก็ไม่กล้าจ้องมองแสงเจิดจ้าชั่วครู่ที่เกิดขึ้นยาม ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ ถูกใช้ออกไปเช่นกัน
ระลอกคลื่นดั่งภาพมายาเลือนรางแผ่ออกมาจากโล่แห่งสัจธรรมและแยกตัวนางออกจากโลกที่แท้จริงอย่างสิ้นเชิง ส่งตัวนางเข้าไปอยู่ในโลกที่มิอาจหาคำใดมาอธิบายได้
ด้วยสูญเสียอุปกรณ์และฤทธิ์เวทมนตร์ไปเสียส่วนใหญ่ เศียรแพะหน้าคนของราชันย์แห่งโลหิตจึงแลบลิ้นสีแดงเข้มที่ดูเหมือนงูมารับมือกับดาบสีเงินที่หวดมาไม่ยั้งพร้อมกับดาบยักษ์สองเล่ม ทว่า เนื่องจากเจ้าชายปีศาจเป็นผู้ควบคุมราชันย์แห่งโลหิต มันจึงมิได้รับการตอบสนองและเสริมพลังจากมิพิเศษแห่งนี้ ลิ้นกับดาบยักษ์สองเล่มเริ่มปริร้าวไปทีละอย่างๆ ก่อนที่รอยร้าวดุจภาพมายาจะเริ่มแผ่ไปยังร่างกายมัน
“เจ้าโง่ พยายามกว่านี้สิ!” มันคำรามใส่อีกเศียรผ่านทางกระแสจิตของพวกมัน
เศียรสุนัขกำลังจะสำแดงฤทธิ์เดชของมัน แต่จู่ๆ มันก็สังเกตเห็นแสงเจิดจ้า มันจึงหันไปมอง ‘นาย’ ของมันตามสัญชาตญาณ แต่แล้วดวงตาของมันกลับพร่าเลือนเพราะแสงเจิดจรัสร้อนแรงน่าหวาดหวั่นนี้
“ตาข้า!” เศียรสุนัขกรีดร้องออกมา
จากนั้น มันก็สัมผัสได้ถึงแสงอันบริสุทธิ์ที่ไหลทะลักมาพร้อมกับอุณหภูมิร้อนสูงน่ากลัว กลืนกินทุกสรรพสิ่งลงไป
“ไม่!!!!”
หน้าท้องของเจ้าชายปีศาจละเหยหายไปทั้งหมด แสงที่ระเบิดออกกับอุณหภูมิร้อนสูงที่ทำให้ทุกอย่างหลอมละลายได้กลืนกินร่างมนุษย์ปกคลุมด้วยเมือก เช่นเดียวกับหางและศีรษะของมัน
ดวงตะวันอันเจิดจ้าโผล่ขึ้นไปบนท้องนภา ขับไล่ความมืดมิดและกลืนกินความมืดดั้งเดิมไปเสียสิ้น
จากนั้น พายุพลังที่เทียบเท่ากับภูเขาไฟระเบิดนับครั้งไม่ถ้วนก็แผ่พุ่งออกมาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ป่าถูกทำลาย แท่นบูชาพังพินาศ แนวก้อนหินแตกกระจาย และป้อมปราการเลือดเนื้อที่อยู่ห่างไกลออกไปก็เริ่มแตกร้าว ก่อนจะถล่มลงมา ราวกับมันเพิ่งผ่านพ้นเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงมา
พายุพลังอันร้อนแรงทำลายล้างทุกสิ่งอย่างและทำให้ทุกสิ่งที่ติดไฟได้บนที่ราบนี้เกิดเปลวเพลิงลุกไหม้
เหล่าปีศาจถูกฉีกกระฉากร่างออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เปลวไฟหลากสีต่างผุดขึ้นมาจากศพของพวกมัน
ตูม!
หลังจากเกิดแสงสว่างนั้น เสียงระเบิดกึกก้องจนหูดับก็ดังขึ้นราวกับสายฟ้าฟาด มิติพิเศษ ‘เนินสูงสกาเล็ต’ ทั้งใบพลันสั่นสะเทือนรุนแรง ราวกับว่านี่คือวันสิ้นโลก
บนท้องฟ้า กลุ่มควันรูปทรงเห็ดม้วนตัวขึ้นสูง ซึ่งส่วนหัวที่เป็นทรงกลมแปลกประหลาดนั้นให้ความรู้สึกน่าทึ่งและความงามของการทำลายล้าง มันแสดงถึงข้อสรุปแสนสมบูรณ์แบบของการระเบิดก่อนหน้านี้ และทิ้งสัญลักษณ์ที่ควรค่าแก่การจดจำเอาไว้
ขณะจ้องมองกลุ่มควันทรงกลมขนาดใหญ่ยักษ์ มัลฟิวเรียนก็พลันเข้าใจว่าเหตุใด ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ จึงถูกมองว่าเป็นเวทมนตร์แห่งการทำลายล้างเพียงเท่านั้น ส่วนนาตาชากลับนึกสงสัยว่าเมื่อไหร่กันที่การโจมตีของนางจะรุนแรงถึงระดับนี้ได้
แกร๊กๆๆ ชิ้นส่วนร่างกายที่ปะปนด้วยเกล็ดที่ถูกย้อมเป็นสีดำกับโลหิตสีเข้มตกลงกระทบพื้นดิน ทว่า เมื่อไร้ซึ่งพลังในการฟื้นฟูของเจ้าแห่งปีศาจ พวกมันก็เป็นได้เพียงชิ้นส่วนไร้ชีวิต
ลูเซียนดันแว่นตาข้างเดียวขึ้นและจ้องมองกลุ่มควันรูปเห็ด ร่างใหญ่โตมโหฬารของเจ้าชายปีศาจแตกกระจายไปแล้ว แต่กลับมีหลุมดำที่ดูวุ่นวายโกลาหลแปลกๆ ตรงกลางร่างของมัน และจากหลุมนั้น ก็สามารถมองเห็นสระน้ำที่เดือดปุดๆ ไม่หยุด
ความมืดในหลุมนั้นเลือนหายไป และภาพทิวทัศน์ภายในนั้นก็เริ่มชัดเจนขึ้น มันคือมหาสมุทรแห่งแสงสีเขียว ที่ที่ฟองสีขาวผุดพรายเดือดพล่านไม่หยุด บนท้องทะเลนั้นมีกลุ่มปะการังและหมู่เกาะอยู่มากมาย แต่พวกมันกลับถูกหลอมละลายเพราะมิติสีแดงเข้มที่แผ่กระจายอยู่รอบๆ นั้น
“กระเพราะอเวจีกับทะเลน้ำกรด…” สองชื่อที่ลูเซียนเอ่ยเสียงแผ่วออกมานั้นก็คือชื่อของระดับชั้นแห่งนั้นในมิติอเวจีและบ้านที่แท้จริงของเจ้าชายปีศาจ มันจะมีพลังใกล้เคียงมนุษย์ครึ่งเทพเมื่อต่อสู้ในชั้นนั้น “ดูเหมือนว่าการโจมตีก่อนหน้านี้จะจัดการเจ้าปีศาจได้ไม่เด็ดขาด…”
ลูเซียนหาได้รู้สึกเสียดายไม่ อย่างไรเสีย เขาก็เป็นเพียงผู้มีพลังชั้นตำนานระกับสาม และเขาก็ไม่ได้เตรียมวัสดุอุปกรณ์ใดๆ มาล่วงหน้า นอกจากนี้ สมรภูมิในการต่อสู้ก็ยังเป็นมิติอเวจีอีกด้วย
ฟองสีขาวผุดพรายขึ้นมาเหนือผิวน้ำทะเลของ ‘ท้องอเวจี’ ปราสาทสีเข้มดูทึบทึมนั้นมองเห็นได้เลือนลางจากก้นทะเลลึก นั่นก็คือปราสาทของเจ้าชายปีศาจ
ฟองเหล่านั้นเริ่มเกาะตัวกันหนาแน่น ฉับพลันนั้น ใบหน้าของลิงบาบูนก็ปรากฏออกมา และจดจ้องมาที่ลูเซียนผ่านช่องว่างระห่างสองมิติพิเศษที่ยังไม่หายไป เจ้าปีศาจประกาศกร้าวด้วยความเกลียดชังอย่างหาที่สดมิได้
“เจ้ามนุษย์ เจ้าจักต้องชดใช้ในเรื่องนี้!”
เสียงของมันฟังดูอ่อนแรงอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ การถูกลอบโจมตีโดยศรแห่งธรรมชาติ และเพราะ ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ ระเบิดจากข้างในตัวมัน เจ้าปีศาจจึงแทบจะดับดิ้นไปโดยสมบูรณ์
ทว่า แม้ว่ามันจะหลบหนีไปได้ในท้ายที่สุด มันก็ต้องละทิ้งร่างเพื่อเกิดใหม่ด้วยแก่นพลังปีศาจที่มันจัดเก็บไว้ในปราสาทก่อนหน้านี้
ในตอนที่เจ้าชายปีศาจเพิ่งจะเอ่ยจบประโยค ฉับพลันนั้นลูเซียนก็ถลึงตาแทบถลน เพราะเขามองเห็นเงาสายหนึ่งที่กำลังโผล่ออกมาจากปราสาทใต้ทะเลแล้วเข้าโอบล้อมมันไว้อย่างว่องไว!
เงาสีเข้ม ดูเหมือนดั่งดอกไม้กินเนื้อที่กำลังย่อยอาหาร มันขยับไหว ประเดี๋ยวยืดขยาย ประเดี๋ยวหดลง
“ผู้ใดกัน”
“กอนไฮล์ม เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้”
“ปล่อยข้านะ!”
“ข้าจะฆ่าเจ้า…”
เสียงอันมุ่งร้ายฟังดูวุ่นวายสับสนของเจ้าชายปีศาจดังออกมาจากเงามืดนั้น แต่มันกลับอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ
“กอนไฮล์มงั้นรึ เดโมกอร์กอนแห่งความมืดเช่นนั้นน่ะหรือ” มัลฟิวเรียนพลันตระหนักถึงบางสิ่งหลังจากได้ยินชื่อนั้น
ลูเซียนกับนาตาชาเองก็รู้เช่นกันว่ากอนไฮล์มกำลังทำอะไร แม้ว่าทั้งสองจะยังไม่รู้ว่าราชินีเอลฟ์กำลังวางแผนจะทำอะไร!
วิธีวิวัฒนาการที่ดีที่สุดสำหรับเหล่าปีศาจก็คือ กลืนกินเจ้าชายปีศาจองค์ก่อนเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขสันต์แห่งอเวจี!
ลูเซียนก้าวไปข้างหน้าโดยสัญชาตญาณและคิดจะหยุดเหตุการณ์นี้ มันจะมิใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยหากปีศาจตนอื่นกำลังจะเลื่อนขั้นขึ้นเป็น ‘เจ้าชายปีศาจ’ ซึ่งมีพลังชั้นตำนานระดับสูง เพราะพวกมันหาได้มีความแตกต่างไม่ แต่ ‘เดโมกอร์กอนแห่งความมืด’ และ ‘เจ้าแห่งภูติผี’ นั้นเป็นตัวเลือกที่เลวร้ายที่สุด เพราะพวกมันเหมือนกับพวกภูตผีมากที่สามารถสะกดข่มความกระหายในการฆ่าฟันและวางแผนร้ายที่มีความซับซ้อนได้
“ไม่!!!!!”
เจ้าชายปีศาจพลันกรีดร้องโหยหวนอย่างทุกข์ทรมาน ก่อนที่เสียงของมันจะเงียบหายไปเสียดื้อๆ
จู่ๆ ฟองอากาศในทะเลน้ำกรดก็เพิ่มขึ้น ราวกับกำลังเดือดพล่าน มิติสีแดงที่ขยับไหวอยู่รอบๆ นั้นพลันถูกแช่แข็ง ก่อนที่มันจะเชื่อมต่อกับธารน้ำแข็งมืดทึบเย็นยะเยียบ
บนธารน้ำแข็งนั้นมีปราสาทสูงทึบทึมที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ตั้งอยู่
แต่ทันใดนั้น ปราสาทก็กลายเป็นภาพพร่าเลือน เผยให้เห็นบัลลังก์สีดำที่ตั้งหันหลังให้กับลูเซียน แต่ก็เห็นได้ลางๆ ว่ามีใครบางคนที่ตัวสูงชะลูดนั่งอยู่บนนั้น
บนท้องฟ้าในเนินสูงสกาเล็ต มิติทะเลเดือด ดินแดนแห่งโครงกระดูก ปราสาทแห่งความหลอกลวง และมิติพิเศษอื่นๆ พลันหม่นแสงลง ดวงอาทิตย์หายลับไป แทนที่ด้วยความมืดมิด สายฝนแห่งความว่างเปล่าเทลงมาจากท้องนภา
เสียงคำรามมากมายที่เต็มไปด้วยความกระหายอยากในการฆ่าฟันดังกึกก้องไปทั่วทั้งอเวจี ฟังดูราวกับบทเพลงอันไพเราะที่ประพันธ์ขึ้นโดยใช้ภาษาถิ่นแห่งความมืด
บรรดาปีศาจที่มีระดับต่ำกว่าเจ้าแห่งปีศาจต่างคุกเข่าลงไป ทั้งยังรวมถึงภูตผีที่แอ็ปซิส เจ้าแห่งภูตผี เป็นผู้สร้างขึ้น
เจตจำนงแห่งอเวจีกำลังแสดงความสุขสันต์ที่ได้เห็นการหักหลัง กวาดล้าง กลืนกิน และการทำร้ายกันเอง!
…
ภายในถ้ำ วงแหวนเวทได้หายไปแล้ว และภาพมายาสะท้อนของราชินีเอลฟ์กับแลงค์เชียร์ก็เช่นกัน
หลังจากที่รูปปั้นเล็กสีเข้มถูกศรแห่งธรรมชาติปัก เฟอร์รากอนด์ก็พลันเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างยิ่งในการต่อสู้กับภาพมายาสะท้อนของปีศาจในร่างเขา ไม่นานเขาก็กำจัดมันไปได้และเริ่มรักษาบาดแผลของตัวเอง ด้วยเหตุผลใดมิอาจทราบได้ แต่อยู่ๆ เขาก็นึกไปถึงบทสนทนาระหว่างองค์ราชินีกับแลงค์เชียร์เมื่อครู่นี้
“เหตุใดแผนการของข้าจึงล้มเหลว พระองค์ทรงทราบได้อย่างไร…” ก่อนที่การแปรสภาพจะเสร็จสมบูรณ์ แลงค์เชียร์ยังคงพูดต่อไปด้วยความเสียดาย
อะเกลียยา ราชินีเอลฟ์ ถอนหายใจ “เจ้าชายปีศาจตนนี้หาใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนและทำตามแผนการอยู่แล้ว เจ้าได้แผนการนี้มาจากผู้ใดเล่า”
“เดโมกอร์กอนแห่งความมืดหักหลังเจ้าชายปีศาจ แต่เขาไม่กลัวเลยหรือว่าจะถูกเจ้าชายปีศาจที่โกรธเกรี้ยวร่วมมือกับเจ้าแห่งปีศาจตนอื่นสังหารเอา” แลงค์เชียร์ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
อะเกลียยาส่ายหน้า “ก็อย่างที่ข้าบอก นี่คือโลกแห่งการแข่งขัน ที่ที่เหล่าผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงต่อสู้ดิ้นรนเป็นมนุษย์ครึ่งเทพและผู้มีพลังชั้นตำนานระดับอื่นๆ ต้องยอมเสี่ยงเพื่อเลื่อนระดับขึ้น สำหรับกอนไฮล์มแล้ว นี่อาจจะเป็นแผนการที่เสี่ยงอันตรายที่สุด แต่ก็นับเป็นโอกาสที่ดีที่สุดเช่นกัน ครานี้ หากเขามิตาย เขาก็จะกลืนกินเจ้าชายปีศาจได้สำเร็จ!”
“บางที การดับสูญของผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงอาจเป็นใบเบิกทางที่แท้จริงสู่โลกแห่งการแข่งขันก็เป็นได้…”
เฟอร์รากอนสงบจิตใจลงได้แล้ว เขาคิดกับตนเองในใจ ‘แม้ฝ่าบาทจะทรงแปรสภาพไปได้โดยสมบูรณ์ แต่ข้าเกรงว่าเส้นทางสู่การเป็นมนุษย์ครึ่งเทพนั้นยังอีกยาวไกลนัก…ข้าหวังจริงๆ ว่าพระนางจะทำสำเร็จได้ในท้ายที่สุด…’
…
ทะเลน้ำกรดกลายเป็นเย็นเยียบจนปรากฏน้ำแข็งชั้นๆ บางขึ้นบนผิวน้ำ ในขณะที่ธารน้ำแข็งเหนือป้อมปราการเยือกแข็งหลอมรวมเข้ากับสายธารน้ำกรด
ทั้งสองมิติพิเศษทับซ้อนและหลอมรวมกันเป็นเช่นนั้น!
ความมืดอันลึกล้ำแผ่พุ่งจากด้านล่างบัลลังก์ ก่อนที่ไอพลังน่าหวาดหวั่นจะระเบิดโพลง จากระดับหนึ่ง เลื่อนขึ้นเป็นสอง สาม และหยุดที่ชั้นตำนานระดับสูงสุด!
ท่ามกลางเสียงแซ่ซ้องแห่งการยอมจำนน บัลลังก์นั้นก็หมุนกลับมา ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นคือบุรุษหน้าตาหล่อเหลาที่สวมชุดสูทชายยาวสีดำและมีเส้นผมยาวสลวยเป็นประกายดุจน้ำแข็ง ผิวของเขาค่อนข้างเข้ม นอกเหนือจากเขาปีศาจเล็กจิ๋วหนึ่งคู่บนหน้าผากแล้ว เขากลับดูไม่ต่างจากมนุษย์เลย
ในทีแรก ดวงตาของเขายังเป็นสีดำ ก่อนที่มันจะเปลี่ยนสีสันไปเรื่อยๆ ทีละสีๆ
กอนไฮล์ม เดโมกอร์กอนแห่งความมืด จดจ้องมาทางลูเซียน นาตาชา และมัลฟิวเรียน และมองไปที่ซากแท่นบูชาด้วยไอพลังที่น่าคร้ามเกรง จากนั้น เขาก็ผุดลุกขึ้นจากบัลลังก์และค้อมกายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างเสียดสี และทาบมือขวาไว้บนอก
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ”
มันก็คือ ‘เจ้าชายปีศาจ’ องค์ใหม่!