Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 687 ท่าทีของอะเกลียยา
ความมืดมิดเข้มข้นโรยตัวลงมาปกคลุมป้อมปราการเยือกแข็งและทะเลน้ำกรด ทำหน้าที่เป็นม่านบังเวทีให้กับเจ้าชายปีศาจองค์ใหม่ เสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด โทสะ ความเกลียดชังและความกระเหี้ยนกระหือรือยังคงดังกึกก้องแซ่ซ้องในความว่างเปล่า เสียงเหล่านั้นฟังดูคล้ายบทเพลงแห่งความโกลาหลและกวาดล้างฆ่าฟันที่ประพันธ์ขึ้นโดยใช้ภาษาถิ่นแห่งความมืดเพื่อแสดงความยินดีกับกอนไฮล์มที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์
ที่ชั้นอื่นๆ ของมิติอเวจี ณ ทะเลทรายแห่งหนึ่ง ที่ที่บรรดาภูตผีรูปร่างประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนได้ดับดิ้นสิ้นชีวี มีปราสาทหลังใหญ่โอฬารที่สร้างขึ้นจากกระดูกชิ้นใหญ่ยักษ์มากมายตั้งอยู่ บนยอดปราสาทหลังนั้น ปรากฏสัตว์ประหลาดรูปลักษณ์เลือนลางในชุดคลุมตัวยาวสีดำที่ลอยตัวอยู่ตรงนั้นและจ้องมองไปยังทิศทางของทะเลน้ำกรด ใบหน้าของมันแห้งตอบและเหี่ยวแห้งโรยราจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก แต่ในดวงตาลึกโหลกลับมีดวงไฟที่ลุกโชนอยู่ลางๆ
ปฏิกิริยาระหว่างเนินสูงสกาเล็ตกับท้องอเวจีได้จบลงแล้ว และกอนไฮล์มก็มิได้ทำสิ่งใดอื่นอีก สำหรับมันแล้ว การสู้กับลูเซียน นาตาชา และมัลฟิวเรียนในยามนี้นับเป็นเรื่องไร้ความหมาย หลังจากที่มันเพิ่งกลืนกิน ‘แก่นพลัง’ ของเจ้าชายปีศาจองค์ก่อน มันก็ได้รับเกียรติและ ‘การตอบสนอง’ จากมิติอเวจีและเลื่อนขั้นขึ้นเป็นชั้นตำนานระดับสูงสุดได้สำเร็จ บัดนี้จึงเป็นเวลาที่มันต้องทำให้พลังในตัวมีความเสถียรมั่นคง การเริ่มศึกใหม่อย่างไร้หัวคิดมีแต่จะมอบโอกาสอันดีงามให้แก่เจ้าแห่งปีศาจตนอื่นๆ ผู้ละโมบโลภมาก
เมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นเลื่อนขั้นได้สำเร็จแล้ว ลูเซียนจึงไม่คิดจะบุกฝ่าเข้าไปในป้อมปราการเยือกแข็งเช่นกัน ส่วนหนึ่งก็เพราะเดโมกอร์กอนแห่งความมืดนั้นมีพลังใกล้จะถึงระดับมนุษย์ครึ่งเทพแล้ว และอีกส่วนหนึ่งก็คือ สิ่งที่อยู่เบื้องหลังแผนการร้ายในครั้งนี้บีบให้เขาต้องคิดให้รอบคอบ นอกจากนี้ การเปลี่ยนผู้ครองตำแหน่งเจ้าชายปีศาจหาได้เป็นภัยต่อสภาเวทมนตร์ในยามนี้ เว้นแต่ว่าราชินีเอลฟ์จะโน้มเอียงไปทางฝ่ายอเวจีอย่างเต็มตัว ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย มันย่อมมิใช่ปัญหาหากจะร่วมมือและฉวยโอกาสจากปีศาจเหล่านั้น แต่มิมีผู้ใดเคยคิดจะสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรอย่างยาวนานกับปีศาจกระหายเลือดที่ไร้ความน่าไว้วางใจ
ท้องทะเลอันมืดมิดเย็นเยียบและป้อมปราการน้ำแข็งเลือนหายไปจากท้องฟ้า และเนินสูงสกาเล็ตก็กลับมาสู่ความเป็นปกติ เว้นเสียแต่ซากศพกระจัดกระจายและถูกเผาไหม้เกรียมของเหล่าปีศาจบนพื้นดิน
ขณะมองชิ้นส่วนที่เหลืออยู่ของราชันย์โลหิต ผู้ไม่สามารถใช้เวทคุ้มกันกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเนื่องจากฤทธิ์เดชของดาบแห่งสัจธรรม มัลฟิวเรียนก็พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน ศรแห่งธรรมชาติที่จู่ๆ ก็ยิงออกมาจากแท่นบูชาทำให้เขาเข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง และนั่นทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่ปนเปซับซ้อนกันอย่างยิ่ง
“สรุปว่า เดโมกอร์กอนแห่งความมืดคือผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้สินะ ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่ามันทำให้เจ้าชายปีศาจไว้ใจได้อย่างไร…” ขณะเก็บโล่แห่งสัจธรรมที่มีรอยร้าวบนพื้นผิวด้านหน้า นาตาชาก็แหงนมองบนฟ้าที่กลายเป็นสีฟ้าแล้วหลังจากที่ฝุ่นผงถูก ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ ปัดเป่าไป แสงแดดที่สาดส่องลงมาโดยไร้สิ่งใดปะปนให้ความรู้สึกสบายเป็นพิเศษ
ลูเซียนส่ายศีรษะอย่างเห็นขัน “ข้าไม่มีทางล่วงรู้จิตใจอันสับสนวุ่นวายของพวกปีศาจหรอก บางที กอนไฮล์มอาจค้นพบจุดอ่อนในใจของเจ้าชายปีศาจก็ได้ แต่ว่า สิ่งที่เราควรจะเป็นกังวลก็คือเบาะแสเบื้องหลังเหตุการณ์นี้ ดูเหมือนว่าไวเค็นจะลอบเผยแพร่วิธีการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพให้กับผู้มีพลังชั้นตำนานที่คัดสรรมาอย่างดีจริงๆ ด้วยเหตุนี้ จึงจินตนาการได้ไม่ยากเลยว่าสถานการณ์จะซับซ้อนอย่างที่สุดเพราะการแข่งขันอันเข้มข้น ตอนนี้คงมีคนวางแผนชั่วร้ายและแผนกวาดล้างอยู่อย่างนับไม่ถ้วนเป็นแน่”
บางที นักเวทชั้นตำนานบางคนในสภาเวทมนตร์ก็อาจได้รับรู้เรื่องนี้เช่นกัน!
ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างเปิดเผย มิได้ผ่านทางกระแสจิต เพื่อบอกข้อมูลนี้ให้มัลฟิวเรียนทราบ
“ใช่ การจัดวางแท่นบูชา สิ่งปนเปื้อนในต้นไม้เอลฟ์ และเอลฟ์ที่ถูกความวิบัติกลืนกินต่างก็คล้ายกับวงแหวนแปรสภาพภายในทวาราจักร แต่ว่า หากมิใช่พระสันตะปาปาไวเค็นที่ลงมือ แต่เป็นสัตว์ประหลาดไวเค็นเล่า” นาตาชาเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นางได้รู้ทุกๆ เรื่องเกี่ยวกับทวาราจักรจากลูเซียน
หลังจากเงียบไปนาน จู่ๆ มัลฟิวเรียนก็อ้าปากเอื้อนเอ่ย “เจ้ากำลังจะบอกว่าองค์ราชินีร่วมมือกับเดโมกอร์กอนแห่งความมืด ตลบหลังเจ้าชายปีศาจ และแปรสภาพของพระนางด้วยแผนชั่วร้ายของมันเช่นนั้นหรือ”
“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นขอรับ” ลูเซียนพยักหน้าโดยไม่ออกความเห็นใดเพิ่มเติม เขามองไปรอบๆ เพียงเพื่อจะพบว่าชิ้นส่วนของราชันย์โลหิตและเจ้าปีศาจส่วนใหญ่หายไปโดยสมบูรณ์เพราะแรงพลังจาก ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ เขาจึงทำได้เพียงเก็บเศษซากที่สามารถนำไปใช้เป็นวัสดุสำหรับการทดลอง
ขณะทั้งสามเดินทางกลับออกจากรอยแยกแห่งอเวจี นาตาชาก็กล่าวผ่านกระแสจิต “ราชินีเอลฟ์คงจะต้องวางแผนเลื่อนขั้นขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพอยู่แน่ๆ นางจะเป็นภัยต่อสภากับอาณาจักรหรือไม่”
หากว่าราชินีเอลฟ์มีแนวโน้มจะเป็นภัย นางก็ควรจะถูกจัดการให้เร็วที่สุด!
“ราชินีเอลฟ์คงจะแปรสถานะและเข้าใจในเคล็ดลับบางอย่างเป็นแน่ แต่ว่า การจะเป็นมนุษย์ครึ่งเทพด้วยวิธีของไวเค็น คนคนหนึ่งจะต้องเก็บสะสมพลังศรัทธา ดูจากประชากรเอลฟ์แล้ว ทางเลือกเดียวของพระนางก็คือการขยับขยาย แต่มันจะง่ายกว่ามากหากพระนางเลื่อนขั้นได้สำเร็จผ่านการตอบสนองจากธรรมชาติและพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งธรรมชาติ ซึ่งใกล้เคียงกับแก่นพลังของพระนางมากกว่า อีกอย่าง สภาก็แข็งแกร่งกว่าพวกคัวโทน จึงเดาได้ไม่ยากเลยว่าพระนางจะเลือกขยายเผ่าพันธุ์ไปทางไหน” ลูเซียนวิเคราะห์
นาตาชาพยักหน้า “พวกคัวโทนมีชั้นตำนานระดับสูงสุดเพียงตัวเดียว แต่ทางสภามีถึงสี่คน ตราบใดที่ความคิดของราชินีเอลฟ์ไม่ถูกความรู้สึกด้านลบบดบังเสียสิ้น พระนางย่อมเลือกทางที่ถูกต้องแน่นอน อีกอย่าง มหาสมุทรก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และเป็นส่วนที่ใหญ่มากเสียด้วยหากคิดจะทำแบบนั้นล่ะก็ แต่ถึงอย่างนั้น หลังจากที่ราชินีเอลฟ์กลายเป็นมนุษย์ครึ่งเทพจริงๆ พระนางจะยังรักษาความเป็นพันธมิตรกับเราอยู่หรือไม่”
“แม้จะมองข้ามอัตราความสำเร็จอันน้อยนิดและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นบนเส้นทางนี้ไป เมื่อใดที่พระนางรวบรวมพลังศรัทธาได้มากพอสำหรับการเลื่อนขั้น อาร์คานาศาสตร์ก็คงจะพัฒนาไปถึงจุดที่มันสามารถสร้างเส้นทางสู่การเป็นมนุษย์ครึ่งเทพที่แท้จริงได้โดยไร้ความเสี่ยงใดๆ แล้วเป็นแน่!” น้ำเสียงลูเซียนฟังดูสงบเยือกเย็นและมั่นใจยิ่ง
นาตาชาแย้มยิ้มและไม่ถามอะไรต่อ แต่แล้ว ท่าทีของนางก็กลับกลายเป็นเคร่งเครียด “ท่ามกลางยุคสมัยแห่งความขัดแย้งและวิวัฒนาการอันรวดเร็ว ข้ามิอาจพึงพอใจกับแค่การได้เลื่อนขึ้นเป็นอัศวินชั้นตำนาน ข้าจำต้องพยายามให้หนักกว่านี้!”
จากนั้น นางก็กำหมัดแน่น “ข้าจะเลื่อนขั้นให้ทันเจ้าและทวงคืนบทบาทของเราให้กลับสู่ความปกติอย่างแน่นอน!”
ลูเซียนส่งยิ้มกลับให้นางด้วยสีหน้า ‘ยั่วยุ’ อย่างชัดเจน
…
ยังไม่ทันที่พวกเขาจะกลับไปถึงถิ่นพำนักแห่งธรรมชาติ ลูเซียน นาตาชา และมัลฟิวเรียนก็ได้ยินน้ำเสียงกระจ่างใสไพเราะของราชินีเอลฟ์แล้ว “ท่านอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติ ขอบคุณท่านสำหรับความทุ่มเทที่มีให้แก่ชาวเอลฟ์เรา ท่านพบตัวการที่แท้จริง นั่นก็คือแลงค์เชียร์ และชำระมลทินให้แก่เฟอร์รากอนด์ เชิญพวกท่านมาพบข้าที่พระราชวังก่อนเถิด”
ลูเซียนและนาตาชาหันมองสบตากัน และต่างสัมผัสได้ถึงความเมตตากรุณาของราชินีเอลฟ์ ในขณะเดียวกันนั้น ทั้งสองก็จดจ่อสมาธิไปที่การคุ้มกันของสถานที่ เตรียมพร้อมจะกลับไปยัง ‘จักรวาลอะตอม’ ทันทีที่เกิดความผิดปกติใดๆ ขึ้น
มัลฟิวเรียนบินนำหน้าไปโดยไม่พูดอะไร จนกระทั่งพวกเขามาถึงพระราชวังบนยอดต้นไม้เอลฟ์แล้วนั้น เขาจึงดูมีสีหน้าดีขึ้น
พระราชวังนั้นดูประณีตงดงามแต่มิได้หรูหราโอ่อ่าจนเกินไป แอตแลนต์ จูรีเซียน เฟลิเป ไฮดี้ และนักเวทคนอื่นๆ มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
เฟอร์รากอนด์มิได้มาร่วมประชุมด้วย โดยใช้เรื่องบาดแผลเป็นข้ออ้าง ทว่า หลังจากที่ความรู้สึกเกลียดชังของเขาถูกเปิดเผยและกำจัดออกไป ท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อมนุษย์ของเขาก็อ่อนลง ‘นิกายธรรมชาติเคียดแค้น’ คงจะได้เปลี่ยนเป็น ‘นิกายพิทักษ์ธรรมชาติ’
อะเกลียยา ราชินีเอลฟ์ ยังคงอยู่ในชุดที่ทำจากใบไม้สีเขียว นางลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม “ขอให้ข้าได้แสดงความซาบซึ้งใจแทนชาวเอลฟ์ทุกตนด้วย”
เมื่อเห็นว่าร่างแบบบางของนางดูพร่าเลือนไปไม่น้อย ลูเซียนกับนาตาชาก็ลอบพยักหน้า พระองค์เปลี่ยนสถานะได้สำเร็จจริงๆ แต่ในเมื่อการควบคุมสถานะใหม่นี้ยังไม่สมบูรณ์ พระองค์จึงยังดูค่อนข้างผิดแปลก ทว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงเปิดเผยความผิดแปลกนี้อย่างไม่ปิดบัง ก็ชี้ให้เห็นถึงท่าทีของพระองค์ที่ต้องการจะแสดงความซื่อตรงและการให้ความร่วมมือ
“ท่านอีวานส์ ท่านฟอร์แมน นี่คือผลจากต้นไม้เอลฟ์สองลูก ท่านทั้งสองต้องรับมันกลับไป แม้ว่าของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดก็ไม่อาจเทียบเท่าความซาบซึ้งใจของเราเลย” ราชินีเอลฟ์ตรัสกับลูเซียนและแอตแลนต์ ก่อนที่พระองค์จะทรงหันไปหยิบกล่องสีเขียวทำจากกิ้งไม้ทั้งสองกล่องมา กลิ่นหอมจางๆ ลอยกรุ่นมาจากด้านในกล่อง เพียงสูดดมเข้าไปหนึ่งครั้ง ลูเซียนก็พลันรู้สึกว่าทุกรูขุมขนบนร่างกายเปิดกว้าง
อาร์เซเลียนและมัลฟิวเรียนอ้าปาก พยายามจะหยุดยั้งโดยสัญชาตญาณ เพราะมันต้องใช้เวลานานมากๆ กว่าต้นไม้เอลฟ์จะออกผล และแต่ละครั้งก็ออกมาเพียงไม่กี่ผลเท่านั้น นอกจากนี้ ผลต้นไม้เอลฟ์เหล่านี้ยังสามารถนำไปใช้ได้หลากหลายรูปแบบ ในท้องพระคลังยามนี้เหลือเพียงสามลูกเท่านั้น และตอนนี้สองในสามนั้นก็กำลังถูกมอบให้ผู้อื่น!
แต่ทว่า ทั้งสองต่างสะกดกลั้นแรงกระตุ้นในใจ ไม่ว่าเบื้องหลังเหตุการณ์นี้จะคือสิ่งใด ก็เป็นความจริงที่ว่าเหล่านักเวทจากสภาเวทมนตร์ได้ ‘ช่วยเหลือ’ ชาวเอลฟ์ไว้อย่างแท้จริง
ลูเซียนรับกล่องมาและขอบคุณองค์ราชินีอย่างมีมารยาท ด้วยผลจากต้นไม้เอลฟ์ และน้ำพุแห่งความอ่อนเยาว์ เขาก็จะสามารถทำพิธีกรรมที่ตัวเขากับนาตาชาใช้พร้อมๆ กันได้!
หลังจากที่นักเวทชั้นตำนานทั้งสองรับของขวัญไป และนักเวทคนอื่นๆ ต่างก็ได้รับของขวัญที่แตกต่างกันไปจากไอริสทีน ราชินีเอลฟ์ก็แย้มยิ้มอีกครั้ง “ท่านอีวานส์ เราไม่เคยได้เรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาทางอาร์คานาศาสตร์เลยจนกระทั่ง ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ ส่งสัญญาณครอบคลุมมาถึงป่าสตรู๊ป เอลฟ์หลายตนค่อนข้างสนใจมันทีเดียว”
รายการวิทยุแสนล้ำสมัยที่ขัดแย้งกับชีวิตประจำวันของชาวเอลฟ์นั้นค่อนข้างเป็นที่นิยมในหมู่พวกเขา
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งพะยะค่ะ” ลูเซียนตอบรับยิ้มๆ เขาพอจะเดาออกแล้วว่าราชินีเอลฟ์กำลังจะพูดอะไรต่อ
อะเกลียยาพยักหน้า “เราชาวเอลฟ์ไม่เคยเป็นพวกหัวเก่าดื้อด้าน และเราต่างเรียนรู้ข้อดีทั้งหลายของอารยธรรมอื่นๆ มาตลอด ดังนั้น ข้าจึงไม่คิดห้ามผู้ใดที่มีความสนใจในอาร์คานาและเวทมนตร์ แท้จริงแล้ว ข้าอยากจะให้พวกเขาได้ไปร่ำเรียนที่นครอัลลิน หากเป็นเช่นนั้น เราก็จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาร์คานาอย่างแท้จริงและกำจัดความเขาใจผิดเกี่ยวกับมนุษย์ไปเสียให้หมด”
“ฝ่าบาท เราสามารถเรียนรู้กันและกันได้พะยะค่ะ พระองค์สามารถคัดเลือกเอลฟ์สักกลุ่มหนึ่งให้ไปเรียนอาร์คานาหรือเวทมนตร์ที่อัลลิน และเราก็สามารถคัดเลือกมนุษย์บางคนมาศึกษาพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งธรรมชาติในป่าสตรู๊ป หรืออนุญาตให้เหล่านักเวทผู้ที่สนใจในทักษะความสามารถที่มีมาแต่กำเนิดของชาวเอลฟ์มาอาศัยอยู่ที่ป่านี้ก็ได้พะยะค่ะ” ลูเซียนนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก็เสนอแนะอย่างขบขัน ‘นี่คือโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศหรืออย่างไร’
อะเกลียยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยใบหน้าย้มแย้มดีใจ “เป็นข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ไอริสทีน เจ้าจะเป็นตัวแทนราชสำนักเอลฟ์ไปเรียนรู้ที่นครอัลลิน”
“ข้าหรือเพคะ” ไอริสทีนมีท่าทางอึ้งงัน
รอยยิ้มของอะเกลียยาเลือนหายไป พระองค์ตรัสเสียงจริงจัง “แม้ว่าเจ้าจะเป็นชาวดรูอิด แต่มันก็มิใช่เรื่องเลวร้ายอันใดหากเจ้าจะเรียนรู้เกี่ยวกับอาร์คานาศาสตร์ มันจะช่วยให้เจ้าเข้าใจในความลับมากมายของธรรมชาติมากขึ้น”
นาตาชาเอ่ยยิ้มๆ ผ่านทางกระแสจิต “ดูเหมือนว่าราชินีเอลฟ์จะตั้งใจสานความสัมพันธ์กับสภาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นนะ”
‘เป็นตัวประกันสำหรับเรา’ ลูเซียนค่อนข้างพอใจกับเรื่องนี้ เขาลุกขึ้นยืนและถามว่า “ฝ่าบาท ชาวเอลฟ์มีประวัติศาสตร์มายาวนานและมีความรู้มากมาย กระหม่อมจึงใคร่ถามว่าพระองค์พอจะทรงทราบหรือไม่ว่ากระหม่อมจะหาวัตถุดิบชั้นตำนานทางกาล-อวกาศได้จากที่ใดพะยะค่ะ”
นี่คือเป้าหมายอย่างที่สองในการเดินทางครานี้