Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 704 อสรพิษวายป่วง
“เวทความเมตตาของเทพธิดาหิมะ!”
กระแสไฟฟ้าและแสงเลเซอร์อันเข้มข้นสายเล็กๆ มารวมตัวกันบนมือขวาของลูเซียนอย่างเหนือความคาดหมาย รอบๆ กระแสไฟฟ้านั้นมีเกล็ดหิมะและน้ำแข็งที่เต้นพลิ้วปกคลุมอยู่ ก่อนที่พวกมันจะหลวมรวมเป็นหนึ่งเดียวด้วยกรรมวิธีอันเป็นเอกลักษณ์สุดลี้ลับ และท้ายที่สุดก็ก่อเป็นรูปร่างเสาแห่งแสงที่คล้ายกับจะถูกส่งออกมาจากส่วนที่ลึกล้ำดำมืดและเย็นเยียบที่สุดของจักรวาล!
พลังใน ‘เวทความเมตตาของเทพธิดาหิมะ’ ควบรวมกันอย่างที่ไม่มีส่วนใดเล็ดลอดออกมา แต่หากว่ามีผู้ใดสังเกตดูให้ดีๆ ก็จะสัมผัสได้ถึงความหนาวเยือกจากก้นบึ้งของหัวใจ ราวกับว่าคนผู้นั้นได้เป็นมองเห็นฟากฝั่งแห่งความไร้ชีวิตของจักรวาล
ใบหน้าเมแคนทรอนพลันปรากฏความตกตะลึง เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าลูเซียนจะสามารถใช้เวทมนตร์ระดับตำนานที่ใกล้เคียงกับ ‘เยือกแข็งโลกาวินาศ’ ของกอนไฮล์ม
เนื่องจากเขาต้องคงสภาพ ‘พลังอาณาจักรแห่งพรศักดิ์สิทธิ์’ และกำลังใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของตนถือ ‘แผ่นกาลเวลา’ เอาไว้ เขาจึงถูกเวทความเมตตาของเทพธิดาหิมะกระแทกเข้าอย่างจังโดยไม่อาจตอบโต้กลับไปได้
จักรวาลวายป่วงพลันถูกแช่แข็ง แสงแห่งบัญชาก็ถูกแช่แข็ง แสงวิบวับของเหล่าเทวนาน้องฟ้าก็ถูกแช่แข็ง เช่นเดียวกับเพลงสรรเสริญที่แสนไพเราะนั้น
ไม่นานสีขาวงาช้างจากพลังอาณาจักรแห่งพรศักดิ์สิทธิ์ก็เลือนหายไปกับความมืด ซึ่งดูดซับลำแสงและความร้อนทั้งหมดไป ความรู้สึกเช่นนั้นลุกลามไปทั่วอาณาจักรแห่งพรศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็วปานไฟลามทุ่ง
แม้แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ชั้นตำนานก็ยังถูกแช่แข็งอย่างไร้เมตตาภายใต้ความหนาวเย็นที่น่าหวาดหวั่นนี้ บังเกิดความเงียบงันชั่วนิรันดร์ดั่งยามไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดถูกสร้างขึ้น
ในสภาพเช่นนั้น อาณาจักรจึงเปราะบางมากเสียจนไม่อาจหยุดยั้งอุณหภูมิต่ำติดลบที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าและแสงเลเซอร์ชนิดเข้มข้นมิให้ชะลอการสั่นสะเทือนของอนุภาคขนาดเล็กจิ๋วใกล้ๆ กันนั้น ซึ่งเป็นธรรมชาติของ ‘อุณหภูมิ’ ในระดับอนุภาค
ราชาทูตสวรรค์ไม่เคยคิดเลยว่าพลังอาณาจักรแห่งพรศักดิ์สิทธิ์ของตนจะถูกแช่แข็งได้เช่นนี้ ดังนั้น เมื่อความหนาวเหน็บดำมืดถาโถมเข้าใส่เขาอย่างมิอาจหยุดยั้งได้ เขาจึงตื่นตระหนกไม่น้อย เขายกมือกันป้องอกเป็นรูปกากบาท พร้อมกับกางปีกศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามสิบหกข้างที่ยังคงมีแสงสว่างระยิบระยับปกคลุมอยู่
ภาพมายาสะท้อนของ ‘หุบเขาวิมาน’ ทั้งเจ็ดชั้นยิ่งเห็นได้ชัดเจนกว่าเดิม คลื่นที่น่าคร้ามเกรงอย่างที่สุดพลันไหลบ่ามาจากชั้นสูงสุด
“ไม่ว่าผู้ใดที่สวดอ้อนวอนในนามของพระองค์จักไม่ได้รับอันตราย”
ต่อหน้าความเย็นเยียบที่ไม่อาจหาใดเปรียบ เมแคนทรอนพลันลืมเลือนเรื่องโลกภายนอกและสวดภาวนาตามเนื้อหาในพระคัมภีร์ด้วยใจศรัทธา
ฮ่า!
ทูตสวรรค์และจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทุกตนบนหุบเขาวิมานค่างร้องเพลงสรรเสริญที่ออกเสียงคล้ายกับเสียงนั้น มันฟังดูห่างไกลและสูงส่งยิ่ง แสงสว่างอันไร้ที่สิ้นสุดบนชั้นที่เจ็ดก็ยิ่งสว่างไสว สาดแสงเจิดจ้าที่ดูบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างที่สุด
เสียงสวดอ้อนวอนดังอยู่ในภายแสงสว่างเจิดจ้านั้น แล้วร่างของเมแคนทรอนก็พลันพร่าเลือน สีสันและคลื่นมากมายซึ่งมิใช่ของโลกนี้แผ่ออกเป็นวงกว้าง พลิกอวกาศโดยรอยให้กลายเป็นอีกเอกภาพหนึ่ง
ความเย็นเยียบที่เกิดจากเวทความเมตตาของเทพธิดาหิมะไม่อาจทำอะไรโลกอีกใบนั้นได้ ไม่ว่าเวทบทใดก็ต้องมีระยะที่มันจะใช้การได้อยู่ มิมีหรอกเวทมนตร์ที่สามารถกำจัดศัตรูได้ในทุดสถานการณ์แลพื้นที่ เว้นเสียแต่ว่ามันจะเป็นความรุนแรงอันไร้ที่สิ้นที่สุดถูกนำมาผสมรวมกัน!
เมื่อได้เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตา เคลเมนต์ที่สะกดข่มการโจมตีอันบ้าคลั่งของนาตาชาได้ชั่วคราวก็ถึงกับหลั่งเหงื่อเย็น เวทมนตร์ที่น่าสยดสยองแต่ละบทของลูเซียน อีวานส์ ยิ่งใช้ยิ่งดูรุนแรง หากว่าราชาทูตสวรรค์ไม่ได้มาเยือนที่แห่งนี้ เขาคงจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกฆ่าตายไปแล้ว!
เวทความเมตตาของเทพธิดาหิมะที่กระแทกเข้ากับดาวเคราะห์น้อยที่ลอยผ่านมานั้นมิได้สร้างความประทับใจแก่เขานัก เพราะมีเวทมนตร์ชั้นตำนานอีกมากมายที่สามารถสร้างผลลัพธ์เช่นนี้ได้ แต่ว่า ความเย็นยะเยือกน่าหวาดกลัวที่เกิดขึ้นจากเวทความเมตตาของเทพธิดาหิมะที่ใช้กับราชาทูตสวรรค์ ชั้นตำนานระดับสูงสุด กลับทำให้เขาหวาดกลัวยิ่ง เพราะเขาเริ่มมองว่าลูเซียนนั้นเป็นตัวอันตรายมากพอๆ กับชั้นตำนานระดับสูงสุด
‘ดีจริงๆ ที่ข้ามีราชาทูตสวรรค์ผู้มีพลังพระเจ้าคุ้มครอง!’ เขารู้สึกว่าตนเองโชคดีอย่างแท้จริง
ทว่า ลูเซียนกลับเป็นฝ่ายสบโอกาส เมแคนทรอนที่ใช้พลังพระเจ้าคุ้มครองนั้นไม่อาจขยับไปไหนได้เหมือนกับนาตาชายามที่นางใช้โล่แห่งสัจธรรม! ทั้งพลังพระเจ้าคุ้มครองยังห้ามมิให้ผู้รับพลังโจมตีตอบโต้อีกด้วย!
มันคือข้อเสียโดยธรรมชาติของการป้องกันระดับสูงสุดประเภทนี้ พวกเขาจะโจมตีใส่ศัตรูได้อย่างไรในเมื่อศัตรูอยู่อีกเอกภพหนึ่ง จากมุมมองนั้น โล่แห่งสัจธรรมนับว่ายังดีไม่เท่าพลังพระเจ้าคุ้มครองในแง่ของการคุ้มกัน
ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่ลูเซียนเห็นว่าราชาทูตสวรรค์ใช้พลังพระเจ้าคุ้มครอง เขาก็รีบเรียกใช้เวทเคลื่อนย้ายดังใจและเข้าไปใกล้แผ่นกาลเวลา!
ในเมื่อเมแคนทรอนได้ควบคุมพลังของแผ่นกาลเวลาด้วยการใช้พลังถือมันไว้ก่อนหน้านี้ ความผิดปกติทางกาล-อวกาศจึงหายไปแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ลูเซียนสามารถก้าวพริบตาไปหามันแทนที่จะใช้วิธีบิน
‘ต้องขอบคุณเมแคนทรอนสำหรับการปูทางไปหาแผ่นกาลเวลาให้ฉัน…’ ความคิดผุดขึ้นในใจลูเซียนได้อย่างไรมิทราบ
เวทมือนักเวทควบรวมกันเป็นรูปร่างแล้วฉกแผ่นกาลเวลามา ทว่า เมแคนทรอนผู้ที่ยังคงต้านทานเวทความเมตตาของเทพธิดาหิมะอยู่นั้นกลับแย้มยิ้ม ราวกับว่าเขากำลังหวังให้ลูเซียนคว้าแผ่นกาลเวลาไป!
ความเย็นยะเยียบที่ไม่ใช่อุณหภูมิทางธรรมชาติของโลกใบนี้พลันถูกหักลบ ขณะที่พลังเวทมนตร์ซึ่งคงสภาพมันเอาไว้หายไป ไม่นาน ‘มหาสมุทร’ ดำมืดและเยียบเย็นก็หายลับไป ทว่าพลังพระเจ้าคุ้ทครองและทูตสวรรค์กลับมิได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
แต่ในตอนที่เวทมือนักเวทของลูเซียนหยิบเอาแผ่นกาลเวลาขึ้นมา ก็เป็นตอนที่ริ้วลายแห่งความมืดอันลี้ลับยื่นโผล่ออกมาจากข้างในแผ่นกาลเวลาราวกับอสรพิษร้าย!
ด้วยพลังแห่งคำสาปที่เหนือจินตนาการ มันพุ่งตัวเข้าหาร่างของลูเซียนทั้งที่อยู่ในอุ้งมือนักเวทด้วยความเร็วเกินกว่าที่สิ่งมีชีวิตใดจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ได้ เนื่องจากลูเซียนอยู่ใกล้กับมัน มันจึงโผเข้าใส่ร่างของเขาอย่างง่ายดาย
ชนวนเวท จัดลำดับเวทมนตร์ ผิวหนังธาตุ และเวทมนตร์ที่ร่ายกำกับไว้บทอื่นๆ ต่างถูกใช้ออกไป แต่มิมีบทใดเลยที่สามารถหยุดยั้งอสรพิษแห่งคำสาปได้ มันคืบคลานเข้าไปในร่างของลูเซียนราวกับล่องหนได้!
“มันได้ผล…” เมแคนทรอนยกเลิกการใช้พลังพระเจ้าคุ้มครอง แสงระยิบระยับมารวมตัวกันเป็นตำราที่แผ่พลังสูงส่งน่าคร้ามเกรง
ขณะที่ตำราเปิดไปทีละหน้า อักษรรูนก็ลอยออกมาและก่อตัวเป็นใยแมงมุมที่ดูเหมือนโยงใยมาจากหุบเขาวิมาน ด้วยความพยายามที่จะจับกุมตัวลูเซียน
นี่ก็คือ ‘ผนึกพิพากษา!’
มันคือพลังศักดิ์สิทธิ์ชั้นตำนานในศาสนานักบุญสัจธรรมที่สามารถปิดผนึกพลังของศัตรู ทันทีที่มันถูกใช้งานกับศัตรู พลังของศัตรูจะหยุดชะงักหรืออาจกระทั่งถูกยกเลิกไป นอกจากนี้ มันยังมีประสิทธิผลถาวรอีกด้วย และแทบจะทำลายไม่ได้
แต่อสรพิษแห่งคำสาปเมื่อครู่นี้มาจากกอนไฮล์ม มันคือรางวัลจากอเวจี มีชื่อว่า ‘อสรพิษวายป่วง’ ซึ่งได้รับมาตอนที่มันกลายเป็นเจ้าชายปีศาจ และมันก็มีประสิทธิผลคล้ายกับผนึกพิพากษา
หลังจากที่ผลจากพลังทั้งสองหลอมรวมกัน วิธีการแก้คำสาปของสภาเวทมนตร์จะไร้ผลโดยสิ้นเชิง ลูเซียนจะต้องหาทางแก้ด้วยตัวเองเท่านั้น พลังของเขาจะหยุดชะงักไปอีกหลายสิบปี แม้ว่าเขาจะได้รับความช่วยจากมนุษย์ครึ่งเทพก็ตาม
สำหรับเมแคนทรอนและกอนไฮล์มแล้ว พวกเขาย่อมยินดีที่ได้เห็นผลการวิจัยของลูเซียน อีวานส์ ในขอบเขตของโลกจุลภาค ซึ่งจะกลายเป็นรากฐานทางทฤษฎีสำหรับการกลายเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ เช่นนั้น พวกเขาจะได้เลื่อนระดับขั้นและขยับเข้าไปใกล้การเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ พวกเขาย่อมไม่เห็นด้วยกับการสังหารลูเซียน อีวานส์ อย่างแน่นอน
ทว่า การเติบโตของลูเซียนก็ทำให้พวกเขาหวาดกลัวเช่นกัน ทั้งสองกลัวว่าลูเซียนจะกลายเป็นมนุษย์ครึ่งเทพหรือพระเที่ยงแท้ไปเสียก่อนที่พวกเขาจะเข้าใจทฤษฎีที่อีกฝ่ายคิดค้นวิจัย อย่างไรเสีย บางครั้งพวกนักเวทก็จะได้รับการตอบสนองจากโลกความเป็นจริงเวลาที่พวกเขาคิดค้นทฤษฎีที่จะสั่นสะเทือนวงการขึ้นมาได้ แล้วเขาจะปล่อยให้พวกตนเลื่อนขั้นขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพหรือพระเจ้าเที่ยงแท้หรือไม่ แน่นอนว่าไม่มีทาง! เขาย่อมพยายามกำจัดพวกตนเป็นแน่แท้!
ทั้งสองต่างกระตือรือร้นและหวาดกลัว จึงได้วางแผนการนี้ขึ้น ฉวยโอกาสที่ลูเซียนจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบประเภทกาล-อวกาศ สาปและปิดผนึกเขาเพื่อที่พลังของเขาจะหยุดชะงัก และมันจะไม่ส่งผลกระทบต่อการศึกษาวิจัยทางอาร์คานาโดยเด็ดขาด!
ในแผนการนี้ ราชินีเอลฟ์เป็นเพียงหมากที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วยเลย นางเพียงบอกตำแหน่งที่ตั้งของวัตถุดิบประเภทกาล-อวกาศที่นางรู้ให้กับลูเซียนเพื่อเป็นการแสดงความร่วมมือ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าราชาทูตสรรค์คือผู้บงการอยู่เบื้องหลัง นอกจากนี้ ในสายตาเขาแล้ว เรื่องพรรค์นี้หาได้แปลกประหลาดอันใด ลูเซียนไม่จำเป็นจะต้องเลือกใช้แผ่นกาลเวลาเลยก็ได้
จากนั้น ก็เป็นไปตามที่เดโมกอร์กอนแห่งความมืดทราบเกี่ยวกับบุคลิกและวิธีการคิดของลูเซียน พวกเขาได้ข้อสรุปว่าลูเซียนจะมาเยือนจักรวาลวายป่วง ส่วนจะเป็นเวลาไหนนั้น พวกเขาจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเขาเข้ามาในมิติอเวจีแล้ว
ตอนที่เขามาถึงมิติอเวจี กอนไฮล์มจะบอกเรื่องนี้ให้ราชาทูตสวรรค์ทราบในทันทีและขอให้เขาส่งลูกน้องของตนเข้าไปขโมยแผ่นกาลเวลา
นั่นเป็นเพราะมันยังมีปัญหาสำคัญอีกข้อหนึ่ง ด้วยความรอบคอบของลูเซียน อีวานส์ เขาย่อมไม่มาหยิบฉวยแผ่นกาลเวลาโดยไม่ตรวจสอบให้ละเอียดเสียก่อน หากเป็นเช่นนั้น พลังของอสรพิษวายป่วงย่อมถูกค้นพบอย่างง่ายดาย และพวกเขาก็จะไม่อาจบรรลุเป้าหมายได้
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ลูเซียนจำเป็นต้องหยิบจับแผ่นกาลเวลาในทันทีแล้วหนีไป เพื่อที่เขาจะไม่มีเวลาหรือโอกาสในการตรวจสอบมัน และเพื่อให้เป็นเช่นนั้น พวกเขาจำต้องมีคู่แข่งที่จะมาต่อสู้แย่งชิงแผ่นกาลเวลา เช่นเดียวกับแรงกดดันจากเดโมกอร์กอนแห่งความมืดจากทางด้านหลัง
การได้เห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเคลเมนต์ในตอนที่เขาถือแผ่นกาลเวลา และในเมื่อเดโมกอร์กอนแห่งความมืดกำลังจะตามมา ‘ด้วยความเดือดดาล’ ลูเซียน อีวานส์ ย่อมไม่ตรวจสอบมันให้แน่ใจอีกครั้งเป็นแน่ ในเมื่อเขามีโอกาสหนีไปพร้อมกับแผ่นกาลเวลาแล้ว
เพราะอย่างนี้ แผนการจึงต้องมีลำดับก่อนหลังที่เข้มงวด มิใช่นั้น ความระแวดระวังของลูเซียน อีวานส์ จะไม่มีทางหมดไป อีกอย่างพวกเขาจำต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่ว่าลูเซียน อีวานส์ อาจเป็นฝ่ายถ่วงเวลาศัตรู แล้วนาตาชาเป็นฝ่ายไปหยิบมันมา
แต่กลับกลายเป็นว่า ความสามารถของลูเซียนนั้นเหนือความคาดหมายของพวกเขาไปไกล และการเตรียมของเขาก็น่ากลัวอย่างยิ่ง แม้แต่เจ้าแห่งเพลิงบรรกาลและเดโมกอร์กอนแห่งความมืดที่ร่วมมือกันยังไม่อาจหยุดยั้งเขาไว้ได้นาน และนาตาชากับเขาก็มาถึงจักรวาลวายป่วงก่อนที่เคลเมนต์จะพิสูจน์ยืนยัน ‘ความปลอดภัย’ ของแผ่นกาลเวลา ดังนั้น ราชาทูตสวรรค์จึงต้องเผยตัวและมาถึงมิติอเวจีก่อนเวลาอันควร!
แม้ว่าเคลเมนต์จะไร้ประโยชน์เกินไปเพียงต้องรับมือกับนาตาชา แต่การที่เขาเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องก็ได้ลบความระแวงของลูเซียนไปเสียสิ้น! เมแคนทรอนคิดเช่นนั้น ในขณะที่เขาเฝ้ามองใยแมงมุมแห่งผนึกที่สร้างจากอักษรรูนจำนวนมากร่วงหล่นลงบนศีรษะของลูเซียน
‘แม้ว่าจะเกิดความพลิกผันมากมาย เราก็ยังบรรลุเป้าหมายได้อยู่ดี…’
ทันทีที่ความคิดนั้นผุดขึ้นในใจเมแคนทรอน จู่ๆ ลูเซียนที่กำลังทุกข์ทรมานกับ ‘อสรพิษวายป่วง’ และ ‘ผนึกพิพากษา’ ก็เปล่งแสงสว่างสีเขียวและหดตัวกลายเป็นหุ่นกระบอกสีเขียวสดใสที่มีลวดลายแปลกประหลาดวาดเอาไว้
มันมองมาทางเมแคนทรอนด้วยดวงตากลวงโบ๋ และรอยยิ้มชวนสยดสยองบนใบหน้า
“หุ่นเชิดตัวตายตัวแทน!”
มันคือหุ่นเชิดตัวตายตัวแทนที่สร้างขึ้นโดยแม็คลอยด์ ปรมาจารย์แห่งรสายนเวทชั้นตำนานผู้นั้น
“แย่แล้ว!” เมแคนทรอนพลันตะลึงงันเมื่อได้เห็นหุ่นกระบอกที่มีไอพลังทึบทึมและแสงศักดิ์สิทธิ์ห้อมล้อม ในขณะเดียวกันนั้น แผ่นกาลเวลาก็ได้ร่วงลงไปตกอยู่บนมือของร่างเงาที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้น เขาสวมชุดสูทแบบกระดุมสองแถวและมีใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับด้วยดวงตาฉายแววลึกล้ำดำมืดและแว่นตาข้างเดียวที่สะท้อนแสงวูบวาบ เป็นลูเซียน อีวานส์ ไม่ผิดแน่!
‘จักรวาลวายป่วงอย่างไรก็ยังเป็นจักรวาลหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องสร้างสุญญากาศ…’ ลูเซียนคิดในใจขณะยกมือซ้ายขึ้นเล็งไปทางเมแคนทรอนที่เพิ่งจะร่ายเวท ‘ผนึกพิพากษา’ ไป ขณะจดจ้องใบหน้าที่ฉายชัดถึงความตกตะลึงของอีกฝ่าย เขาก็ร่ายคาถาด้วยเสียงทุ้มลึกฟังดูแปลกแปร่งคล้ายกับเกิดจากการสั่นสะเทือนของอนุภาค
“เวทปืนใหญ่โพซิตรอน!”
…………………………………………..