Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 740 การประชุมพระคาร์ดินัลหลวง
- Home
- Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา
- บทที่ 740 การประชุมพระคาร์ดินัลหลวง
ณ แลนซ์ นครศักดิ์สิทธิ์
ทั้งหอประชุมแสงพิสุทธิ์อยู่ในความเงียบงันอันน่ากระอักกระอ่วนราวกับว่าถูกแช่แข็ง ไม่ว่าใครจะมีส่วนร่วมในปฏิบัติการยึดดาวเทียมหรือไม่ก็ตาม เหล่าพระคาร์ดินัลหลวงทุกรูปก็ค้อมศีรษะอันภาคภูมิลง พร้อมรับความเดือดดาลของพระคุณเจ้าของพวกเขา
ปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็นความล้มเหลวอันน่าอัปยศ แผนการถูกลิขิตให้ล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้น ความเสี่ยงที่พระคุณเจ้ายอมเสี่ยงไม่มีประโยชน์อันใดเลย ใครสักคนต้องรับผิดชอบเรื่องนี้!
เมื่อเทียบกับนักเวทชั้นตำนานของสภาเวทมนตร์แล้ว พระคาร์ดินัลชั้นนักบุญและอัศวินศักดิ์สิทธิ์ในศาสนจักรมีพลังคุ้มกันน้อยกว่า ตำแหน่งและอำนาจภายใต้การควบคุมของพวกเขาเป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มความแข็งแกร่ง ยิ่งตำแหน่งสูงขึ้นก็ยิ่งมีอำนาจมากขึ้น ยิ่งใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้นก็ยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งได้เร็วขึ้น การพึ่งพาอาศัยเป็นพื้นฐานสำคัญ ดังนั้น การลงโทษที่พวกเขาได้รับไม่ได้มีนัยสำคัญและเป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น
นอกจากนี้ ก่อนที่พวกเขาจะเข้าใจความลึกลับของพลังศรัทธา โป๊บองค์ก่อนๆ ก็มี “วิธีการอันศักดิ์สิทธิ์” เพื่อตัดการเชื่อมต่อระหว่างพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญที่ถูกลงโทษกับหุบเขาวิมาน พวกเขาทำได้เพียงใช้หัวใจแห่งศรัทธาของตนที่ไม่สามารถเติมเต็มได้ ในไม่ช้า พวกเขาก็กลายเป็นผู้มีพลังชั้นตำนานในระดับสูง แต่ขาดความแข็งแกร่งที่เหมาะสม
ในทางกลับกัน นักเวทชั้นตำนานต้องอาศัยความแข็งแกร่งของตัวเองล้วนๆ แม้พวกเขาจะเสียตำแหน่งสมาชิกของสภาสูงสุด แต่พลังก็ไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาพึ่งพาสภาเวทมนตร์เพื่อการสะสมทรัพยากรและสภาพแวดล้อมการศึกษาอาร์คานาและเวทมนตร์ ดังนั้น พวกเขาจึงมีพลังคุ้มกันมากกว่าและการลงโทษก็ไม่ทำร้ายพวกเขาจริงๆ
นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สภาเวทมนตร์ถูกแบ่งออกเป็นหลายฝักหลายฝ่าย และความขัดแย้งภายในไม่เคยสงบอย่างเด็ดขาด อำนาจสูงสุดของนักเวทชั้นตำนานมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ในบรรดาพระคาร์ดินัลหลวง ฟิลิปเป็นคนที่กังวลมากที่สุด เขาเป็นคนคิดแผนปฏิบัติการนี้ขึ้นมา เบเนดิกต์ที่สามให้อิสระกับเขาเต็มที่ และแม้กระทั่งร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแผน แต่แผนของเขาก็พังไม่เป็นท่า!
การระเบิดอันหนักหน่วงเมื่อดาวเคราะห์เทียมระเบิดตัวเองฟังดูเหมือนคำเยาะเย้ยและเสียงหัวเราะถากถางของสภาเวทมนตร์ ซึ่งดังก้องอยู่ในใจของฟิลิป จนทำให้เขาไม่อาจสงบสติลงได้
แม้เขาจะเป็นพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญที่เพิ่งได้รับการเลื่อนยศ และเป็น “คนหนุ่ม” ที่มีศักยภาพในการเป็นนักบุญต่อไป เขาก็ต้องพิจารณาหาวิธีรับมือความโกรธเกรี้ยวของโป๊บและหลีกเลี่ยง “การสูญเสีย” ให้มากที่สุด
หลังจากที่พระสันตะปาปาไวเค็นรวบรวมคนและสร้างเสถียรภาพให้กับศาสนจักรโดยนำเสนอวิธีการเปลี่ยนแปลงสถานะของร่างกายผ่านความรู้สึกของผู้ศรัทธา และวิธีการใช้พลังแห่งศรัทธาแล้ว ทุกคนก็บรรลุพลังกันคนละอย่างสองอย่าง พวกเขาสามารถขโมยพลังแห่งศรัทธาด้วยตัวเอง และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นมาก พวกเขาไม่กลัวการถูกตัดขาดจากหุบเขาวิมานอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม นั่นหมายความว่าตอนนี้พวกเขาต้องอาศัยพลังจากศาสนจักรมากขึ้นด้วย!
เมื่อมีนักบุญสัจธรรมอยู่เบื้องหลัง พวกเขามีความปีติเสียกว่าผู้มีพลังที่ต้องแอบรวบรวมพลังแห่งความรู้สึกและเผยแพร่ศรัทธาด้วยตนเองอย่างยากลำบาก พวกเขาสามารถขโมยพลังแห่งศรัทธาจากสังฆมณฑลที่อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเปิดเผยตามอัตราส่วนที่แน่นอนโดยไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ หากพวกเขาถูกลงโทษและถูกส่งไปยังสังฆมณฑลที่ห่างไกล นั่นจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่!
ด้วยมงกุฎศักดิ์สิทธิ์บนศีรษะสีหงอกขาวและคทาทองคำขาวในมือ เบเนดิกต์ที่สามมองไปที่พระคาร์ดินัลหลวงด้วยสายตาเฉยเมย และไม่พูดอะไรสักคำเป็นเวลาห้านาที
เขาไม่ได้ปล่อยรังสีอำมหิตข่มขู่ของมนุษย์ครึ่งเทพ แต่แรงกดดันที่มองไม่เห็นจากเขายังคงทำให้หอประชุมเย็นยะเยือก ไม่มีพระคาร์ดินัลรูปไหนกล้าพูดอะไรออกมา
ทันใดนั้น เขาก็ถอนหายใจ “อุบัติเหตุครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของพวกเจ้า พวกเจ้าไม่ผิด แผนของเจ้าเกือบจะสมบูรณ์ มหาจอมเวทต่างก็ไขว้เขวและจนตรอก ความผิดพลาดอย่างเดียวของเราคือเราคาดไม่ถึงว่านักเวทชั่วช้าจะเจ้าเล่ห์จนถึงขั้นติดตั้งอุปกรณ์ระเบิดตัวเองบนดาวเทียม”
น้ำเสียงของเขาสงบนิ่ง การตีความเรื่องนี้ของเขาทำให้บรรยากาศเลวร้ายสลายไปในทันที ฟิลิปถอนหายใจยาวโล่งอกจากก้นบึ้งของหัวใจด้วยความทราบซึ้งจากสุดขั้วหัวใจ พระคุณเจ้าทรงใจกว้าง มองการณ์ไกล และมีเหตุผล
“พระคุณเจ้า ตอนนี้เราควรทำประการใด? คิดแผนปฏิบัติการแบบนี้อีกไหมขอรับ?” ฟิลิปตั้งใจถามคำถามพร้อมรู้คำตอบอยู่แล้ว เพื่อเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไปให้ไกลจากความล้มเหลวครั้งนี้
ราวกับว่าเขาไม่รู้ว่าฟิลิปคิดอะไรอยู่ในใจ เบเนดิกต์ที่สามพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบไม่เปลี่ยน “จนกว่าเราจะเข้าใจความประหลาดของอุปกรณ์ระเบิดตัวเอง แผนเดียวกันคงไม่ได้การ”
“พระคุณเจ้ารับสั่งถูกต้องแล้ว พอพลังเวทมนตร์ถูกกำจัด อาจทำให้เกิดการระเบิดที่ทรงพลังเช่นนี้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรมองข้าม ถ้าเราหาสาเหตุไม่พบ เป็นไปได้ว่าครั้งหน้าอาจมีใครต้องจบชีวิตลง” แอสทีรา เทวทูตวายุ พูดขึ้นด้วยความกลัว หากพลังระเบิดใกล้เคียงกับ “เวทเปลวไฟนิรันดร์” อุปกรณ์ระเบิดตัวเองก็คงไม่อาจถูกกำจัด เนื่องจากดาวเทียมซึ่งไม่ใช่อุปกรณ์ชั้นตำนาน สามารถสร้างแรงระเบิดระดับเดียวกันของ “ฟิชชันปรมาณู” จึงมีโอกาสน้อยที่จะให้ปล่อยพลัง “เวทเปลวไฟนิรันดร์”
เมลแม็กซ์พยักหน้า “เว้นแต่ว่าจะใช้เนตรแห่งพระเจ้า และควบคุมด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์เหมือน‘นาฬิกาทรายแห่งพระเจ้า’ ข้าคิดหาวิธีอื่นที่จะใช้กำลังเข้ายึดไม่ออกจริงๆ การใช้กำลังมันใช้เวลานานเกินไป ปฏิบัติการจะพาลกลายเป็นการต่อสู้เต็มรูปแบบเสียขอรับ”
“เนตรแห่งพระเจ้า” อาร์วิน หนึ่งในทูตสวรรค์เสราฟทั้งหก เป็นหนึ่งในผู้มีพลังเพียงสองคนที่มีความสามารถใช้พลังเทพหยุดเวลาของนักบุญแห่งสัจธรรมได้ แน่นอนว่าโป๊บไวเค็นคืออีกคนที่มีพลังนี้
ความสามารถของเขาในการควบคุมกาลและอวกาศดูเหมือนจะเป็นของขวัญจากพระเจ้าแห่งสัจธรรม ดังนั้น แม้แต่อัศวินที่สืบทอดพลังโลหิตของเขา และแอสทีราที่มีพลังของเทวทูตวายุ ก็ไม่สามารถสร้างการหยุดเวลาจริงๆ ได้ พวกเขาทำได้ก็แค่ชะลอหรือเร่งเวลาเท่านั้น
“เราสามารถเลือกวิธีอ้อมๆ ที่ไม่เป็นเป้าสายตามากนัก” ฟิลิปมองไปที่เบเนดิกต์ที่สาม “พระคุณเจ้า วิธีกลายเป็นมนุษย์ครึ่งเทพที่พระองค์ทรงเผยความลับออกมาต้องทำให้นักเวทระดับสูงบางคนสั่นคลอนบ้างใช่ไหมขอรับ? เราน่าจะใช้ประโยชน์จากตรงนี้…”
เขาไม่ทันพูดจบ แต่พระคาร์ดินัลหลวงทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร ไม่ต่างจากการขโมยความลับและการลอบสังหารผ่านสายลับแบบที่เคยทำในอดีต
ในการเริ่มต้นประชุมฉุกเฉิน เบเนดิกต์ที่สาม “แจ้ง” ให้ทุกคนรู้ถึงต้นกำเนิดของนักบุญแห่งสัจธรรม เขาอธิบายถึงธานอส ราชาแห่งตะวัน ในฐานะพระบุตรในพระเจ้าแห่งสัจธรรมบนพื้นโลก เขาเป็นพระบุตรในตรีเอกภาพ ซึ่งยังประกอบด้วยพระเจ้าแห่งสัจธรรมและพระสันตะปาปา และพระบุตรผู้พยายามล้มล้างจักรวรรดิเวทมนตร์ที่ชั่วร้ายและช่วยผู้คนให้รอด การศึกษาความลึกลับของพระเจ้าของธานอสถูกอธิบายเป็นประสบการณ์ซึ่งความทรงจำของเขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นหลังจากถูกพระเจ้าแห่งสัจธรรมเรียก ความล้มเหลวในการทดลองในท้ายที่สุด การผสานเข้ากับหุบเขาวิมาน และการสูญเสียความรู้ตัวถูกอธิบายเป็นการสละชีพกอบกู้โลก โดยเปิดห้องอมตะนิรันดร์และปลุกมนุษย์ให้ตื่น
“เรื่องเล่า” นี้โน้มน้าวใจให้พระคาร์ดินัลหลวงเชื่อเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น แต่ประเด็นสำคัญของไวเค็นไม่ใช่ตัวเรื่องเล่า แต่เป็นการทำให้คาร์ดินัลหลวงเชื่อว่าพระเจ้าแห่งสัจธรรมเป็นพระเจ้าพระองค์จริงที่ควบคุมอำนาจสูงสุด แม้ยามหลับใหล เห็นได้จากพลังอันล้นเหลือของหุบเขาวิมานที่พวกเขารับรู้ และเพราะไวเค็นเปิดเผยความลึกลับของมนุษย์ครึ่งเทพและพลังศรัทธาออกมาเอง พวกเขาจึง “เชื่ออย่างไร้ข้อกังหา”
ไวเค็นไม่ได้เก็บเป็นความลับว่าเขาก็ลอบเผยแพร่วิธีขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ และพระคาร์ดินัลหลวงจึงไม่ลังเลสงสัยในเรื่องนี้ พวกเขามีอาณาเขตแห่งพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุม และไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับใครทั้งนั้น พวกเขาสามารถยืนดูคนอื่นต่อสู้กันหน้าตาเฉย หรือแม้แต่เพิ่มความดุเดือดให้กับการแข่งขันโดยการช่วยเหลือฝ่ายต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ ถ้าฝ่ายอื่นๆ จับมือร่วมกัน ก็ยังมีโป๊บที่ใช้พลังพระเจ้าเสด็จคอยหนุนหลัง!
เบเนดิกต์ที่สามส่ายหน้า “ข้าไม่ได้เรียกร้องสิ่งใดตอนเสนอวิธีขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพให้กับพวกนั้น พวกนั้นก็จะไม่ทำอะไรที่เสียผลประโยชน์เพื่อพวกเรา อันที่จริง ข้ายินดีถ้าได้เห็น ถ้าพวกนั้นใกล้สำเร็จ ก็คงจะเป็นดอกไม้หอมบานสะพรั่ง คงน่าสนใจมาก เราจะได้รางวัลตอบแทนมากขึ้น ข้าจึงไม่อยากให้ ‘ความพยายาม’ ของพวกนั้นหยุดอยู่แค่เรื่อฃดาวเทียมเท่านั้น”
“เราจะยอมแพ้แค่นี้หรือขอรับ?” ฟิลิปแสดงท่าทีผิดหวังเล็กน้อย
เบเนดิกต์ที่สามยิ้ม “เรื่องคงจะต่างออกไป ถ้าพวกนั้นยอมเปิดเผยความลับแลกเปลี่ยนกับเรื่องอื่น ข้ารู้ว่านกมรณะกำลังโหยหายพลังแห่งศรัทธา เขาซ่อนตัวดีเหลือเกิน แม้เขาถูกเปิดโปง จะมีแพะรับบาปที่ยอมตายแทนเขา แต่ข้าต้องการเจอคนอีกคน เป็นไปได้ว่าเราจะได้ล่วงรู้ความลับของดาวเทียมจากเขา…”
เขาหยุดแค่นั้น และประกาศยุติการประชุมพระคาร์ดินัลหลวง
เมลแม็กซ์ มาเรีย เคธี แอสทีรา และพระคาร์ดินัลหลวงรูปอื่นๆ สับสนมาก และพากันสงสัยว่าบุคคลที่นกมรณะและพระคุณเจ้าประสงค์จะพบคือใคร แต่ก็ต้องหยุดความคิดไว้แค่นั้น และออกจากหอประชุมแสงพิสุทธิ์ไปอย่างไร้เสียง
………………………………………………