Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 762 ความเจ้าเล่ห์
แท่นบูชาถูกเวท ‘ความเมตตาของเทพธิดาหิมะ’ แช่แข็งและหลอมละลาย บัดนี้เหลือเพียงก้อนอิฐชั้นบางๆ ด้านหน้าประตูน้ำเงินเพียงเท่านั้น ตรีศูลทองคำ ‘เงื้อมมือจักรพรรดิ’ วางอยู่บนพื้นอย่างเงียบงัน สีน้ำเงินของกุญแจอละสีทองบนตรีศูลต้องสะท้อนกันและกัน
ทันใดนั้น ตรีศูลทองคำก็ลอยขึ้น ราวกับมีใครบางคนหยิบมันขึ้น จากนั้น มือที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีดำก็ปรากฏขึ้นบนด้ามจับตรีศูล มันมีไฟที่ส่งกลิ่นกัมมะถันเหม็นโฉ่ปกคลุมเอาไว้
ข้อนิ้วมือที่ดูเหมือนกับสวมถุงมือเปลวเพลิงไว้มีกระดูกงอกหรือหินปูนสีซีด บนหินปูนทุกจุดนั้นมีลวดลายแสนซับซ้อนดูชั่วร้ายสลักเอาไว้ ในขณะเดียวกันนั้น เล็บซีดยาวก็เป็นเหมือนกับดาบแห่งความตายและการทำลายล้าง ให้ความรู้สึกว่าพวกมันสามารถทำลายทุกสิ่งทุกสิ่งแก่ทุกผู้ที่เห็นมัน
ขณะที่มือนั้นคล่อยๆ ปรากฏขึ้น เงาเลือนรางก็ค่อยๆ ผุดขึ้นกลางอากาศเบื้องหลัง มันมีรูปร่างสูงหลายสิบเมตร และปีกสีดำบนแผ่นหลังของมันก็กางเต็มพื้นที่ปราสาทที่มันยืนอยู่ ความมืดมิดแห่งความตายพลันผุดพราย
มันมีเขาหนึ่งคู่บนศีรษะ ซึ่งดูเหมือนกับเขาแพะ มันแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายน่าหวาดกลัวและน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด ทำให้บริเวณรอบแอ่งดูเหมือนทั้งภาพจริงและภาพมายา ภูเขาไฟจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นจากพื้น แมกมาระเบิดออก กลุ่มควันดำผุดขึ้นไม่หยุด และคลื่นยักษ์ที่สามารถทำลายอาณาจักรทั้งหลายก็ก่อตัวขึ้นภายในมหาสมุทนสีน้ำเงินระลอกแล้วระลอกเล่า
ในขณะเดียวกันนั้น โลกแห่งเปลวเพลิงลุกโหม หุบเหวยักษ์มองไม่เห็นก้นเหว ที่ราบสูงเงียบงันปกคลุมด้วยหิมะ หนองน้ำเน่าเหม็น และมิติอื่นๆ ในนรกก็เริ่มชัดเจนขึ้น มันดูเหมือนกับว่านรกทั้งเก้าขุมได้มาเยือน ณ ที่แห่งนี้แล้ว
เสียงเพลงชวนเย็นเยียบขนศีรษะลุกดังลอยมาจากแม่น้ำสีเข้มที่ไหลคดเคี้ยวพาดผ่านนรกทั้งเก้าขุม ทำให้อะเกลียยา ลูเซียน และนาตาชารู้สึกโล่งว่างจนเหมือนกับชีวิตพวกเขาใกล้มาถึงจุดสิ้นสุด ทั้งสามทนไม่ไหวที่จะได้เข้าร่วมกองทัพแห่งความตาย
นรกทั้งเก้าขุม สุสานเหล่าคนตายที่แตกต่างจากโลกแห่งวิญญาณและดินแดนวิญญาณร้ายที่ควบคุมด้วยเหล่าวิญญาณโดยสิ้นเชิง!
นอกจากผู้ศรัทธาในปีศาจแล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอยากจะตกนรกหลังจากเสียชีวิต เพราะหากพวกเขาไม่กลายเป็นอาหารของเหล่าปีศาจก็จะแตกสลายไปกับความว่างเปล่า ทิ้งให้ความชั่วร้ายในจิตใจพวกตนหลอมรวมกับ ‘ต้นกำเนิด’ ของนรกเพื่อให้กำเนิดปีศาจรุ่นใหม่ต่อไป
นับแต่สงครามแห่งรุ่งอรุณ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เจ้าแห่งนรกมาเยือนโลกหลักโดยไร้ซึ่งการสะกดข่มเกือบจะเสร็จสมบูรณ์!
ทว่า ส่วนศีรษะของมันกลับยังเป็นเพียงภาพเลือนราง สิ่งเดียวที่ชัดเจนก็คือดวงตาสีแดงเข้มที่ดูคล้ายกับจะบรรจุความเยาะหยันตลอดกาลเอาไว้ ส่วนขาของมันก็หาใช่ขาของมนุษย์จริงๆ กลับเป็นขาแข็งแกร่งของเมอร์ล็อกที่มีพังผืดสีน้ำเงินอยู่ระหว่างนิ้วเท้า มันดูเหมือนว่าแม้พละกำลังส่วนใหญ่ของมันจะมาที่โลกนี้แล้ว แต่มันก็ไม่สามารถมาเยือนด้วยตัวตนอันสมบูรณ์หากว่ามันอยากจะปรากฏกายได้อย่างมั่นคง มิเช่นนั้น ร่างของฮาเร็กซ์คงจะรองรับมันได้เพียงไม่กี่ครั้ง ดังนั้น แม้ว่าเจ้าแห่งนรกจะแข็งแกร่งเทียบเท่ามนุษย์ครึ่งเทพในยามนี้ มันก็มิได้อยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุด
ขณะยกตรีศูลทองคำขึ้น มันก็เปล่งเสียงที่ฟังดูชั่วร้ายและดูหมิ่นอย่างที่สุด ฉับพลันนั้น กุญแจน้ำเงินบนตรีศูลเงื้อมมือจักรพรรดิก็สั่นสะท้านและหม่นแสงลงมาก เสียงสายน้ำสาดซัดพอจะได้ยินลางๆ ด้วยอิทธิพลจากเสียงนั้น ประตูน้ำเงินกลับสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์และปลดปล่อยม่ายหมอกสีน้ำเงินออกมาปกคลุมทั่วแอ่งกระทะขนาดใหญ่นี้
ในตอนนั้นเอง ลูเซียนกับนาตาชาก็พลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงคลุมเครือเหมือนดังจากที่ไกลๆ “ชุมนุมย้อนกลับ!”
ที่ทั้งสองเลือกใช้เวท ‘ชุมนุมย้อนกลับ’ ในยามนี้ก็เพราะพวกเขาเกรงว่าเจ้าแห่งนรกจะยังอยู่รอบๆ นี้และมันคงจะสะกดข่มหรือก่อกวนพวกเขาด้วยพลังเหนือธรรมชาติของมันในยามที่ทั้งสองใช้เวท ‘ชุมนุมย้อนกลับ’ ฉะนั้น ลูเซียนกับนาตาชาจึงเลือกที่จะก้าวพริบตาและบินถอยร่นออกไป ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่า ในขณะที่พวกเขาสังเกตการณ์และเฝ้ารอโอกาสในการหลบหนี
ในตอนที่มัลติมุสปรากฎกายขึ้นบนแท่นบูชาและชูตรีศูลขึ้น ทั้งคู่ก็พลันตระหนักถึงภัยร้ายและโอกาส พวกเขากระตุ้นพลังใช้เวท ‘ชุมนุมย้อนกลับ’ ที่ร่ายเก็บไว้ในตัวล่วงหน้าอย่างไม่ลังเล ใจหวังจะกลับไปพบกันที่บ้าน!
กลุ่มแสงทั้งสองเปล่งประกายเจิดจ้า แล้วทั้งคู่ก็หายตัวไป ในชั่วเวลานี้เองที่ม่านหมอกสีน้ำเงินเริ่มแผ่ออกใส
ทั้งสองมิได้สนใจอะเกลียยาเลย หากเทียบระหว่างพวกเขาสองคนที่เป็นเพียงชั้นตำนานระดับสามกับชั้นตำนานระดับหนึ่ง นางก็หาใช่ไร้หนทางโดยสิ้นเชิงเมื่อเผชิญหน้ากับมนุษย์ครึ่งเทพ นอกจากนี้ นางยังยืนอยู่แถบชายขอบแอ่งกระทะและสามารถถอยร่นกลับไปได้ทุกเมื่อ
ต่อหน้ามนุษย์ครึ่งที่มิได้มีอาวุธร้ายแรงอย่าง ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ ตราบใดที่ผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดไม่โง่พอจะเข้าโรมรันต่อสู้กับศัตรูโดยตรง มันก็ยังมีโอกาสที่พวกเขาจะต้านทานได้สักสองสามนาทีและมองหาโอกาสในการหลบหนีไปได้ นอกจากนี้ หลังจากผ่านการแปรสภาพมา อะเกลียยาก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก ยามนี้นางแทบจะแข็งแกร่งเทียบเท่าดักลาสเลยทีเดียว
หลังจากใช้เวท ‘ชุมนุมย้อนกลับ’ ลูเซียนก็รู้สึกเหมือนว่าตนติดอยู่ในโลกแสนพิสดารที่ทั้งมืดและสว่างไสว เขาสูญเสียสัมผัสทั้งหมดที่โลกภายนอกและรู้สึกว่าร่างกายตนเองกำลังเบียดเสียดผ่านม่านประหลาดด้วยวิธีแปลกๆ หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว เงาเลือนรางมากมายของหอคอยเวทมนตร์ก็ดูจะปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา บ้างก็อยู่ในแนวระนาบ บ้างก็ตั้งตรง และบ้างก็บิดเบี้ยว พวกมันกินพื้นที่ทั่วทั้งขอบฟ้า
ด้วยเคยใช้เวทชุมนุมย้อนกลับมาหลายครั้ง ลูเซียนจึงรู้ว่านั่นก็คือจุดหมายปลายทางของเขา มันก็คือบาเบลของเขา
เขากำลังจะเข้าไปในหอคอยเวทมนตร์ แต่แล้วมือใหญ่ยักศ์ที่เหมือนกับจะสวมถุงมือเปลวเพลิงก็ยื่นออกมาจากฉากหลังที่ทั้งมืดและสว่างไสว กลิ่นกัมมะถันเหม็นคละคลุ้งลอยเข้าจมูดเขาเต็มๆ แล้วเล็บสีซีดก็คล้ายกับกำลังตัดเฉือนร่างกายและวิญญาณของเขา!
‘เขาทำแบบนั้นได้ยังไง’ ด้วยความตกตะลึง ลูเซียนรู้สึกว่าหอคอยเวทมนตร์รอบๆ นั้นแตกสลายภายใต้การทรมานของมือใหญ่ยักษ์ของเจ้าแห่งนรก และเขาก็ถูกเตะโด่งออกจากสถานะขณะใช้เวทชุมนุมย้อนกลับ!
เวทชุมนุมย้อนกลับถูกก่อกวนด้วยวิธีได้ด้วยหรือ ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าแห่งนรกไม่ขัดขวางพวกเขาจากการหลบหนีโดยใช้เวทมนตร์ระดับตำนานอย่าง ‘ชุมนุมย้อนกลับ’ แต่กลับจดจ่อไปที่การใช้พลังของประตูน้ำเงินผ่านเงื้อมมือจักรพรรดิ!
นี่เป็นครั้งแรกที่ลูเซียนได้เผชิญหน้ากับมนุษย์ครึ่งเทพที่แท้จริง ระดับชั้นและความเก่งกาจเหลือเชื่อเหนือชั้นตำนานไปไกลทำให้เขาประหลาดใจอย่างยิ่ง
เวลาและอวกาศรอบๆ พวกเขาพลันเปลี่ยนไป และสายน้ำสีน้ำเงินก็สั่นสะเทือนอยู่ใต้ฝ่าเท้าพวกเขา ยังไม่ทันที่ลูเซียนกับนาตาชาจะปรากฏกาย มือเปลวเพลิงที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีดำก็ยื่นออกมาจากความว่างเปล่าและคว้าตัวทั้งสองเอาไว้ บรรยากาศน่าหวาดหวั่นทำให้สภาพแวดบิดเบี้ยวและให้ความรู้สึกว่านรกได้มาเยือนแล้ว!
เล็บสีซีดอันเป็นตัวแทนของความตายและการทำลายล้างพลันยืดยาว และตัดเฉือนร่างของลูเซียนประดุจคมดาบ
เล็บเหล่านั้นดูธรรมดา แต่ลูเซียนไม่นึกสงสัยเลยว่าเมื่อไหร่ที่เขาโดนมันเข้า ทั้งร่างกายและวิญญาณของเขาคงกลับคืนสู่ความเงียบงันชั่วนิรันดร์เป็นแน่ และนี่ก็คืออำนาจอันสูงส่งของมนุษย์ครึ่งเทพต่อผู้มีพลังต่ำกว่าชั้นตำนานระดับสูงสุด!
ในตอนนั้นเอง กระจกที่มีลวดลายซับซ้อนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าลูเซียนและสกัดกั้นเล็บสีซีดเหล่านั้นเอาไว้ได้พอดี
เปรี๊ยะ
บานกระจกที่คล้ายกับจะบรรจุโลกอีกใบเอาไว้ พลันแตกร้าวอย่างไร้ทางสู้ แต่เล็บสีซีดเองก็ถูกกระแทกกลับไปเล็กน้อยเช่นกัน!
เวทมนตร์พลิกผันที่ลูเซียนร่ายไว้ก่อนหน้านี้มิได้ถูกเรียกกลับไป มันจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในเวลาเช่นนี้ ในฐานะเวทคุ้มกันสะท้อนกลับที่ดีที่สุด แม้ว่ามันจะหยุดศัตรูได้เพียงเล็กน้อย แต่มันก็ยังทรงพลังมากพอจะส่งกรงเล็บกลับไปหาเจ้าแห่งนรก
ลูเซียนฉวยโอกาสนี้กล่าวผ่านทางกระแสจิต “โล่แห่งสัจธรรม!”
ในขณะเดียวกันนั้น ลูเซียนก็สะบัดมือขวาพลางร่ายคาถาเวท “ปราการวายุ!”
ท้องนภาพลันมืดครึ้ม พร้อมกับที่กระแสน้ำไหลทะลักออกมา ทว่า พายุสายฟ้ากลับไร้ซุ่มเสียงโดยสิ้นเชิง สุญญากาศไร้ชีวิตชีวาเข้าปกคลุมบริเวณนั้นและกักขังมือปีศาจเอาไว้ รวมถึงลูเซียนกับนาตาชา
ในมือนาตาชามีโล่สีดำแสนประณีตใบเล็ก ใบหน้าของนางมีเพียงความสงบนิ่ง และดวงตาของนางก็จดจ่อเพ่งพินิจ นางไม่คิดถึงอะไรนอกจากการต่อสู้ตรงหน้า อย่างเช่น จะเกิดอะไรขึ้นหากทั้งสองล้มเหลวหรือโล่แห่งสัจธรรมถูกทำลายลง
น้ำแข็งปรากฏขึ้นบนมือเปลวเพลิง แต่มันก็ละลายไปอย่างรวดเร็วก่อนที่มือนั้นจะพุ่งเข้าใส่โล่แห่งสัจธรรมอย่างฉับพลัน!
ระลอกคลื่นมายาแผ่กระจายอยู่บนโล่สีดำ ปกป้องลูเซียนกับนาตาชาจากห้วงเวลาและอวกาศอื่น
เปรี๊ยะๆๆ
พื้นผิวของโล่ที่มีลวดลายงดงามพลันเกิดรอยแตกเป็นร่องลึกขึ้นทีละนิดๆ ระลอกคลื่นมายาเองก็พังทลายลงเช่นกัน
นี่แหละคือความแข็งแกร่งของมนุษย์ครึ่งเทพ!
ลูเซียนที่ผ่านช่วงรอเวลาใช้เวทเดิมได้ไปแล้วในระหว่างระยะเวลาสั้นๆ นี้ ยกมือขวาขึ้นและประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เวทปืนใหญ่โพซิตรอน!”
เสียงนั้นคล้ายกับดังมาจากรากฐานของสสารและการสั่นสะเทือนของอนุภาคทั้งหลาย มันแปลกประหลาดแต่ก็พิเศษยิ่ง
นาตาชาทำงานประสานกับลูเซียนด้วยการเรียกเก็บโล่แห่งสัจธรรมที่ใกล้จะสูญสลายและบินถอยกลับทันทีที่เขาร่ายคาถาเวทมนตร์ เพื่อหนีออกจากจุดศูนย์กลางของแรงระเบิด จากนั้นนางก็คว้า ‘เสื้อคลุมมหาจอมเวท’ ของลูเซียนและดึงเขาถอยหลังตามติดมาด้วย
ลูเซียนไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ ยามที่เขาร่ายเวทปืนใหญ่โพซิตรอนในระยะใกล้ถึงเพียงนี้ มันอาจจะไม่เป็นไรตราบใดที่เขาสามารถต้านทานพายุคลื่นพลังงานที่รุนแรที่สุดได้ อย่างไรเสีย เขาก็ยังมีไส้ติ่งเก็บไว้ที่บ้าน…
ขณะที่ลูเซียนลอยถอยหลังไปกับนาตาชา ความมืดมิดก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือขวาของเขา ราวกับวาสนามแม่เหล็กกำลังบิดเบี้ยวฉากเบื้องหน้า วัตถุไร้นามจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากความว่างเปล่าและรวมกันเป็นกระแสไฟฟ่าที่หน้าตาเหมือนเปลวไฟ ก่อนที่พวกมันจะเกี่ยวกระหวัดกันเป็นลำแสงสีแดงมากมาย
ตูม!
ท่ามกลางการระเบิดที่ไร้เสียง ลำแสงที่มีกระแสไฟฟ้าเปลวเพลิงลุกโหมก็พุ่งเข้าใส่มือปีศาจที่เพิ่งจะทำลายปราการป้องกันของโล่แห่งสัจธรรม!
เกล็ดบนมือยักษ์ง้างเปิดออก เกล็ดสีเข้มดูเย็นยะเยียบเหมือนจะสามารถต้านทานการโจมตีได้ทุกรูปแบบ
เมื่อเวทปืนใหญ่โพซิตรอนกระแทกเข้ากับเกล็ดสีเข้ม ทั้งโลกก็พลันเปลี่ยนสี จากความมืดมิดกลับกลายเป็นสว่างไสว
ตูม!
เสียงระเบิดรุนแรงเหนือจินตนาการดังกึกก้อง กระทั่งคลื่นและมิติเหนือสุญญากาศยังสั่นสะเทือน เกล็ดที่ควรจะป้องกันการโจมตีได้ ก็มีปฏิกิริยากับลำแสงเปลวเพลิง การทำลายล้างจึงเริ่มขึ้น และโครงสร้างของพวกมันก็ถูกทำลายลง
พลังงานที่ถูกปล่อยออกมานั้นสมบูรณ์ยิ่งเสียกว่าการหลอมนิวเคลียสที่ปลดปล่อยพายุเฮอร์ริเคนที่สามารถทำลายทุกสรรพสิ่งได้เสียอีก เวทปราการวายุถูกทำลายไปโดยพลัน
เวทมนตร์ที่ร่ายกำกับไว้บนเสื้อคลุมมหาจอมเวทของลูเซียนถูกกระตุ้นใช้งานติดๆ กัน ทั้ง ‘ชนวนเวท’ ‘เวทคาถาต่อเนื่อง’ และเวทติดตัวอื่นๆ ต่างถูกกระตุ้นใช้
แกร๊กๆๆ
ลูเซียนกับนาตาชาก้าวพริบตาหลบหนีจนเกิดเป็นเสียงดังชุดใหญ่ ใบหน้าของทั้งสองต่างซีดเซียว และมีหยาดโลหิตไหลจากมุมปากทั้งสองอยู่ตลอด เสื้อผ้าของทั้งคู่ก็เสียหายหนักเช่นกัน
ด้วยไม่มีเวลาจะออกความเห็นอะไร ลูเซียนจึงลากตัวนาตาชาและกระโดดเข้าไปในมิติจักรวาลอะตอมของตน นั่นคือข้อได้เปรียบของเหล่านักเวทชั้นตำนาน เพราะพวกเขาจะมีที่หลบภัยอยู่เสมอ ตราบใดที่พวกเขาไม่อยู่ในสถานที่อย่างบริเวณใกล้ๆ ประตูน้ำเงินหรือภายในทวารานาจักร
หลังจากที่เขามาถึงบาเบล ลูเซียนก็รีบเปิดใช้การป้องกันของทั้งมิติพิเศษ มันจึงถูกปิดกั้นจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
จนถึงตอนนี้เองที่ทั้งสองสามารถหายใจได้ด้วยความโล่งอกในที่สุด พวกเขาหลุดพ้นจากภยันตรายแล้ว บรรดามนุษย์ครึ่งเทพช่างเป็นนักสู้ที่เก่งกาจอย่างแท้จริง
“หากเราไม่ถอยร่นออกมาล่วงหน้า และหากชุดเกราะระดับตำนานกับเสื้อคลุมมหาจอมเวทไม่อาจป้องกันมันได้ล่ะก็…” นาตาชามิได้หวาดกลัวเสียเท่าไหร่ กลับเอ่ยออกมาด้วยความหลงใหล นางดูจะสงสัยใคร่รู้ไม่น้อยเกี่ยวกับลำดับขั้นของมนุษย์ครึ่งเทพ
ลูเซียนไอโขลก ก่อนจะเช็ดเลือดบนริมฝีปากตน “รีบแจ้งเรื่องนี้ให้ท่านประธาน อาจารย์ และท่านยายแฮทธาเวย์ทราบเถิด การมาเยือนของเจ้าแห่งนรกเป็นเรื่องสำคัญมาก หากราชินีเอลฟ์ยังไม่หลุดพ้นจากอันตราย เราก็อาจไปช่วยเหลือนาง ความจริงแล้ว ข้ารู้สึกว่าการหลบหนีของเราค่อนข้างง่ายเกินคาด ข้านึกว่าเราจะต้องใช้วิธีการรักษาชีวิตทุกรูปแบบของเราเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่า…”
นาตาชาพยักหน้าและกล่าวอย่างครุ่นคิดหนัก “ข้าคิดว่าเจ้าแห่งนรกไม่ได้พยายามอย่างที่สุด บางทีมันอาจจะยุ่งกับการรับมือกับราชินีเอลฟ์อยู่กระมัง”
………………………………………..