Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - ตอนที่ 362
บทที่ 362 การเปลี่ยนแปลง
ภายในหอคอยเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์ม ทันทีที่ลูเซียนผลักประตูเปิด เขาก็เห็นบรรดาบุคคลชั้นนำของ ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ ที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างมอร์ริส แกสตัน ฟลอเรนเซีย และคนอื่นๆ ภายในห้องมีคนอยู่ประมาณสิบสี่สิบห้าคน บางคนที่มาไม่ได้นั้นเพราะพวกเขาออกไปผจญภัยและออกสำรวจนอกนครอัลลิน หรือไม่ก็อยู่ในระหว่างขั้นตอนสำคัญของการวิจัยทางเวทมนตร์
“ท่านอีวานส์ ที่นี่ท่านย่อมปลอดภัยดี ข้าจะรออยู่ข้างนอกนะขอรับ” เบลลัคกระซิบบอกลูเซียน
ลูเซียนผงกศีรษะตอบรับแล้วเดินเข้าไปช้าๆ เขาส่งยิ้มทักทายเหล่านักเวทภายในห้อง “อรุณสวัสดิ์ขอรับ ท่านมอร์ริส ท่านแกสตัน… ยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบท่านฟลอเรนเซียขอรับ…”
“ยินดีต้อนรับท่านอีวานส์ สมาชิกคณะกรรมการพิจารณาที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา และยังเป็นผู้ชนะรางวัลมงกุฎแห่งโฮล์มที่อายุน้อยที่สุดอีกด้วย” มอร์ริสลุกขึ้นยืนพลางแนะนำลูเซียนให้บุคคลระดับผู้นำที่เหลือขององค์กรรู้จักกับลูเซียน “และเขาก็กำลังจะชนะ… ชนะ… อืม รางวัลบัลลังก์นิรันดรอีกด้วย ซึ่งนี่จะทำให้เขากลายเป็นคนของเจตจำนงแห่งธาตุที่ชนะรางวัลนั้นเป็นคนที่สอง! นับว่าเป็นคนหนุ่มที่อนาคตไกลอย่างยิ่ง!”
จอมเวทคนแรกที่ชนะรางวัลบัลลังก์นิรันดรก็คือแฮททาเวย์ ผู้นำเสนอทฤษฎีที่ใช้อธิบายธาตุพื้นฐานที่ประกอบเข้าด้วยกันภายในร่างกายมนุษย์
มอร์ริสค่อนข้างไม่พอใจกับความจริงที่ว่าลูเซียนกำลังจะปล้นเงินไปจากกระเป๋าขององค์กรอีกเป็นจำนวนมากจากการได้รับแหวนรางวัลอีกวง เหล่านักเวทระดับผู้นำที่อยู่ในที่นี้ต่างคุ้นชินกับท่าทางนี้เสียแล้ว และพวกเขาก็ยังชอบนำมาล้อเลียนอีกด้วย เมื่อเห็นสีหน้าของมอร์ริส พวกเขาก็พึมพำชื่อเล่นของมอร์ริสที่พวกเขาตั้งให้ว่า ‘เฒ่าขี้ตืด’
ฟลอเรนเซียนึกขันและยังรู้สึกอับอายเล็กน้อยอีกด้วย ในฐานะนักเวทระดับสูงที่เก่งทางด้านการต่อสู้ และเป็นภริยาของมหาจอมเวท นางจึงไม่เคยต้องกังวลเรื่องเงินทองหรือวัตถุดิบอุปกรณ์ ทว่า เพราะมอร์ริสคืออาจารย์ของนาง บางครั้งนางจึงเลือกที่จะอยู่ข้างมอร์ริสเวลาที่มอร์ริสเสนอแนะเรื่องประหยัดค่าใช้จ่าย
“ลูเซียน นี่คือท่านประธานของเรา ท่านโดนัลด์ สมาชิกสภาสูงสุด และท่านก็เพิ่งกลับมาจากต่างมิติ” มอร์ริสแนะนำลูเซียนให้รู้จักกับชายสูงวัยที่มีผมสีขาวแซมกลุ่มผมดำ
โดนัลด์คือสุภาพบุรุษตามแบบฉบับที่ยึดธรรมเนียมสุดสง่างามและคลาสสิกของอาณาจักรโฮล์ม เขาสวมชุดที่ดูค่อนข้างเป็นทางการ และข้างกายเขาก็มีหมวกทรงสูงสีดำกับไม้เท้าอีกด้วย ดวงตาสีฟ้าอ่อนของเขาดูไม่พร่าเลือนหรือเฉียบคม แต่กลับอ่อนโยนและนุ่มนวล
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักเวทระดับผู้นำที่เอาชนะผู้วิเศษระดับเก้าที่แข็งแกร่งมาแล้วมากมายและเป็นหนึ่งในสมาชิกสภาสูงสุด ลูเซียนย่อมต้องปฏิบัติตัวกับโดนัลด์อย่างเคร่งขรึมจริงจัง ตำแหน่งมากมายของเขา ซึ่งก็คือจอมเวทระดับเก้า นักเวทระดับเก้า ผู้ชนะรางวัลมงกุฎแห่งโฮล์ม และอื่นๆ อีกมากมาย สามารถทำให้เขาเป็นต้นแบบที่ดีได้อย่างง่ายดาย
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบท่านขอรับ ท่านโดนัลด์ ข้าสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับมิติแสนพิศวงทั้งหลายนั้นมานานแล้วขอรับ ข้าจึงชื่นชมเคารพท่านและเหล่านักเวทที่สามารถเดินทางไปยังที่เหล่านั้นได้มาตลอด ท่านจะช่วยแบ่งปันประสบการณ์ในต่างมิติจะได้หรือไม่ขอรับ” ลูเซียนกล่าวกับโดนัลด์ด้วยความสุภาพอย่างยิ่ง และเขาก็กำลังพยายามจะสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับท่านประธานขององค์กร
เสียงของโดนัลด์แหบพร่าราวกับว่าลำคอของเขาได้รับความเสียหาย “อีวานส์ ในฐานะสมาชิกกรรมการพิจารณา เจ้ามีสิทธิเข้าถึงข้อมูลที่เก็บไว้ในห้องสมุดเวทมนตร์และอาร์คานาระดับสูงเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับมิติเหล่านั้น แต่แน่นอน เราต่างรู้ดีว่าลำดับของเจ้าบนรายชื่อชำระล้างนั้นพุ่งขึ้นเร็วมาก ข้าจึงพอจะเดาออกว่าเจ้าคงไม่มีเวลามาอ่านตำราและเอกสารเป็นแน่”
ฟลอเรนเซียยิ้มกริ่ม ก่อนหน้าลูเซียน โดนัลด์ ‘กลียุคธาตุ’ อยู่ในลำดับที่ห้าสิบสาม ลิเดียที่มีเลือดของปีศาจซัคคิวบัสส่วนหนึ่งเองก็หันมามองลูเซียนด้วยดวงตาสีแดงเข้มอย่างสนอกสนใจ
ก่อนที่ลูเซียนจะได้ตอบอะไร โดนัลด์ก็พูดต่อ “มิติมีอยู่หลายประเภท แต่เพราะว่าเรายังหามิติที่เกิดขึ้นใหม่ไม่ได้ ตอนนี้เราจึงยังไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่พวกมันก่อสร้างขึ้น ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับความลับสูงสุดของการสร้างโลกใบนี้ สองมิติใหญ่ที่อันตรายและเก่าแก่ที่สุดนั้นเราคุ้นเคยกันดี เราเรียกพวกมันว่านรกภูมิและอเวจี พวกมันจะแบ่งออกเป็นชั้นๆ เหมือนกับหอคอยเวทมนตร์”
ลูเซียนรับฟังถ้อยคำของโดนัลด์ด้วยความตั้งใจ เหล่าจอมเวทและนักเวททั้งหมดเองก็เช่นกัน
“ส่วน ‘หุบเขาวิมาน’ ที่พวกศาสนจักรเรียกนั้นยังคงเป็นปริศนา หุบเขาวิมานมีเอกลักษณ์หลายอย่างที่เหมือนกับมิติอื่นๆ และเหล่าเทวดานางฟ้าในหุบเขาวิมานจะสามารถถูกอัญเชิญมาที่โลกได้เหมือนกับสัตว์ประหลาดชนิดอื่นๆ ที่ถูกอัญเชิญมาจากต่างมิติ แต่ก็เหมือนกับดาวเคราะห์ที่ยังไม่พบเจอ เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เราจะไปสำรวจได้” โดนัลด์กล่าว “และมิติทั่วๆ ไปจะมีขนาดเล็กกว่าโลกใบหลักอย่างมาก เราสามารถเข้าไปในมิติเหล่านี้ได้ผ่านทางเขตแดนเหนือจุดที่มีความมืดมิดโกลาหล ลักษณะทางภูมิศาสตร์ สิ่งมีชีวิต และสินแร่ในมิตินั้นๆ จะมีเพียงรูปแบบเดียว ยังมี ‘มิติเพลิง’ ที่มีเปลวไฟอยู่ทุกหนทุกแห่ง มันเป็นมิติทางธรรมชาติที่มียูนิคอร์นอาศัยอยู่… ในบางมิติ อาจมีดาวเคราะห์อยู่บ้างแต่ไม่พบสิ่งมีชีวิตใดบนนั้นเลย และยังมี ‘มิติสุสานดวงดาว’ ที่ไม่มีแรงโน้มถ่วง ไม่มีแสงสว่างเลยสักนิด และไม่มีโลก ไม่มีมนุษย์หรือมีอาณาจักรใดสร้างขึ้น”
ชื่อ ‘มิติเพลิง’ นั้นมาจากอาณาจักรเวทมนตร์โบราณ และทางสภาเวทมนตร์ก็ยังใช้อยู่
เมื่อได้ยินชื่อ ‘มิติสุสานดวงดาว’ ลูเซียนก็นึกไปถึงภาพยนตร์นวนิยายวิทยาศาสตร์ที่เขาเคยดูในชีวิตก่อน มันฟังดูเหมือนว่าสุสานดวงดาวจะคล้ายคลึงกับจักรวาลที่ลูเซียนรู้จัก แต่เพราะเหตุใดมันจึงไม่มีแรงโน้มถ่วงและแสงสว่างในสุสานดวงดาวกันนะ
“ปัจจุบันสภาเวทมนตร์ได้ไปสำรวจมาแล้วแปดสิบเจ็ดมิติ และควบคุมไว้ได้สิบเอ็ดมิติ ส่วนมิติอื่นๆ หากไม่ใช่ศาสนจักรเหนือกับใต้ที่ควบคุมอยู่ ก็มีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจกันระหว่างชนเผ่ากับศาสนจักร และบางมิติก็อยู่ภายใต้การควบคุมของ ‘สภามืด’ หรือกลุ่มที่เชื่อในเทพเจ้าหรือเทพีองค์อื่น เช่น นรกภูมิกับอเวจี เราเข้าไปควบคุมไม่ได้เพราะเรายังไม่แข็งแกร่งมากพอ จุดประสงค์ที่เราไปสำรวจมิติทั้งหลายนั้นก็เพื่อนำวัตถุดิบและทรัพยากรล้ำค่ามา และเพื่อค้นหาความจริงของโลกนี้ ข้าไปยังสุสานดวงดาวในครานี้ได้พยายามหาคำตอบว่ามันมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับดาวเคราะห์ที่ยังไม่ค้นพบหรือไม่ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้คำตอบอะไรเลย”
หลังจากที่โดนัลด์พูดถึงความรู้เบื้องต้นแบบรวบรัดจบ และเมื่อความสงสัยของลูเซียนได้รับการแถลงไขเป็นที่น่าพอใจ มอร์ริสก็แนะนำลูเซียนให้รู้จักกับนักเวทและจอมเวทระดับผู้นำจากเจตจำนงแห่งธาตุคนที่เหลือ ในตอนนั้นเอง ประตูจากโถงทางเดินก็ผลักเข้ามาอีกครั้ง และราเวนติก็เดินเข้ามา บนเสื้อคลุมเวทมนตร์ที่เขาสวมมีลวดลายตารางธาตุอยู่
“เอาล่ะ ในเมื่อเรามากันครบแล้ว ก็มาเริ่มหารือกันเลยเถิด” เมื่อเห็นว่าราเวนตินั่งลงบนเก้าอี้ที่ค่อนข้างไกลจากตน มอร์ริสก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
ลูเซียนผงกศีรษะไปทางราเวนติเพื่อแสดงความขอบคุณ เหตุผลที่ราเวนติมาช้านั่นก็เพราะเขาจำเป็นต้องคุ้มครองสาขาขององค์กรเจตจำนงแห่งธาตุเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับลูเซียนในขณะที่เขาใช้มิติพิเศษนั่นเอง
ราเวนติไม่ใส่ใจอะไร ในความคิดเขา มันก็เป็นเพียงหน้าที่หนึ่ง
“เรื่องแรก… เกี่ยวกับ… รางวัลมงกุฎแห่งโฮล์ม…” มอร์ริสลูบหน้าผากก่อนจะพูดต่อ “แหวนของแลร์รี่ที่ชื่อไอออไนเซชันเสร็จแล้วเรียบร้อย เราควรจะรอให้แหวนทั้งสองวงของอีวานส์เสร็จก่อนค่อยมอบให้พร้อมกันดีหรือไม่”
“พร้อมกัน พิธีเดียวก็พอแล้ว” ราเวนติโพล่งบอก “สิ่งสำคัญควรจะเป็นตัวแหวนและเกียรติยศ อย่าทำให้คนอื่นๆ เสียเวลาเลยจะดีกว่า”
หลังจากที่ราเวนติออกความเห็น จอมเวทที่เหลือต่างไม่เห็นว่าจำเป็นจะต้องโต้แย้งกับเขา ทุกคนจึงพยักหน้า
“กะ… ก็ได้ ข้าเองก็เห็นด้วยกับราเวนติ สิ่งสำคัญจริงๆ ควรจะเป็นเกียรติยศ ไม่ใช่รางวัล… ฉะนั้นเราควรจะใช้แหวนระดับสี่หรือห้าก็…” เมื่อเห็นสีหน้ากรุ่นโกรธจากจอมเวทและนักเวทหลายๆ ท่านมอร์ริสก็รีบกลับลำ “…ข้าเพียงล้อเล่น… ทีนี้เรามาพูดถึงเรื่องชื่อของแหวนทั้งสองวงของอีวานส์กันเถอะ”
จอมเวทระดับสูงคงจะต้องอับอายเป็นแน่หากเจตจำนงแห่งธาตุจะมอบรางวัลเป็นแหวนระดับสี่หรือห้าจริงๆ
“ง่ายๆ เจ้าค่ะ วงหนึ่งให้ชื่อ ‘ต้นกำเนิด’ ส่วนอีกวงก็ตั้งว่า ‘อิเล็กตรอน’ ‘อนุภาคไมโคร’ หรือ ‘ประตู’” ฟลอเรนเซียเสนอด้วยใบหน้ายิ้มๆ
เมื่อถึงจุดนี้ ลูเซียนที่เป็นผู้ชนะรางวัลทำได้เพียงนิ่งเงียบ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้มอร์ริสหัวเสียอีกครั้งและเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นอาวุธลับ ลูเซียนจึงวางแผนว่าจะส่งงานเขียนเกี่ยวกับธาตุที่แผ่รังสีออกมาในปีหน้า งานชิ้นนี้จะช่วยพิสูจน์ว่าอิเล็กตรอนเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างภายในของหนึ่งอะตอมและแสดงให้เห็นว่าธาตุทั้งหลายสามารถแปรสภาพได้ เพราะฉะนั้น หากพูดกันทางทฤษฎีแล้ว งานเขียนชิ้นนี้จะเป็นข้อพิสูจน์ให้แก่ความฝันสูงสุดของศาสตร์แห่งการแปรธาตุว่ามันเป็นไปได้ มันจึงคุ้มค่ากับแหวนมงกุฎแห่งโฮล์มอีกวงหนึ่ง เขาจะใช้วิธีเหมือนตอนส่งเรื่อง ‘การทดลองแห่งปาฏิหาริย์’ เฟอร์นันโดกับโคลจะได้อ่านงานของเขาก่อนแล้วจากนั้นก็จะเก็บเป็นความลับไว้
สำนักแปรธาตุมีต้นกำเนิดจากทักษะในการสร้างอุปกรณ์และน้ำยาเวทมนตร์ในอาณาจักรเวทมนตร์โบราณ ภายหลัง เหล่านักเวทที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้ได้พยายามเปลี่ยนคุณสมบัติของสสารพื้นฐานและพยายามทำให้สิ่งของทั่วไปกลายเป็นทองคำแท้ แต่มันไม่เคยทำได้จริงเลย
หลังจากปรึกษาหารือกัน แหวนทั้งสองวงของลูเซียนจึงได้ชื่อว่า ‘อิเล็กตรอน’ และ ‘ต้นกำเนิด’
หลังจากนั้น สมาชิกระดับสูงก็เริ่มถกกันถึงปัญหาสำคัญภายในองค์กร ในฐานะสมาชิกใหม่ ลูเซียนแทบไม่ได้พูดอะไร ได้แต่รับฟังอย่างใจเย็นและลงคะแนนเสียงในยามจำเป็นเท่านั้น
จากการสังเกตการณ์ของลูเซียน แม้ว่าบรรยากาศภายในองค์กรจะดูเหมือนจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ความจริงแล้วก็ยังมีความขัดแย้งแฝงอยู่ มอร์ริสดูเหมือนจะไม่ลงรอยกับโดนัลด์และต่างฝ่ายต่างมีผู้สนับสนุน แกสตันและจอมเวทระดับสูงอีกสองคนจับกลุ่มกันเองและพวกเขาก็ไม่อยู่ข้างฝ่ายใด ส่วนราเวนตินั้น เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น และเขาก็จะตะคอกใส่ทุกคนที่เขาเชื่อว่าทำตัวโง่เง่า
…
การประชุมจบลงในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง
“ลูเซียน หัตถ์ไร้ชีวาได้ตัดสินใจมอบรางวัลบัลลังก์นิรันดรให้เจ้าแล้ว พวกเขาอยากถามว่าเจ้าอยากได้เครื่องราง สร้อยคอ หรืออย่างอื่นมากกว่ากัน”
มอร์ริสดูท่าทีมีความสุขที่ได้เห็นเงินรั่วไหลออกจากกระเป๋าผู้อื่น
ลูเซียนเปิดประตูห้องประชุมให้มอร์ริสพลางส่งยิ้มให้ “เสื้อคลุมเวทมนตร์ได้จะดีมากขอรับ”
ลูเซียนมี ‘มงกุฎสุริยัน’ อยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่เป็นการดีที่เขาจะสวมเครื่องรางสองอย่างด้วยกัน
มอร์ริสพยักหน้าแล้วส่งยิ้มขมขื่นให้ “หวังว่าข้าจะไม่ต้องถามว่าเจ้าต้องการอะไรในอนาคตนะ”
ลูเซียนกับมอร์ริสเดินไปด้วยกันไปพลางพูดคุยไปพลาง และเบลลัคก็เดินตามลูเซียนมาติดๆ
“ท่านอีวานส์อยากจะอยู่ที่นี่ต่อหรือว่ากลับไปอัลลินเลยขอรับ” เบลลัคกระซิบถาม
“เรากลับกันดีกว่า” ลูเซียนยังคงยิ้มแย้ม จากนั้นเขาก็บอกลามอร์ริส แกสตัน ฟลอเรนเซีย และจอมเวทคนที่เหลือ
ฟลอเรนเซียจ้องมองลูเซียนด้วยดวงตาสีเขียวของนาง ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางไม่พอใจอย่างปั้นแต่ง “ข้ากำลังคิดว่าจะหารือกับเจ้าเรื่องการค้นพบอนุภาคใหม่เสียหน่อย”
“เรายังมีโอกาสอีกมากมายในอนาคตขอรับ” ลูเซียนยิ้มกริ่ม จากนั้นเขาก็เดินไปทางประตูที่เชื่อมต่อกับมิติพิเศษ ราเวนติเองก็กำลังจะกลับอัลลินพร้อมกับลูเซียน เพราะวันนี้เป็นเวรของเขา
…
ในขณะเดียวกันนั้น นักเวทระดับกลางสองคนคล้ายจะบังเอิญเดินออกมาจากคลังมิติพิเศษพอดี
ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน และต่างมองเห็นความเกลียดชังล้ำลึกในดวงตาของอีกฝ่าย
นักเวทผมสีดำดึงสร้อยคอออกมาพลางพึมพำบางอย่าง จากนั้นเขาก็หันกายเดินไปยังแก่นพลังของหอคอย ส่วนนักเวทผมสีบลอนด์นั้นจัดคอปกเสื้อกับแขนเสื้อบนข้อมือ ก่อนที่เขาจะเดินตรงมายังทางแยกระหว่างสองระเบียง
มันเป็นเพียงระยะทางสั้นๆ ไม่นานเขาก็มาถึงระเบียงหนึ่งและมองเห็นลูเซียน
ยามเผชิญหน้ากับลูเซียน นักเวทผมบลอนด์ก็ก้มหน้าลงเล็กน้อยและออกเดินต่อไป
วินาทีที่เขาเดินผ่านลูเซียน นักเวทผมบลอนด์ก็ยิ่งก้มหน้าลงกว่าเดิมเหมือนกับจะให้ความเคารพ ทว่า รอยยิ้มบนใบหน้าเขากลับแลดูชั่วร้ายยิ่งนัก
มันคือช่วงเวลาสุดท้าย… จากนั้นเขาก็จะเป็นไทย…
แสงสว่างเจิดจ้าหลายสายพลันระเบิดโพลงออกจากเสื้อคลุมเวทมนตร์ของเขา และระเบิดแปรธาตุอันทรงพลังจำนวนมากที่ติดอยู่ตรงเอวและอกของเขาก็ระเบิดพร้อมๆ กัน!
ตูม! พลังจากการพลีชีพของนักเวทระดับกลางและระเบิดคุณภาพสูงหลายแถวนั้นเทียบเท่ากับเวทมนตร์ระดับหก!
“มารร้าย! จงกลับนรกไปเสีย ไอ้มารร้าย!” ถ้อยคำสุดท้ายของนักเวทและเสียงกรีดร้องแหลมดังก้องแหวกอากาศ