Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - ตอนที่ 492
บทที่ 492 ผู้บุกเบิก
หลังจากเกิดการระเบิดพลังไปหลายรอบ ก็ดูเหมือนว่าอัลเทอร์นาจะเป็นฝ่ายกุมอำนาจเหนือกว่าได้ชั่วคราว ผ่านไปแล้วกว่าครึ่งวันนับแต่ที่สีสันชวนขนลุกแผ่ออกมาครั้งล่าสุด ดังนั้น ลูเซียนกับนาตาชาจึงมียามเช้าที่ค่อนข้างเรียบง่าย ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับทั้งสองในเมื่อต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บอยู่ในขณะนี้
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว และอากาศก็ร้อนระอุอย่างยิ่ง ดวงอาทิตย์ลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า สาดแสงแดดลอดผ่านใบไม้ บังเกิดเป็นจุดแสงมากมายบนผืนดิน
นาตาชามองไปรอบๆ แล้วอมยิ้ม “ข้านึกว่าสภาพบาดเจ็บของเราจะดึงดูดขโมยขโจรเสียอีก โดยเฉพาะหลังจากที่เจ้านำเงินออกมาต่อหน้าชาวบ้าน แต่เช้านี้กลับเงียบสงบกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก หมดสนุกเลย”
“นี่คือดินแดนที่ไร้ซึ่งอัศวินและนักเวทนะ จำได้ไหม แม้ว่าเจ้าจะบาดเจ็บ แต่ชุดเกราะที่เจ้าสวมอยู่ย่อมข่มขวัญพวกที่สนใจพวกเราอยู่แล้ว ในสายตาพวกเขา มีเพียงผู้มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์และผู้ได้รับพรจากเทพเจ้าเท่านั้นที่จะสวมใส่ชุดเกราะเช่นนี้ได้ พวกเขามิได้ไร้สมอง…” ลูเซียนยิ้มกริ่ม จากนั้นจึงกล่าวเสริมด้วยท่าทางสบายๆ “อีกอย่าง หากเทียบกับความร่ำรวยแล้ว ความงามของเจ้ายังน่าดึงดูดเสียยิ่งกว่า ข้าเห็นสายตาของชายหลายคนในเมืองที่ลอบมองตามเจ้า”
นาตาชาตวัดสายตามามองลูเซียนพลางเอ่ยว่า “เจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเป้าหมายของพวกเขาคือข้า เอาเถอะ ดูที่ปราสาทนั่นสิ ไม่แย่เลยว่าไหม ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าชายที่ชื่อนิก้าผู้นี้ได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางของนักเวทโบราณแล้วหรือไม่”
เบื้องหน้า จุดที่ต้นหลิวสีดำขึ้นหนาตาที่สุด มีปราสาทรูปทรงป้อมปราการที่ปกคลุมด้วยเถาไม้สีเขียวและใบไม้แห้งเหี่ยวตั้งอยู่ แม้ว่าสีสันของสถาปัตยกรรมนี้จะบอกได้ยากเพราะมีพืชพรรณขึ้นอยู่เต็ม แต่ยอดปราสาทนั้นดูคล้ายคลึงกับหอคอยเวทมนตร์ของนักเวทโบราณมากทีเดียว สำหรับนักเวทรุ่นแรกๆ ยอดหอคอยสูงจะดึงพวกเขาเข้าไปใกล้กับท้องฟ้าและความจริงของโลกมากขึ้น
ในตอนที่พวกเขาได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับนิก้า ทั้งลูเซียนและนาตาชาต่างเชื่อมโยงมันเข้ากับต้นกำเนิดของนักเวท
บางทีในยุคแห่งเทพปกรณัมและยุคแห่งไอน้ำ ขณะที่มังกร เอลฟ์ และมนุษย์หมาป่าคือผู้ปกครอง อาจเป็นเพราะความพยายามของเหล่าคนบ้าอย่างนิก้าที่ทำให้มนุษย์สามารถช่วงชิงบัลลังก์แห่งอำนาจมาได้ แต่ทว่า เพราะนักเวทโบราณเหล่านั้นได้ถลำลึกลงสู่เส้นทางอันคลุ้มคลั่งและโหดร้ายจนเกินไปในภายหลัง ในที่สุดบาปกรรมจึงตามทัน
ในระหว่างที่ดินแดนนี้ซึ่งยังคงปกครองด้วยเทพเจ้า เวทมนตร์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางทีนิก้าอาจมิใช่คนเพียงผู้เดียวในดินแดนนี้ ในที่อื่นๆ อาจยังมี ‘คนบ้า’ อีกมากมายที่กำลังศึกษาวิจัยเหมือนอย่างนิก้า
“นิก้าไม่เคยได้เรียนรู้วิธีการเข้าฌานสมาธิ และเขาก็ไม่สามารถร่ายคาถาบทใดได้ แต่เพียงใช้คลื่นแห่งพลังจิตที่บังเอิญเกิดขึ้นมา ทำให้เขาสามารถขยับสิ่งของและทำให้สิ่งของติดไฟได้ นั่นหมายความว่าพลังจิตของเขาอยู่ในระดับสามหรือสี่แล้ว และเขาก็มีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ยิ่งกว่าข้าอย่างแน่นอน ข้าเกรงว่ามีเพียงนักเวทไม่กี่คนในสภา เช่นท่านบรูค ที่จะต่อกรกับเขาได้ก่อนจะได้เรียนรู้เวทมนตร์อย่างเป็นระบบ เขาคืออัจฉริยะผู้หนึ่ง ดูจากความพยายามอย่างหนักนับหลายปี ก็สมแล้วที่เขาจะประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้” ลูเซียนออกความเห็นอย่างตรงไปตรงมา
ทว่า การมีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป ในหมู่อัจฉริยะที่ลูเซียนกล่าวถึงนั้น มีเพียงบรูคที่สามารถไต่ขึ้นมาถึงระดับตำนานได้ ในประวัติศาสตร์เวทมนตร์ มีผู้บุกเบิกมากมายที่อาจจะเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์เสียยิ่งกว่านิก้า แต่กลับมิมีผู้ใดเลื่อนขึ้นมาอยู่ในระดับสูงได้เลย แต่ก็เป็นเพราะรากฐานที่พวกเขาวางเอาไว้ที่ทำให้นักเวทรุ่นหลังสามารถต่อยอดไปได้เรื่อยๆ
ขณะพูดคุย ลูเซียนกับนาตาชาก็มาถึงปราสาทที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว
นกสีขาวหน้าตาแปลกประหลาดตัวหนึ่งโผบินลงมาเกาะบนเสาด้านหน้าปราสาท
“นี่คือปราสาทของนิก้า ท่านนิก้าผู้รอบรู้ไม่ต้อนรับแขกใดๆ” นกตัวน้อยร้องบอกขณะเชิดศีรษะขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
ลูเซียนแย้มยิ้ม “เขาอยากจะพบกับท่านนิก้าผู้รอบรู้เพราะเราได้รู้มาว่าท่านคือผู้เชี่ยวชาญทางด้านพืชพรรณและแบบแผนของสัตว์ประหลาด ข้าเองก็ศึกษาเรื่องเหล่านี้ จึงอยากจะแลกเปลี่ยนความคิดกับท่านนิก้าสักเล็กน้อย”
“เอิ่ม เจ้ามิใช่ผู้ที่คิดดูถูกอีกคนใช่หรือไม่” เจ้านกตอบด้วยความประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าเจ้าเองก็ศึกษาความลับของเหล่าเทพเจ้าเช่นกัน แต่จะมีคนบ้าสองคนได้อย่างไรกัน ข้าไม่รู้ว่าเจ้าโกหกหรือไม่ ฮึ่ม ข้าต้องทดสอบเจ้าเสียก่อน เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคืออะไร”
“เจ้าคืออีกาสีขาวเพียงตัวเดียวบนโลกนี้ เป็นสัตว์เลี้ยงของท่านนิก้า และเจ้าก็เฉลียวฉลาด” ลูเซียนตอบยิ้มๆ
เจ้านกกระพือปีกด้วยความพอใจ “ตอบได้ยอดเยี่ยม แต่ข้าต้องไปถามนิก้าก่อนว่ายินดีพบกับเจ้า คนบ้าอีกคนหรือไม่!”
หลังจากที่เจ้านกบินผ่านหน้าต่างด้านบนเข้าไป นาตาชาก็ถามกับลูเซียน “มันเป็นสีขาวเพราะขนของมันถูกย้อมใช่หรือไม่ มันไม่มีอีกาสีขาวสักหน่อยถ้าว่ากันตาม ‘สารานุกรมสิ่งมีชีวิต’”
“มันจึงเป็นอีกาสีขาวตัวเดียวบนโลกนี้อย่างไรล่ะ อีกาตัวอื่นไม่ย้อมขนตัวมันเองหรอก” ลูเซียนยิ้มกริ่ม
นาตาชาพลันเข้าใจก่อนจะส่ายศีรษะยิ้มๆ “เอาเถิด”
ไม่กี่นาทีต่อมา ประตูปราสาทก็ส่งเสียงเอียดอาดขณะเปิดออกช้าๆ ด้านหลังประตูนั้นคือเด็กชายผมบลอนด์ในชุดเสื้อคลุมสีขาวสั้น เขาเอ่ยกับทั้งสองด้วยความสุภาพ “อาจารย์ข้าอยากพบท่านในห้องวิจัยของท่านขอรับ”
“อาจารย์หรือ เจ้าคือลูกศิษย์ของท่านนิก้าอย่างนั้นหรือ” ลูเซียนถาม มันค่อนข้างจะเหลือเชื่อที่คนบ้าผู้โด่งดังจะมีลูกศิษย์ได้ เด็กคนนี้อายุราวๆ แปดหรือเก้าปีเท่านั้นเอง! ลูเซียนนึกสงสัยว่าเด็กชายคนนี้ถูกนิก้าลักพาตัวมาทำการทดลองกับมนุษย์หรือไม่
เด็กชายตัวน้อยคุ้นเคยกับสีหน้าแบบที่ลูเซียนแสดงออกมานี้ดี เพราะเขาเคยเห็นมาหลายครั้งแล้ว “ข้า คือ ลูกศิษย์ของท่านนิก้า! ท่านนิก้าไม่ได้บ้า แต่เป็นชายผู้รอบรู้ที่แท้จริง! ท่านรู้เกี่ยวกับความลับของเหล่าเทพเจ้าและมีพลังที่น่าทึ่ง ผู้คนพูดจาในทางที่ไม่ดีเกี่ยวกับท่านก็เพราะว่าพวกเขาหวาดกลัวท่าน!”
เด็กชายหันขวับกลับไปอย่างกรุ่นโกรธก่อนที่นาตาชากับลูเซียนจะทันได้ตอบอะไร
ลูเซียนตรวจตราดูรอบๆ กายตามปกติจนแน่ใจว่าไม่มีวงแหวนเวทป้องกันอยู่เลย จากนั้นเขาจึงประคองแขนขวาของนาตาชาแล้วเดินเข้าไปด้วยกัน เนื่องจากตอนนี้แขนซ้ายของนางขยับไม่ได้เลยสักนิด
หลังจากเดินผ่านโถงแคบๆ และขึ้นบันไดมา พวกเขาก็มาถึงทางเดินมืดทึบ ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในโถงทางเดิน เด็กชายที่ยังคงโกรธอยู่นั้น จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “ท่านนิก้าไม่ได้บ้า จริงๆ นะ ท่านหั่นพวกพืชกับสัตว์เป็นชิ้นๆ ก็เพราะท่านอยากจะศึกษาพวกมัน พวกนายพรานเองก็ฆ่า และเคยชินกับเลือด แต่พวกเขากลับกล่าวหาว่าท่านนิก้าโหดร้าย พวกเขาก็แค่ไม่ชอบภาพการทดลองก็เท่านั้นเอง”
เขาพยายามอย่างที่สุดในการแก้ต่างให้กับนิก้า หวังว่าแขกทั้งสองจะเห็นดีด้วยกับเขา
“ข้าเข้าใจ” ลูเซียนพยักหน้า ในฐานะนักเวทผู้หนึ่ง เขาเองก็คุ้นเคยกับกายวิภาคศาสตร์ ในขณะเดียวกัน ลูเซียนก็นึกชื่นชมเด็กชายตัวน้อย เขาเป็นลูกศิษย์ที่ดี
พอได้ยินว่าลูเซียนบอกว่าเขาเข้าใจ เด็กชายก็มีกำลังใจขึ้น เขาจึงพูดต่อ “แบบแผนต่างๆ มีความลับของเหล่าเทพเจ้าอยู่จริงๆ ขอรับ มันคือความจริง! ท่านนิก้ารู้แล้วว่าพลังพวกนั้นใช้การอย่างไร ท่านจึงสามารถควบคุมไฟกับน้ำแข็งได้ แล้วท่านก็ยังสามารถทำให้ผู้คนหลับใหลและชะลอความเร็วในการตกจากที่สูงได้ด้วย ท่านแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์และพวกนักบวชเสียอีก!”
“จริงหรือ” นาตาชาเองก็พยายามกระตุ้น
ขณะที่บทสนทนาดำเนินต่อไปด้วยดี เด็กชายก็ดูร่าเริงขึ้นมาก “จริงขอรับ! ข้าเองก็พอจะรู้อะไรบ้าง ดูนี่นะขอรับ!”
เด็กชายพึมพำถ้อยคำแปลกประหลาด สีหน้าเขาดูจริงจังไม่น้อย คลื่นเวทมนตร์ปริมาณไม่มากแผ่ออกมาและก่อเป็นรูปมือล่องหน แล้วมือนั้นก็ลอยขึ้นไปหยิบเชิงเทียนอันหนึ่งมาจากฝั่งซ้ายของโถงทางเดิน
“มันคือ ‘เวทหัตถ์นักเวท’ แบบดั้งเดิม” ลูเซียนบอกนาตาชาผ่านทางกระแสจิต
เวทบทนี้ยังไม่ถูกทำให้ง่ายขึ้น และเด็กชายก็เลียนแบบการออกเสียงในภาษาของสัตว์อสูร
“มันเจ๋งใช่ไหมขอรับ” เด็กชายชูเชิงเทียนขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ เมื่อเห็นว่าแขกทั้งสองพยักหน้าเห็นด้วย ใบหน้าเขาก็พลันเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น “ท่านนิก้ามีพลังมากกว่าข้ามากๆ! เราต่างก็ไม่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์หรือพลังจากเทพเจ้า มันมาจากการฝึกฝนอย่างหนักล้วนๆ!”
“ท่านนิก้าบอกว่ามนุษย์เราต้องพึ่งพาตนเองเพื่อให้หลุดพ้นจากการควบคุมของเหล่าพระเจ้าเทียมเท็จ คนอื่นๆ ไม่เข้าใจ แต่ข้าเข้าใจดี ท่านคือผู้รอบรู้อย่างแท้จริง ท่านยังฉลาดกว่าพวกเทพเจ้าเสียอีกขอรับ!” คำพูดของเด็กชายเต็มไปด้วยความชื่นชมบูชา
“นับเป็นผู้บุกเบิกที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง” ลูเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ความพยายามในการโน้มน้าวแขกของเด็กชายช่างน่ารักน่าชัง หลังจากได้รับแรงกระตุ้น เขาก็พูดคุยไม่หยุด เปิดเผยความลับหลายอย่างของอาจารย์และสถานที่แห่งนี้ออกมาโดยไม่รู้ตัว
ไม่นานทั้งสามก็มาถึงหน้าประตูที่ปกคลุมด้วยหนังสัตว์สีเทา ซึ่งบนนั้นมีลวดลายเวทมนตร์แสนซับซ้อนประทับไว้
มันคือหนังของตัวสโตเนอร์ ลูเซียนขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ดูเหมือนว่านิก้าจะแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้ แม้ว่าตัวสโตเนอร์จะไม่ได้อวบอ้วนเหมือนอย่างกิ้งก่าหิน มันก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสูงเพราะสามารถร่ายเวทมนตร์ระดับหก ‘เวทแข็งตัว’ ได้
เด็กชายเคาะประตูในส่วนจำเพาะก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านนิก้าพบมันในหุบเขาขอรับ แต่ลวดลายแบบแผนพวกนี้ซับซ้อนเกินไป ท่านจึงยังพยายามค้นหาความลับของมันอยู่ ท่านนิก้าใช้หนังของมันเพื่อป้องกันห้องทดลองน่ะขอรับ”
จากนั้นประตูก็เปิดออก กลิ่นโลหิตที่ลอยออกมานั้นเหม็นคาวคละคลุ้ง ทั้งห้องดูราวกับห้องจัดแสดงอวัยวะอย่างไรอย่างนั้น
ในดินแดนนี้ แก้วยังไม่ถูกประดิษฐ์คิดค้นขึ้น ดังนั้นหัวใจรูปทรงแปลกๆ ลูกตา เครื่องใน และท่อนเนื้อต่างๆ จึงวางมั่วซั่วไปทั่วห้อง หน้าต่างของห้องนี้ก็แคบมาก ทำให้ทั้งพื้นที่นั้นค่อนข้างมืด เป็นเรื่องปกติที่คนอื่นๆ จะรู้สึกกลัวเมื่ออยู่ในห้องนี้
ชายวัยกลางคนผู้มีผมสีดำยุ่งเหยิงกำลังเพ่งสมาธิไปที่การวาดอะไรสักอย่าง บนโต๊ะปฏิบัติการตรงหน้าเขามีสัตว์ประหลาดน่ากลัววางอยู่ ท่อนบนของมันคือหญิงสาวร่างเปลือย และส่วนล่างนั้นคือขาแมงมุมสีดำใหญ่ยักษ์แปดขา ร่างเปลือยท่อนบนนั้นปกคลุมด้วยลวดลายแบบแผนเป็นปริศนา และปากของมันก็ยื่นยาวออกมา
ลูเซียนพยักหน้านิดๆ มันคือนางปีศาจแมงมุม
เด็กชายรู้สึกหน้าเสียนิดๆ เมื่ออาจารย์ของเขาไม่สนใจแขกผู้มาเยือนเลย “ท่านนิก้าจะอุทิศตนเต็มที่เวลาศึกษาแบบแผนเหล่านั้นขอรับ ท่านจะไม่สนใจอะไรเลย ไม่ว่าจะกิน นอน หรือสอนข้า แต่คงใช้เวลาอีกไม่นานหรอกขอรับ
ลูเซียนและนาตาชาแลกเปลี่ยนสายตากัน เพราะทั้งสองต่างกำลังเร่งรีบ จากนั้นลูเซียนจึงหันไปมองกระดาษหนังที่อยู่ตรงหน้านิก้า
บนกระดาษนั้นคือลวดลายแบบแผนอันซับซ้อนและระบบระพิกัดคร่าวๆ คิ้วของนิก้าขมวดเข้าหากันมุ่น ดูเหมือนว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่อยู่
“(25, 78, 39)” ลูเซียนโพล่งขึ้น
นิก้าทำตามคำสั่งของลูเซียนไปโดยไม่รู้ตัวและลากปากกาขนนกของตนไปยังจุดนั้น แล้วดวงตาของเขาก็เบิกกว้างก่อนจะหันขวับกลับมา
“เจ้ารู้หรือ”
เด็กชายนิ่งอึ้งมึนงง แขกท่านนี้เพิ่งจะสอนนิก้าอย่างนั้นหรือ
“การจะวิเคราะห์ลวดลายประเภทนี้ได้ เจ้าต้องแยกมันออกมาก่อน หนึ่งในระยะพิกัดคือ…” ลูเซียนบอกระยะพิกัดอีกสองคู่
เมื่อทำตามคำสั่งของลูเซียน นิก้าก็วิเคราะห์ส่วนหนึ่งของลวดลายแบบแผนนี้เสร็จสิ้น เขาจ้องมองตัวเลขเหล่านั้นอยู่ชั่วครู่ จากนั้นสีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นระคนคลั่งไคล้ เขาจ้ำพรวดมาหาลูเซียนโดยพลัน
“เจ้าหาคำตอบเหล่านี้ได้อย่างไร” เสียงของนิก้าแหบแห้ง
ลูเซียนไม่ได้ตอบเขาไปโดยตรง
“เวลาที่เจ้าศึกษาลวดลาย เจ้าเองก็ต้องมองออกไปดูโลกภายนอก ลวดลายแบบแผนเหล่านี้เต็มไปด้วยปริศนาและความลับก็จริง แต่โลกใบนี้เล่า ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์มีขึ้นมีลง สายน้ำไหลจากตำแหน่งสูงลงมาที่ต่ำ อะไรคือความลับเบื้องหลังเรื่องเหล่านั้น เหตุใดเวลาที่เรากระโดดขึ้น เรามักจะร่วงกลับลงมาบนพื้น เหตุใดเราจึงบินขึ้นไปบนท้องฟ้ามิได้”
“แล้วอย่างไรหรือขอรับ มันคือเรื่องธรรมดานี่นา เราก็ต้องร่วงกลับลงมาอยู่แล้ว มันคือผืนดินนะ” เด็กชายเอ่ยแทรก
แต่นิก้ากลับตะลึงงัน