Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - ตอนที่ 506
บทที่ 506 วิถีใหม่แห่งการค้นหา
ควันรูปดอกเห็ดขนาดมหึมาค่อยๆ จางหายไป ทว่าผืนดินลึกลงยังคงสั่นสะเทือนราวกับการสะอื้นที่ไร้เสียง ลมแรงหอบเอาฝุ่นที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความตาย ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าใบหน้ากำลังถูกแผดเผา
ที่นี่ไม่ใช่ภูเขาแต่เป็นเทือกเขา ในตอนนี้เอง เมื่อนาตาชาซึ่งอยู่นอกเทือกเขารู้ถึงผลที่ตามมา นางก็เข้าใจพลังของ ‘เปลวไฟนิรันดร์’ “มันรุนแรงเกือบเท่า ‘แดรกคูลากรีดร้อง’ เลยทีเดียว…”
ครั้งหนึ่งนางเคยเข้าไปยังเทือกเขาแห่งความมืดและสังเกตสถานที่ที่ลูเซียนต่อสู้กับแดรกคูลา ด้วย ‘ปราสาทแห่งผู้สังเกตการณ์’ นางตกใจกับสภาพรอบตัวที่เสียหาย และวันนี้นางก็มีความรู้สึกเช่นนั้น
“มันยังมีช่องโหว่ขนาดใหญ่อยู่ เมื่อเวท ‘เปลวไฟนิรันดร์’ กลายเป็น ‘พลังงานฟิวชันอะตอม’ มันอาจจะมีพลังเท่ากับ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’” ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ลูเซียนชอบเวทมนตร์ฟิวชัน และเขารู้สึกเสียใจที่สามารถใช้เวทมนตร์นี้ได้เพียงครั้งเดียวด้วยพลังของอัลเทอร์นา การที่จะเป็นระเบิดไฮโดรเจนรูปมนุษย์ เขาจะต้องเป็นนักเวทชั้นตำนานระดับสามเสียก่อน ซึ่งพวกมหาจอมเวทมักจะไปถึงระดับนี้ อีกทั้งพลังของเวทมนตร์นั้นถูกจำกัดโดยศักยภาพผู้ใช้งานและความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกของมัน มันจะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากวันใดวันหนึ่งเขาจะทำให้โลกนี้พังพินาศ
ในตอนนั้น สภาเวทมนตร์จะต้องสาบานก่อนว่าพวกเขาจะไม่ใช้ ‘เวทพี่ใหญ่ไอวานแห่งลูเซียน’
“อุณหภูมิตรงกลาง แสงอาทิตย์จะกำราบพวกผีและปิศาจด้วย” อัลเทอร์นาพูดเสียงขรึมข้างๆ เขา
นางเปลี่ยนทรงผมใหม่ ผมยาวสีทองทิ้งตัวอยู่ด้านซ้าย เผยให้เห็นใบหน้างดงามบริสุทธิ์ เสื้อคลุมสีขาวที่นางสวมใส่นั้น ทำให้นางดูเหมือนเจ้าหญิงมากกว่านาตาชาเสียอีก
ในขณะที่ลูเซียนสงสัยยิ่งนักว่าอัลเทอร์นาเข้าใจทฤษฎีสัมพัทธภาพและสูตรมวล-พลังงานที่เขาเขียนหรือไม่ หรือนางได้สรุปเรื่องพลังงานและสถานะของเวทมนตร์จากโครงสร้างเวทมนตร์กับคำบรรยายของลูเซียน ความลับนี้มีเรื่องมนุษย์ครึ่งเทพด้วย และเขาไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรหากถามออกไปโดยไม่ไตร่ตรองก่อน ดังนั้น เขาจึงทำใจให้สงบแล้วถามด้วยรอยยิ้มขื่นๆ “ท่านอัลเทอร์นาครับ ท่านพูดไม่ใช่หรือว่าต้องการเจ็ดวันสำหรับดูดกลืน ‘เศษเสี้ยววิญญาณของสิ่งมีชีวิตลึกลับจากโลกแห่งวิญญาณ?’”
ลูเซียนพลันวิตกหลังจากถามออกไปแบบนั้น เขาเคยคิดว่าอัลเทอร์นาก็เป็นพวกคนโง่ๆ ที่ทำอะไรตามสัญชาตญาณตัวเอง ด้วยความที่พวกเขาใกล้ชิดกัน เขาจึงกล้าพอที่บ่นออกมา อย่างไรก็ตาม นางเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย และยังเป็นลูกครึ่งเทพที่มีเกียรติ นางจะโกรธที่เขาถามแบบนั้นแล้วฆ่าเขาหรือเปล่านะ?
ถ้าเขารอดตายจากหายนะทั้งปวง แต่กลับถูกฆ่าโดย ‘จันทราสีเงิน’ เพราะคำบ่น เขาคงตายอย่างโศกเศร้าเป็นแน่
นางชอบให้คนมองว่าเป็นบุรุษหรือเป็นสตรีกันนะ?
อัลเทอร์นาตอบเสียงขรึม “ข้าต้องการเจ็ดวันข้าต้องค่อยๆ กิน”
เธอพูดด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่า ‘ข้าไม่โกหกเจ้าหรอก’
ทั้งลูเซียนและนาตาชารู้สึกกระอักกระอ่วน เพราะอัลเทอร์นาไม่สามารถย่อยเศษเสี้ยววิญญาณได้ภายในหนึ่งวันหรือน้อยกว่านั้น เขาถามว่า “ทำไมท่านไม่กินให้เร็วกว่านั้นล่ะในเมื่อท่านสามารถดูดกลืนพวกมันได้เร็ว?”
ทั้งสองคนเข้าใจดีว่าอัลเทอร์นาทำไปเพราะมีจุดประสงค์คือดึงดูดตัวการที่แอบอยู่เบื้องหลัง มันเป็นแค่คำถามจากจิตใต้สำนึกอันเนื่องมาจากความกลัวและความวิตกกังวลในอดีต
อัลเทอร์นาใช้มือขวาเท้าคาง แล้วตอบนิ่งๆ “ข้าค่อยๆ กินมันเพราะรอจานหลักต่างหากล่ะ”
จานหลักงั้นหรือ? ลูเซียนเข้าใจว่าคำนั้นหมายถึงมัลติมุส เจ้าแห่งนรก อย่างไรก็ตาม พื้นที่ตรงกลางของ ‘เปลวไฟนิรันดร์’ นั้นมีอุณหภูมิที่สูงมากและมีการปลดปล่อยพลังงานอย่างรุนแรง ภาพมายาสะท้อนของเขาที่ยังไม่ถึงจุดสูงสุดของมิติก็ยังไม่เหลือรอด จะมีอะไรให้กินอีกล่ะ?
ถ้าจุดประสงค์คือทำให้มัลติมุสอ่อนแอลงเพื่อนางจะสามารถต่อสู้กับเขาในนรกได้ การสูญเสียภาพมายาสะท้อน อย่างมากที่สุดคงทำให้เกิดการบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ภายใต้การขยายตัวของนรก มัลติมุสสามารถต่อสู้กับอัลเทอร์นาที่ไม่ได้อยู่ในถิ่นของตัวเองได้
จากคำบรรยายของสภาเวทมนตร์เกี่ยวกับ ‘เจ้าแห่งนรก’ กับ ‘เจตจำนงแห่งอเวจี’ นั้น พวกเขาค่อนข้างแตกต่างจากอัลเทอร์นาตรงที่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะถูกจำกัดอยู่เฉพาะในโลกที่ตนอาศัยอยู่ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถมายังโลกจริงๆ อย่างอิสระได้ ถึงแม้พวกเขาจะมาได้ แต่พวกเขาก็จะอ่อนแอลง ข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือ ‘สงครามแห่งรุ่งอรุณ’ เมื่อมัลติมุสรวบรวมพลังและเครื่องบูชายัญได้มากพอพร้อมด้วยแผนการอันน่ากลัว และเปิดประตูนรกลงมายังโลกจริง น่าสงสารที่เขาถูก ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ ของพระสันตะปาปาซัดกลับไป
ในอีกด้านหนึ่ง ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นในขุมนรกและอเวจี ซึ่งเป็นสถานที่ที่ศาสนจักรมีอิทธิพลน้อยที่สุดนอกเหนือจากมิติรองที่ถูกควบคุมโดยองค์กรอื่น
ลูเซียนคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็เศร้าใจ ถ้าแม้แต่ผู้เก่งกล้าชั้นตำนานสองคนยังไม่สามารถทิ้งร่องรอยอะไรได้ คงไม่มีอุปกรณ์หรือวัตถุใดๆ ที่เหลือรอดจากหายนะครั้งนี้
ดูเหมือนว่าอัลเทอร์นาจะรับรู้ถึงความสับสนของลูเซียนและนาตาชา นางยังคงนิ่งขรึมเหมือนเดิมก่อนที่จะเอ่ยตอบว่า “แพะอบงั้นหรือ? เขาไม่ใช่อาหารจานหลักหรอก คุณสมบัติของเขาที่แสดงออกมาต่างหากคือเป้าหมายของข้า”
คุณสมบัติที่แสดงออกมางั้นหรือ? ลูเซียนกับนาตาชามองหน้ากันอย่างประหลาดใจ มันเป็นความเข้าใจในธรรมชาติของพระเจ้าแห่งสัจธรรมของเจ้าแห่งขุมนรกเข้าใจหรือ? หรือเป็นวิธีที่เขาใช้ทำลายข้อจำกัดของการเดินทาง โดยการบิดหมุนที่ว่างด้วยภาพมายาสะท้อนของหุบเขาวิมาน ซึ่งเป็นทักษะที่เขาพัฒนาจากอัศวินนภาระดับแปดไปเป็นวีรอัศวินระดับสาม หรือเป็นความสามารถพิเศษต่างๆ อย่างเช่น ‘เวทกีดกันชีวิต’ ที่เขาแสดงให้เห็นในระหว่างการต่อสู้กันนะ?
ทันทีที่นึกได้ นาตาชาก็ดูไม่ลังเลอีกต่อไป นางพบว่ามันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ที่เจ้าแห่งนรกสามารถทำให้ภาพมายาสะท้อนปรากฏในทางอ้อมได้ ศรัทธาของนางสั่นคลอนยิ่งนัก
ลูเซียนรู้สึกโน้มเอียงไปในความคิดแรกว่าเป็น ‘พระเจ้าแห่งสัจธรรม’ มากกว่า
อัลเทอร์นาไม่ได้พยักหน้าหรือส่ายหน้า ทว่านางพูดอย่างระมัดระวังที่สุด “อย่าเดินไปเส้นทางนั้น เพราะมันอาจเป็นเส้นทางที่ผิด”
หลังจากนั้น นางมองไปยังมือซ้ายของลูเซียน “พลังของข้าที่เหลือและ ‘เค้ก’ ได้ละลายเข้าไปในมือซ้ายของเจ้า เจ้าลองมองดูสิ”
ด้วยพลังฟื้นฟูของ ‘จันทราสีเงิน’ มือซ้ายของลูเซียนที่ถูกกรีดก็แผลหายไป เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็เพ่งความสนใจและเคลื่อนพลังจิตเพื่อตรวจบาดแผล
ก่อนที่ลูเซียนจะรู้เรื่องนี้ ลูเซียนมีภาพลวงตาที่ว่าเขากำลังมองทุกสิ่งจากมุมสูงที่คาดไม่ถึง และดูเหมือนว่าเขาจะสัมผัสความลึกลับของความตายและวิญญาณได้จริงๆ และสร้างการเชื่อมต่ออย่างรางๆ กับโลกแห่งวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังเป็นแค่ความรู้สึกเท่านั้น ลูเซียนตื่นอย่างรวดเร็ว เขาเห็นดวงจันทร์สีเงินตรงหน้าเขาลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วส่องแสงสว่างแก่มุมมุมหนึ่ง คู่กับดวงอาทิตย์ที่ขึ้นทางทิศตะวันออก
ภายใต้แสงสว่างจากจันทราสีเงิน ภาพมายาสีขาวดำแข็งกระดาษปรากฏขึ้น และดูเหมือนว่ามีปีกค้างคาวขนาดยักษ์คู่หนึ่งปรากฏขึ้นข้างใน
ทันใดนั้นเอง ทุกสิ่งก็พลันหายไปเหลือเพียงดวงอาทิตย์
“ในที่สุด ท่านไรน์ก็ถูกปลดปล่อย” ลูเซียนพูดด้วยความดีใจ ไม่ว่าบทบาทใดที่ไรน์เล่นตามแผนการของอัลเทอร์นา ไม่ว่าเขาจะถูกแกล้งหรือมีส่วนร่วมโดยตรง ความจริงที่ยังคงอยู่ก็คือเขาคือเพื่อนที่ให้ความช่วยเหลือลูเซียนเป็นอย่างดี
ขณะเหม่อมองทองฟ้าเงียบๆ จู่ๆ นาตาชาก็พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าเล่นหลายบทบาท แถมยังตบตาหลายคนอีก จะรู้ไหมว่าเจ้าจะถูกสาวสวยไร้พิษภัยตบตาโดยไม่สังเกตเลย? ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ”
ในขณะที่ ‘จันทราสีเงิน’ นั้นไม่มีเพศ เห็นได้ชัดว่านาตาชาชอบให้เขาเป็นผู้หญิง
ลูเซียนอธิบายอย่างอดยิ้มไม่ได้ “กระหม่อมแค่รู้สึกว่ามนุษย์ครึ่งเทพไม่สามารถโจมตีกระหม่อมได้โดยตรงถ้านางมีเจตนาจะทำร้าย กลอุบายทั้งหลายก็ไม่จำเป็น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมกระหม่อมถึงหลงเชื่อ”
“ไม่จำเป็นต้องอธิบายหรอก” นาตาชาพูดกระเซ้า “ตอนเจ้าปลอบข้า เจ้าไม่ได้พูดหรอกหรือว่าบรรดาสตรีที่ดูเหมือนจะเขลา นุ่มนวล น่ารัก และงดงาม มักจะมีด้านมืดซ่อนอยู่ ฮ่าๆ ทฤษฎีของเจ้าได้รับการพิสูจน์แล้ว”
ตอนนี้ลูเซียนได้แต่ยิ้ม
“เอาละ มือซ้ายของเจ้ามีความสามารถอะไร?” นาตาชาถามด้วยความสงสัย
ลูเซียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ประโยชน์ที่มากที่สุดก็คือข้าสามารถศึกษาธรรมชาติของพลังของมนุษย์ครึ่งเทพและสัมผัสได้ถึงความเข้าใจของพวกเขาที่มีต่อโลกได้เล็กน้อย การเชื่อมต่อของข้ากับ ‘โลกแห่งวิญญาณ’ นั้นแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย ในขณะเดียวกัน มือซ้ายนี้จะสามารถทำให้เวทมนตร์ พลังของเทพ ธาตุ และความสามารถต่างๆ ไม่มีผล อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมีพลังเหลืออยู่ไม่มาก มันจึงมีผลต่อความสามารถที่ไม่สูงไปกว่าระดับแปด ถ้าข้าไม่มีผลการวิจัยใหม่ๆ ในสาขานี้ มันก็จะไม่มีทางที่จะพัฒนามันได้อีกในอนาคต เนื่องจากความสามารถของมือซ้ายที่เหลืออยู่นั้น ข้าต้องค้นให้พบในระหว่างการใช้งาน
มันเหมือนกับเวท ‘กำจัดสายเลือด’ แต่ไม่สามารถจัดการกับผลกระทบตามธรรมชาติที่เกิดจากพลังพิเศษ อย่างเช่นภูเขาถล่มเพราะเวทมนตร์หรือช่องว่างลวงตาของที่ว่างจากดาบของนาตาชา
“เยี่ยมมาก เจ้าได้รับมามากทีเดียว พลังจิตของเจ้าจะต้องถึงระดับแปดแล้วใช่ไหม?” นาตาชาพูดอย่างอิจฉาตาร้อน
ลูเซียนใคร่ครวญแล้วพยักหน้า “แค่เริ่มเข้าสู่ระดับแปดเท่านั้น แต่ข้ายังไม่ได้สร้างวงเวทระดับเจ็ดเลย”
จากนั้นเขาก็ปลอบนาตาชา “เจ้าทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมากในบททดสอบแห่งชีวิตและความตายครั้งนี้ ทั้งวิถีแห่งอัศวินและความตั้งใจจริงของเจ้าได้รับการฝึกฝน และด้วยสายเลือดของเจ้า เจ้าจะเจออุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่เจ้าจะขึ้นสู่ชั้นตำนานหลังจากที่ได้เป็นอัศวินอาภา มีโอกาสเป็นไปได้ว่าเจ้าจะได้ก้าวสู่ระดับแปดเร็วๆ นี้”
“วิถีแห่งอัศวินงั้นหรือ…” จู่ๆ นาตาชาก็ถอนหายใจ “ตอนนี้ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้จะเผชิญหน้ากับ ‘พระเจ้าได้อย่างไร”
วิถีแห่งอัศวินของนางส่วนหนึ่งมาจากความศรัทธา การสูญเสียศรัทธามีแนวโน้มว่าจะทำให้ความมุ่งมั่นตั้งใจลดลงไป ถึงนางจะไม่ตายเพราะเรื่องนี้ แต่ความก้าวหน้าในอนาคตจะเป็นเรื่องยากยิ่งนัก
ลูเซียนปลอบโยนนางด้วยเสียงนุ่มนวล “ความเห็นอกเห็นใจ ความกล้าหาญ การคุ้มครอง ความยุติธรรม และจิตวิญญาณอื่นๆ แห่งวิถีอัศวิน ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความสุขจากหุบเขาวิมานหรอกหรือ? ในใจของเจ้าไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้ที่อ่อนแอ การคุ้มครองครอบครัว มิตรสหายและบริวารของเจ้า ความหวังสำหรับระเบียบและคุณธรรม ความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับศัตรู และปณิธานในทรรศนะและความรุ่งโรจน์ของพระองค์หรือ?”
“นาตาซา คุณธรรมและจิตวิญญาณมาจากหัวใจของเรา ‘พระเจ้าที่แท้จริงไม่ได้อยู่ข้างนอก ไม่ได้อยู่บนหุบเขาวิมาน แต่อยู่ในหัวใจของเจ้า พวกเราทุกคนมี ‘พระเจ้า’ ของตนเองในหัวใจ พระองค์จะไม่ไปไหนเว้นเสียแต่ว่าเราล้มเลิกความตั้งใจ”
นาตาชายิ้มกลบความเศร้าแล้วเอ่ยอย่างร่าเริง “ลูเซียน เจ้าเหมาะสมมากที่จะเป็นนักบวช ข้าต้องการเวลาทบทวนความคิดตัวเอง เอาละ ไปกันเถอะ ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ ของเจ้าเสียงดังเกินไป บางทีท่านวารันไทน์กำลังมา”
“ข้าจะพักอยู่ที่เทือกเขาทางตอนเหนือ และรอให้อาจารย์ของข้ากับท่านแฮททาเวย์มา หากพิจารณาความพิเศษของโชคชะตาของข้า วารันไทน์คงจะหาตัวข้ายาก” ถึงแม้ลูเซียนจะไม่อยากบอกลา แต่เขาก็เค้นคำพูดออกมา “เจ้าต้องรีบออกไปจากที่นี่และกลับมาก่อนที่ศาสนจักรจะรู้เรื่องนี้”
“ตกลง” นาตาชาไม่ลังเล
จากนั้น ก็มีเสียงแผดขึ้นไกลออกไป “ลูเซียน อีวานส์”
ดูเหมือนว่าเสียงนั้นมาจากที่ไกลๆ สักแห่ง ลูเซียนอดยิ้มไม่ได้ “อาจารย์ของข้าเสียงดังจริงๆ…”
ในโลกนี้ การส่งผ่านคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้นถูกจำกัด แต่คลื่นเสียงไม่โดนผลกระทบอะไร ดังนั้น ‘เจ้าแห่งวายุ’ จึงตัดสินใจค้นหาตัวลูเซียนด้วย ‘เสียงคำรามของเจ้าแห่งวายุ’ ซึ่งเป็นเวทมนตร์ระดับเก้า และเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุด
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังคงเป็นเรื่องน่าทึ่งที่เสียงเดินทางมาได้ไกลเช่นนี้ ลูเซียนบอกได้แค่ว่าอาจารย์ของเขาไม่กลัวว่าศาสนจักรจะเจอตัวเลย
“ข้าจะรอเจอท่านยายแฮททาเวย์ด้วย” ดวงตาของนาตาชาเป็นประกาย