Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 581 ลูเซียนผู้ทะเยอทะยาน
- Home
- Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา
- บทที่ 581 ลูเซียนผู้ทะเยอทะยาน
บทที่ 581 ลูเซียนผู้ทะเยอทะยาน
ดักลาสมองไปทางลูเซียนยามเอ่ยถาม แน่นอนว่าความคิดเห็นของลูเซียนเกี่ยวกับการเฉลิมฉลองประเภทนี้นั้นถือเป็นสำคัญ
“งานฉลองของจอมเวทท่านอื่นๆ ก่อนหน้านี้ต่างจัดขึ้นพร้อมกับการฉลองให้แก่การเลื่อนขั้นขึ้นสู่ชั้นตำนาน การจัดงานสองครั้งอาจยุ่งยากเกินไปและสิ้นเปลืองเวลาเกินไปนะขอรับ อีกอย่าง ข้ารู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมที่ข้าจะจัดงานฉลองทั้งๆ ที่ข้ายังมิใช่นักเวทชั้นตำนาน ดังนั้น ไว้เราค่อยจัดงานฉลองหลังจากที่ข้าเลื่อนขึ้นเป็นชั้นตำนานแล้วดีกว่าขอรับ” ลูเซียนออกความเห็น
แม้ว่าการแสดงความยินดีในงานเฉลิมฉลองนั้นจะเป็นประสบการณ์น่ายินดีสำหรับคนส่วนใหญ่ และเหล่าจอมเวทในอดีตเองก็มิใช่ข้อยกเว้น แต่การจัดงานฉลองซ้ำๆ ด้วยเหตุผลเดียวกันอาจทำให้ความปิติยินดีกลายเป็นเฉยชาและทรมานในท้ายที่สุด
นอกจากนี้ ในระหว่างการฉลอง ทั้งราชวงศ์เอลฟ์ สภาผู้เฒ่าของชาวดรูอิดและสหายทั้งหลายจากสภามืดย่อมส่งผู้มีพลังระดับตำนานของพวกตนมาร่วมงาน เมื่อใดที่เขาได้เข้าใกล้บุคคลเหล่านั้น เขาคงถูกเปิดเผยอย่างง่ายดายว่าแท้จริงแล้วเขาเลื่อนขึ้นสู่ชั้นตำนานแล้ว จากนั้น เหล่าศัตรูก็จะหลบเลี่ยงจากการได้รับข้อมูลผิดพลาดและเตรียมตัวรับมือกับลูเซียนได้ดีกว่าเดิม
เฟอร์นันโดเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และพยักหน้า “ข้าเห็นด้วยกับลูเซียน แม้ว่ามหาจอมเวทจะเป็นตำแหน่งที่สูงส่งและน่าชื่นชมที่สุดในสภา แต่การมีพลังระดับตำนานก็ยังเป็นเพียงสิ่งเดียวที่หมายถึงการพัฒนาขั้นพื้นฐานของชีวิต มันสื่อเป็นนัยๆ ว่าทุกชนชั้นให้การยอมรับ”
เมื่อตอนนี้ตัวลูเซียนกับอาจารย์ของเขาพูดเหมือนกัน สมาชิกสภาสูงสุดคนอื่นๆ จึงไม่สืบสาวความต่อ
ดักลาสพยักหน้าเห็นด้วย “ข้ากังวลมาตลอดว่าลูเซียนอาจกลายเป็นคนยโสโอหังเพราะความสำเร็จครั้งใหญ่ระหว่างเกิดเหตุการณ์ ‘ราตรีแห่งปาฏิหาริย์’ ข้าดีใจที่เห็นว่าเขายังถ่อมตน ระวังตัว และมีเหตุผลเหมือนแต่ก่อน และยังเข้าใจถึงความสำคัญของพลังในตัวอีกด้วย”
ลูเซียนเกร็งกลามเนื้อบนใบหน้าเพื่อป้องกันมิให้ตัวเองหัวเราะออกมา ท่านประธานเก่งเรื่องการแสดงไม่น้อยทีเดียว!”
“แต่ ข้อเท็จจริงที่ว่าลูเซียนกลายเป็นมหาจอมเวทควรจะประกาศออกไป มิเช่นนั้น จอมเวทคนอื่นๆ ในสภาอาจเข้าใจผิดว่าเราไม่ยินดีต้อนรับคนหนุ่มที่กำลังเติบโตก็เป็นได้” ดักลาสพูดต่อไป “ข้าขอเสนอให้ ‘ความจริงของโลก’ และ ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ ประกาศข่าวสารนี้ในรายการเพื่อให้จอมเวท ชนชั้นสูง และสามัญชนได้ทราบเป็นจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“แล้ววิธีการแบบเดิมเล่า เราควรจะนำมาปรับใช้ด้วยหรือไม่เจ้าคะ” เบื้องหน้าเฮลเลนคือหนังสือเล่มหนาที่เห็นได้ชัดว่าเป็นหนึ่งในรายการหนังสือควรอ่านที่ลูเซียนมอบให้นาง เฮลเลนกำลังอ่านมันอย่างจดจ่อเสียจนให้ความสนใจการประชุมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นี่คือพฤติกรรมปกติยามที่นางเข้าประชุม ไม่มีสมาชิกสภาสูงสุดคนใดรู้สึกแปลกกับเรื่องนี้ เพราะนอกเหนือจากหัวข้อสำคัญและการอภิปรายที่เกี่ยวข้องกับตัวนางแล้ว มีเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่จะดึงนางออกจากโลกแห่งอาร์คานาและเวทมนตร์มาได้ แต่ในเมื่อยามนี้นางจะต้องอารักขาและดูแลกิจการภายในสภาเวทมนตร์ต่อไปอีกห้าปี นางจะต้องเป็นผู้สั่งการคณะกรรมการกิจการในเรื่องที่เกี่ยวข้อง นางจึงต้องถามออกไป
วิธีการแบบเดิมของสภาเวทมนตร์คือการส่งข้อมูลไปยังสาขาท้องถิ่นและบอกให้พวกเขากระจายข่าวไปยังเหล่านักเวทและนักเวทฝึกหัดภายใต้ขอบเขตการดูแลของพวกเขา และหน้าปกของวารสารทุกหัวก็จะเพิ่มข้อความหนึ่งบรรทัดเพื่อประกาศว่าใครคือผู้ได้รับตำแหน่งมหาจอมเวทและด้วยเหตุผลใดโดยจะตีพิมพ์ติดต่อกันสามฉบับ
ดักลาสตอบอย่างหนักแน่น “เมื่อครู่นี้คือข้อเสนอพิเศษของข้า เราจะใช้วิธีการแบบเดิมไปด้วยกัน”
“นักเวทส่วนหนึ่งมิได้มีนิสัยชอบฟังรายการวิทยุ วารสารอาจจะใช้เวลาสักพักกว่าจะตีพิมพ์และกระจายออกไป ดังนั้นข้าขอเสนอว่าเราควรส่งจดหมายไปตามหอคอยเวทมนตร์ของนักเวทระดับสูงทุกคนเพื่อบอกพวกเขาว่าอีวานส์ได้เป็นมหาจอมเวทแล้ว” ‘ศาสดาพยากรณ์’ เบิร์กเนอร์ เอ่ยขึ้น เขายังคงสวมหมวกทรงแหลมสีเทาตามแบบฉบับขององค์กรหอคอย
สภาเวทมนตร์มิได้มีนักเวทระดับสูงเป็นสมาชิกมากมายนัก ตามที่ลูเซียนเข้าใจแล้ว ทั้งหมดมีเพียงประมาณห้าร้อยคนเท่านั้น มันคงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรหากจะส่งจดหมายหาทุกๆ คน ดังนั้นจึงไม่มีสมาชิกสภาสูงสุดคนใดคัดค้านข้อเสนอของศาสดาพยากรณ์
ดักลาสประกาศหลังจากยิ้มกว้าง “หัวข้อแรกจบลงแล้ว บัดนี้ข้าขอแต่งตั้งลูเซียนเป็นมหาจอมเวทในนามของสภาเวทมนตร์”
ขณะเอ่ย เขาก็หยิบเหรียญตราออกมายื่นให้ลูเซียน หน้าตามันค่อนข้างคล้ายกับเหรียญอาร์คานา เว้นแต่ว่าความมืดนั้นลึกล้ำยิ่งกว่า และพื้นหลังก็เป็นดวงดาวที่ทอประกายวิบวับ ทำให้มันดูเหมือนกับท้องฟ้ากว้างใหญ่อย่างแท้จริง
มันคือเหรียญตราพิเศษ ตัวแทนของมหาจอมเวท และมีการยินยอมจากสภาสูงสุดประทับไว้ แม้ว่ามันจะมีผลของ ‘เวทเคลื่อนไหวเสรี’ เพียงอย่างเดียว แต่มันก็สามารถรวบรวมพลังจากหอคอยเวทมนตร์ทั่วทั้งอัลลินมาใช้ได้
หลังจากที่ลูเซียนติดเหรียญตราบนอก เสียงปรบมือก็ดังก้องขึ้นอีกครา มันคือสิ่งบ่งชี้ว่าเขาได้กลายเป็นมหาจอมเวทและสมาชิกสภาสูงสุดอย่างเป็นทางการแล้ว
“หัวข้อที่สองคือ เราจะต้องทำอย่างไรเพื่อควบคุมอาณาจักรทั้งสี่ทางฝั่งนี้ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดรากฐานความศรัทธาของศาสนจักรอย่างไรดี” ดักลาสหยุดยิ้ม “เจ้าคงจะได้เห็นพลังพระเจ้าเสด็จทั้งสองครั้งของเบเนดิกต์ที่สองกันแล้ว มันเป็นเรื่องยากที่ต้องบอกว่า แม้พลังแห่งความศรัทธาจะมิใช่เหตุผลที่ทำให้มันมีพลังทำลายล้างถึงเพียงนั้น แต่การสวดภาวนาจากผู้ศรัทธาและนักบวชก็เป็นชนวนที่ทำให้มันเกิดขึ้น หากความศรัทธาของสาธารณะชนลดลง ก็เป็นไปได้ว่าการใช้พลังพระเจ้าเสด็จหรือพลังศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ อาจจะยากขึ้นก็เป็นได้”
“ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องที่เราควรจัดการ พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไรกันบ้าง”
แกรนท์ ‘แสงแห่งดวงดาว’ ตอบอย่างตรงไปตรงมา “เราสามารถโจมตีความศรัทธาในพระเจ้าแห่งสัจธรรมด้วยวิธีการเดียวกับที่ศาสนจักรใช้ไล่ล่านักเวทเมื่อครั้งอดีต”
เขาคือชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา ดวงตาของเขาเปล่งประกายดูบริสุทธิ์ดั่งดวงดาว ซึ่งทำให้เขาดูทรงเสน่ห์อย่างล้นเหลือ
“เราทำแบบนั้นไม่ได้” เอริก้า ‘ปรมาจารย์แห่งการแปลงกาย’ เอ่ยค้าน “พวกนักบวชในอาณาจักรทั้งสี่และแถบชายฝั่งทางตอนเหนือกำลังก่อตั้งนิกายที่เป็นกลาง อีกอย่าง การควบคุมดูแลของเราก็ไร้จุดอ่อน การบุ่มบ่ามกระทำการใดมีแต่จะส่งผลให้เกิดความวุ่นวายและมอบโอกาสให้แก่ศัตรูฝ่ายอื่นๆ เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าศาสนจักรฝ่ายเหนือไม่มายุ่งเกี่ยวกับเราเลยนับแต่ที่เราควบคุมบริเวณนี้”
จากการปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในอาณาจักรคาเลส์มาหลายปี เนตรแห่งคำสาปและตัวนางจึงได้คลุกคลีกับขุนนางท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง ทั้งสองจึงเป็นสมาชิกสภาเวทมนตร์ที่สนับสนุนขุนนาง
เนตรแห่งคำสาปกล่าวต่อ “หากเราโจมตีผู้ศรัทธาที่เป็นกลาง เราก็จะไม่มีทางชักนำเหล่านักบวชและขุนนางได้อีกในอนาคต เราต้องบรรลุเป้าหมายของเราด้วยวิถีทางที่เป็นมิตรกว่านี้”
“ข้าเห็นด้วยกับเอริก้าและแอตแลนต์” บรูคเอ่ยด้วยท่าทีเคร่งขรึมขณะประสานนิ้วมือเข้าด้วยกัน “ข้าเชื่อว่าทุกท่านคงสังเกตเห็นแล้ว่า เพราะ ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ ความศรัทธาของสามัญชนได้ลดลงมากตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเห็นได้จากการเข้าโบสถ์ไปสวดภาวนาที่น้อยลงและบทสนทนาทั่วไปในชีวิตประจำวันของพวกเขา ดังนั้น ข้าจึงเชื่อว่าการสนับสนุนวิทยุเวทมนตร์และการเพิ่มความน่าสนใจให้กับรายการทั้งหลายคือวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด”
นครเรนทาโตมีนักเวทและผู้ฝึกใช้เวทมนตร์จำนวนมากมาย ทำให้สภาเวทมนตร์ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงภายในกลุ่มสามัญชนได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินความคิดเห็นของบรูค โฮลต์กับสมาชิกสภาสูงสุดคนอื่นๆ ก็มองไปทางลูเซียน เขาคือคนผู้หนึ่งที่ประดิษฐ์คิดค้นการกระจายเสียงและเป็นผู้จัดตั้งรายการต่างๆ เขาจึงเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางด้านการออกอากาศรายการวิทยุ
ลูเซียนไม่ได้ผงะตกใจ กลับเอ่ยขึ้นหลงจากหมุนปากกาขนนกในมือ “เรามีสองช่องในตอนนี้ถือว่าเหมาะสมมากแล้วขอรับ เมื่อรวมกับอีกสองช่องที่ตระกูลฮอฟเฟนเบิร์กกับอาณาจักรโฮล์มจะจัดตั้งขึ้น เราจึงไม่จำเป็นต้องมีรายการใหม่อันใด สำหรับสามัญชนแล้ว พวกเขายุ่งอยู่กับชีวิตในระหว่างวันและไม่มีเวลาฟังวิทยุนอกจากช่วงค่ำคืน หากว่าเรามีหลายช่องจนเกินไปในเวลาเดียวกันนั้น พวกเขาก็อาจหมดความสนใจจาก ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ ได้ขอรับ
“สิ่งสำคัญที่สุดที่เราควรทำก็คือลดต้นทุนของวิทยุเวทมนตร์และโฆษณาให้ทุกครอบครัวมีไว้ในครอบครองขอรับ”
“เช่นนั้น เราก็ควรจะสั่งห้ามไม่ให้มีสถานีวิทยุส่วนตัวน่ะสิ” ปราชญ์แห่งจันทรากล่าวเสริม
เคลาส์กับปรมาจารย์แห่งรสายนเวทเองก็แสดงความเห็นอย่างผู้มีประสบการณ์ “เราเพิ่งจะได้ช่างฝีมือคนแคระมาเพิ่มอีกหนึ่งกลุ่ม แต่เท่านี้ยังไม่เพียงพอ การฝึกคนงานของเราเองคงจะยิ่งใช้เวลานานกว่า ดังนั้น ในอนาคตอันใกล้นี้ ถึงแม้ว่าต้นทุนของวิทยุเวทมนตร์จะต่ำลง แต่มันก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในการทำให้เป็นที่นิยม”
“แต่หากว่ามีผลิตภัณฑ์ทางเครื่องจักรกลมากกว่านี้ที่เราสามารถใช้แทนวงแหวนเวทบางส่วนได้ เราก็อาจทำได้นะ”
“นาตาซา เจมส์ และข้าได้วางแผนเรื่องการสร้างกระแสนิยมไว้แล้วขอรับ” ลูเซียนนำเสนอข้ออภิปรายเมื่อปีก่อนของพวกเขา และท้ายที่สุดเขาก็กล่าวว่า “นอกเหนือจากนั้น ข้ายังมีความคิดอื่นอีกด้วยขอรับ”
“พูดมาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ เจ้ามักจะมีสิ่งใหม่ๆ ที่ทำให้เราทึ่งอยู่เสมอ” ดักลาสยิ้มกริ่มและกระตุ้นให้ลูเซียนพูดต่อ สมาชิกสภาสูงสุดคนอื่นๆ จึงไม่คิดคัดค้าน
ลูเซียนกระแอมไอก่อนจะพูดว่า “วิทยุเวทมนตร์ไม่สามารถกลายเป็นกระแสนิยมได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะราคาและส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนทั่วไปมีรายได้น้อยเกินกว่าจะมีเงินพอซื้อหาวิทยุ ด้วยตรรกะเดียวกันนี้ สังคมที่ยึดพื้นฐานเช่นนี้ทำให้มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เพิ่มขึ้น แม้ว่าชนชั้นสูงจะร่ำรวย แต่พวกเขาก็มีอยู่น้อยเกินไป”
“เราควรจะร่วมมือกับอาณาจักรโฮล์ม บริแอนน์ และประเทศอื่นๆ แล้ววางแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจห้าปีด้วยการสร้างโรงงานแปรธาตุ จากการลงทุนและสิ่งประดิษฐ์ของเรา งานที่มีรายได้ดีก็จะเพิ่มขึ้น คนทั่วไปก็จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้น และความมั่งคั่งโดยรวมของสังคมก็จะเติบโตขึ้นด้วยขอรับ”
“ลูเซียน เจ้านี่เหมาะจะเป็นนายกรัฐมนตรีของอาณาจักรเสียจริง ความคิดของเจ้าเกี่ยวกับความมั่งคั่งโดยรวมของสังคมนั้นไม่แย่เลย” เคลาส์เอ่ยกึ่งล้อเลียน “ปัญหาก็คือสามัญชนส่วนใหญ่ไม่มีความสามารถพอจะทำงานในโรงงานแปรธาตุน่ะสิ”
โรงงานแปรธาตุในสังคมผู้ใช้เวทมนตร์นั้นมีอุปสงค์สูงกว่าโรงงานในยุคอุตสาหกรรม เพราะสามัญชนในยุคอุตสาหกรรมนั้นพอจะมีการศึกษาบ้างแล้ว
ลูเซียนแย้มยิ้ม “เหตุใดพวกเขาจึงไร้ความสามารถล่ะขอรับ ก็เพราะพวกเขาขาดความรู้และทักษะจำเป็น ซึ่งสามารถทดแทนได้ด้วยการศึกษาอย่างไรล่ะขอรับ ข้าเชื่อว่าการศึกษาในอาณาจักรต่างๆ ที่อาจารย์จะสอนแต่ละบุคคลแบบเป็นการส่วนตัวนั้นล้าสมัยเกินไป เราควรจะสนับสนุนโรงเรียนสอนเวทมนตร์ทั้งหลายและให้ผู้คนพัฒนาตัวเองด้วยการเรียนรู้ อีกอย่าง ทันทีที่พวกเขารู้อะไรๆ มากขึ้นและขยายขอบเขตของความรู้ออกไป พวกเขาก็จะมีความศรัทธาลดลงอย่างแน่นอน”
การเปลี่ยนแปลงสังคมและเปลี่ยนโชคชะตาของสามัญชนเดินดิน! นี่คือสิ่งที่ลูเซียนพยายามจะทำมาตั้งแต่แรก
“ใช่ ยิ่งผู้คนมีความรู้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งลดความศรัทธาอันแรงกล้าลง” เฟอร์นันโดพนักหน้าเล็กน้อยขณะกล่าว “แต่ก่อนเราไม่อาจสนับสนุนสำนักต่างๆ ได้ก็เพราะอาณาบริเวณนี้หาได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเรา แต่ตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว”
ลูเซียนพูดต่อ “ข้าขอแนะว่าให้แต่ละสำนักแบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทที่หนึ่งจะเป็นหลักสูตรห้าปี โดยจะมีการสอนภาษาและตรรกะทั่วไปในอาร์คานาศาสตร์ เวทมนตร์ ชีววิทยา ศาสนา ประวัติศาสตร์ และกฎหมาย ข้าเรียกมันว่าหลักสูตรสามัญ สภาเวทมนตร์กับอาณาจักรต่างๆ จะช่วยออกค่าใช้จ่ายบางส่วน และสามัญชนก็จะออกค่าใช้จ่ายที่เหลือ เมื่อความสามารถขั้นพื้นฐานของพวกเขาพัฒนาขึ้น เราก็ยังสามารถคัดเลือกคนที่มีพรสวรรค์ด้านอาร์คานาอย่างมากมาจากแต่ละสำนักได้อีกด้วย ซึ่งจะเป็นเรื่องง่ายกว่าแต่ก่อนมาก”
“ประเภทที่สองคือหลักสูตรที่มุ่งเน้นวิชาชีพ ออกแบบมาเพื่อผลิตผู้มีพรสวรรค์เข้ามาทำงานในโรงงานแปรธาตุหลักๆ โรงงานแปรธาตุจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย สภาจะเป็นผู้หาอาจารย์สอน และอาณาจักรจะยกเว้นภาษีให้กับพวกเขา สามัญชนจะลงนามสัญญาเป็นลูกมือฝึกหัดก่อนจะเข้าไปเรียนและจะต้องไปทำงานในโรงงานแปรธาตุที่เกี่ยวข้องหลังจากจบการศึกษา ข้าตั้งชื่อสำนักประเภทนี้ว่า ‘หลานเซียง’”
……………………………….