Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 667 ยุคทอง (จบเล่มที่ 7)
- Home
- Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา
- บทที่ 667 ยุคทอง (จบเล่มที่ 7)
ภายในจักรวาลอะตอม…
หลังจากที่นาตาชาผล็อยหลับไป ลูเซียนก็ลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะทำงาน เขาหยิบกระดาษปึกหนาออกมาจากกระเป๋าเวทมนตร์ ก่อนจะพลิกไปที่หน้าหนึ่ง ขณะครุ่นคิดพิจารณา เขาก็ลากเส้นจากใต้คำว่า ‘การตระหนักรู้ตนเอง’ ลงไปเจ็ดเส้น ซึ่งมันไปเชื่อมโยงกับคำว่า ‘ความโลภ’ ‘ความยโส’ ‘ความเจ็บปวด’ และห้วงอารมณ์อื่นๆ ที่เป็นตัวแทนของปีศาจแห่งบรรพกาลทั้งเจ็ด
จากนั้น เขาก็เขียนเครื่องหมายคำถามข้างหลังคำทั้งเจ็ด แล้วเขียนเพิ่มไปว่า ‘การแปรสภาวะควอนตัมของดวงจิตต้องใช้การซ้อนทับของความน่าจะเป็นเพิ่มขึ้น? การซ้อนทับของความรู้สึกอื่นๆ กับการตระหนักรู้ตนเองล่ะ?’
‘ในทางตรงกันข้าม ศรัทธาบริสุทธิ์ที่รวบรวมไว้กับการตระหนักรู้ถึงตนเองจะทดแทนการตระหนักรู้ถึงตนเองของคนคนหนึ่ง นั่นจึงขัดขวางการพังทลายจากสภาวะซ้อนทับของควอนตัม? แต่ว่า ผลสุดท้ายแล้ว การตระหนักรู้ถึงตนเองของคนคนนั้นจะได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ อีก?’
‘จะแก้ปัญหานี้อย่างไรดี?’
ลูเซียนยกมุมปากขึ้นขณะที่เขาเขียนไปเรื่อยๆ นิ้วมือข้างหนึ่งของเขาเคาะไปบนกระดาษ ราวกับว่าเขากำลังอนุมานและคาดการณ์ถึงอะไรบางอย่าง
จากนั้นลูเซียนก็ส่ายสะบัดมือด้วยใบหน้ากึ่งยิ้มแย้ม ก่อนจะเก็บปึกกระดาษไป แล้วหยิบกระดาษเปล่ามาแผ่นหนึ่ง จากนั้นจึงเขียนลงไปว่า
‘สมการคลื่นสัมพัทธ์ของอิเล็กตรอนเดี่ยว’
นาตาชากำลังหลับใหลด้วยความเหนื่อยอ่อนและต้องการฟื้นคืนกำลัง แต่แล้วจู่ๆ นางก็สัมผัสได้ถึงขุมพลังน่าคร้ามเกรงแห่งการทำลายล้าง นางลืมตาโพลงด้วยความหวาดระแวง เพียงเพื่อจะพบว่าสนามแม่เหล็กไฟฟ้ารอบกายลูเซียนที่ยังอยู่ในชุดนอนนั้นกำลังบิดเบี้ยวไป เส้นสเปกตรัมแสนงดงามชวนฝันปรากฏขึ้นราวกับภาพวาด และพลังอันรุนแรงท่วมท้นที่สุดก็โรยตัวลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบนอันไร้ขอบเขต!
สีสันบริเวณใกล้ๆ นั้นกึ่งหนึ่งเป็นสีดำ และอีกครึ่งเป็นสีขาว เมื่อทั้งสองสีเข้าปะทะกัน พวกมันก็ถูกทำลายลงจนเหลือเพียงสภาวะที่เหนือจินตนาการ ก่อนที่พวกมันจะถือกำเนิดขึ้นจากความว่างเปล่าอีกครั้ง
“การตอบสนองของโลกความเป็นจริง…” ขณะเฝ้ามองภาพขาวดำที่เปลี่ยนแปลงไปมาไม่จบสิ้น กับการตอบสนองของโลก นางก็พลันตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่ในตอนนี้ และนางก็สัมผัสได้ลางๆ ว่ามันคือวัฏจักรของการถือกำเนิดและการทำลายล้างของสสาร
ด้วยประสบการณ์จากการที่นางพยายามจะเลื่อนขั้นขึ้นเป็นอัศวินชั้นตำนาน และปัญหาที่เกิดกับพลังโลหิตดาบแห่งสัจธรรมที่มีแต่พลังทำลายล้างทั้งหมดก็ได้รับคำตอบในชั่วเวลานั้นเอง
นางหยิบชุดนอนขึ้นมาสวมแล้วเดินไปยืนข้างๆ ลูเซียนอย่างเงียบงัน เพื่อเฝ้ามองเขาเขียนรายงานให้เสร็จ
‘…ข้าเคยพยายามหลีกเลี่ยงผลพลังงานเชิงลบที่เดียป แลร์รี และจูรีเซียนได้สรุปไว้ แต่ว่า หลังจากสร้างสมการและอธิบายการทดลองในปัจจุบันทั้งหมดในเชิงทฤษฎี ข้าก็ได้ตระหนักว่าพลังงานเชิงลบคือสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ด้วยความคิดนั้น ไม่ว่ามันจะไร้เหตุผลสักเพียงใด เราก็ทำได้เพียงรวมมันเข้ามาในทฤษฎีอาร์คานาของเราและสร้างระบบใหม่ที่เข้ากับมันได้ จากนี้ไป ข้าขอทำนายว่ามันมีแอนติอิเล็กตรอนที่มีประจุไฟฟ้าเป็นบวก เมื่อมันเผชิญหน้ากับอิเล็กตรอน พวกมันจะเข้าทำลายกันและกันในทันที ส่งผลให้เกิดพลังงานที่น่าตกตะลึง…’
‘หากเราคิดให้กว้างกว่านั้น มันอาจจะมีปฏิยานุภาคตัวอื่นอีก และสสารที่สร้างขึ้นจากปฏิยานุภาคเหล่านั้นก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นปฏิสสาร…’
ขณะที่เขียนอยู่นั้น ลูเซียนก็นึกถึงกรอบความคิดบางประการในทฤษฎีสนามแรงควอนตัมที่เขาเคยพิสูจน์ยืนยันเมื่อก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุนี้ สุญญากาศจึงแผ่ออกมาเป็นระลอกๆ และจากจุดนั้นก็บังเกิดอิเล็กตรอนประจุลบและบวกขึ้นมา ก่อนที่พวกมันจะหักล้างกันเองและปลดปล่อยพลังงานออกมา
ภายในโลกแห่งปัญญาของเขา จักรวาลที่เป็นฉากหลังกลับกลายเป็นม่านหมอกลางเลือน ราวกับว่าสสารกำลังสร้างและทำลายล้างอยู่ตลอดเวลา ท้องนภาที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันไร้ขอบเขตเคลื่อนตัวมาจากที่ไกลๆ อีกครั้ง นำการตอบสนองของโลกความเป็นจริงที่น่าตื่นตะลึงเข้ามา ยังผลให้วัตถุต่างๆ ภายในโลกแห่งปัญญาถูกเปลี่ยนแปลงไป และเวทมนตร์ชั้นตำนานบทใหม่ที่โครงสร้างยังไม่สมบูรณ์ก็ถูกสร้างขึ้น!
นอกจากนี้ ‘เปลวไฟนิรันดร์’ ในโลกแห่งปัญญาของลูเซียนก็สลักลงไปในดวงจิตของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้เขาก้าวขึ้นสู่ชั้นตำนานระดับสามได้โดยตรง แม้ว่าเขาจะมีเวทมนตร์ชั้นตำนานอยู่เพียงสิบบทก็ตาม
‘เวทปืนใหญ่โพซิตรอน’ ลูเซียนเขียนรายงานมาถึงตัวอักษรสุดท้ายแล้วหลับตาลง สัมผัสรับรู้ถึงเวทมนตร์ชั้นตำนานบทใหม่ที่ไม่สมบูรณ์ เขารู้ดีว่าเขาต้องหา ‘แอนติอิเล็กตรอน’ ในโลกแห่งความเป็นจริงให้เจอเพื่อทำให้มันสมบูรณ์
‘การจะเลื่อนขั้นด้วยการฝึกฝนและเข้าใจเพียงพลังโลหิตแต่ไม่เข้าใจอะไรในปริศนาลี้ลับของโลกใบนี้ช่างยากเสียจริง…’ นาตาชาทอดถอนใจด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมอัศวินชั้นตำนานระดับสูงๆ จึงมีน้อยกว่านักเวทในระดับเดียวกัน แต่ด้วยความที่นางเป็นคนมองโลกในแง่ดี ไม่นานนางก็ปลอบใจตนเองและประกาศกร้าวด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว “ข้ายังนับว่าไม่แย่เกินไปนัก แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจทฤษฎีอาร์คานาในบางเรื่อง แต่ข้าว่าข้ายังเป็นอัศวินชั้นตำนานได้ด้วยการตีความและภาพแสดงของเจ้า…”
ลูเซียนส่งยิ้มให้นาง “ทุกชั้นพลังจะมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันเมื่อพวกเขาเลื่อนขึ้นสู่ระดับสูงสุด นั่นก็คือการทำความเข้าใจปริศนาลี้ลับของโลกใบนี้ แต่ว่า เหล่าจอมเวทมีวิธีการสำรวจปริศนาของโลกที่ดีเยี่ยมและมีประสิทธิภาพที่สุด”
ถนนทุกสายต่างทอดยาวไปสู่จุดหมายเดียวกัน
…
หลังจากจบชั้นเรียนแบบเปิดของลูเซียน ทั้งสภาเวทมนตร์ก็ตกอยู่ในสภาวะ ‘เงียบงัน’ อันแปลกประหลาด ทุกคนต่างถกเถียงกันเรื่องการทดลองช่องเปิดคู่กับอิเล็กตรอน แมวของโอลิเวอร์ ความพัวพันซับซ้อนในอนุภาคของดักลาส การทดลองรอตัวเลือกของลูเซียน ฯลฯ แต่กลับมิมีผู้ใดถกกันเรื่องอิทธิพลของจิตสำนึก ความรอบคอบ และผู้สังเกตการณ์ที่มีสติปัญญาบนโลกจุลภาคเลย พวกเขาหลบเลี่ยงคำอธิบายที่น่าหวาดหวั่นไปตามสัญชาตญาณ
ทว่า เพียงเพราะพวกเขาหลบเลี่ยงมัน ก็มิได้หมายความว่าจอมเวทและมหาจอมเวทผู้เก่งกาจจะทำเช่นนั้น งานเขียนมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ถูกส่งไปให้คณะตรวจสอบอาร์คานาพิจารณา
แลร์รีนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่ในห้องสมุดอันมืดทึบ ราวกับว่าเขามิเคยได้ขยับเขยื้อมานับร้อยๆ ปีแล้ว ทฤษฎีแมวของโอลิเวอร์ทำให้เขารู้สึกแตกตื่น และทฤษฎีผู้สังเกตการณ์ของลูเซียนก็ยิ่งทำให้เขาหวาดกลัวจนยากจะสงบจิตใจเพื่อทำการวิจัยของตนเองหรือออกไปทำภารกิจ ในหัวของเขามีคำถามเกี่ยวกับเรื่องนั้นวนเวียนอยู่เต็มไปหมด
ทันใดนั้น เขาก็ถอนหายใจแล้วหยิบกระดาษปึกหนาตรงหน้าที่เขาต้องพิจารณามาอ่าน
“‘อะไรคือจิตสำนึกกันแน่’…โดยท่านวิเซนเต..”
“‘ขอบเขตระหว่างวิญญาณและกายเนื้อ’…โดยท่านประธาน…”
“‘ความแตกต่างระหว่างดวงจิตกับจิตสำนึก: ปัญหาของผลกระทบจากผู้สังเกต’…โดยท่านเฟอร์นันโด…
“‘สิ่งใดคือการสังเกตการณ์’…โดยท่านแฮทธาเวย์…”
เมื่ออ่านรายงานเหล่านั้น แลร์รีก็รู้สึกว่าศีรษะของเขาบวมเป่งและว้าวุ่นอย่างผิดปกติ หลังจากที่อีวานส์เสนอให้ใช้จิตสำนึกกับโลกจุลภาค ขอบเขตของธาตุที่แสนหนักแน่นเที่ยงตรงก็พลันเต็มไปด้วยความเพ้อฝันหลากสีสัน การคาดการณ์แสนเหลือเชื่อเหล่านั้นกำลังจะทำลายมุมมองต่อโลกใบนี้ของเขา
เขากดนวดขมับทั้งสองข้างแล้วผลักรายงานเรื่องจิตสำนึก วิญญาณ และการสังเกตการณ์ออกไปก่อน เขาตัดสินใจว่าจะไม่สนใจพวกมันในตอนนี้ แต่ทันใดนั้น เขาก็เห็นรายงานฉบับหนึ่งที่ดูค่อนข้างหนามากทีเดียว
“‘สมการคลื่นสัมพัทธ์ของอิเล็กตรอนเดี่ยว’ โดยลูเซียน อีวานส์…”
เขาเคยเขียนรายงานคล้ายๆ กันนี้มาก่อน เขาจึงรู้สึกสดชื่นขึ้นมาโดยพลันและทุ่มความสนใจไปกับการอ่านรายงานฉบับนี้
ยิ่งเขาอ่านไปเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากเสียจนต้องคอยยกมือซ้ายขึ้นดึงหูกระต่าย ราวกับว่าเขากำลังพยายามระบายความร้อนระอุในใจออกไป ‘ท่านคิดค้นสมการนี้จากการคาดการณ์ จากนั้นก็อธิบายมัน’
‘อีกอย่าง สมการนี้ก็เต็มไปด้วยความงามทางคณิตศาสตร์และอาร์คานา มันสั้นกระชับ งดงาม และดูเหมือนจะแฝงไว้ด้วยกฎเกณฑ์และปริศนาระดับพื้นฐานและลึกล้ำที่สุดอยู่!’
จากนั้น ดวงตาของเขาก็เบิกโต เพราะลูเซียนได้ชี้แจงแถลงไขปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับโลกจุลภาคตลอดหลายปีที่ผ่านมาด้วยสมการนี้อย่างเที่ยงตรงแม่นยำและสอดคล้องกับตัวมันเอง ทั้งการทดลองแสนกระจัดกระจายของบรูก การเกิดช่องเปิดของสนามแม่เหล็กที่ผิดปกติ โครงสร้างที่ถูกต้องแม่นยำของเส้นสเปกตรัม…ทุกสิ่งทุกอย่างถูกนำมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยสมการนี้ แม้แต่ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับสปินของอิเล็กตรอนที่แอนนิคกับสปรินต์เคยเสนอ ลูเซียนก็ยังหาข้อสรุปได้ด้วยสมการนี้ แสดงให้เห็นว่ามันคืออิทธิพลของสัมพัทธภาพเมื่ออิเล็กตรอนทั้งหลายทำตามกฎการอนุรักษ์
ขณะอ่านรายงานฉบับนี้ แลร์รีรู้สึกเหมือนกับความสำเร็จมากมายกำลังพุ่งเข้าใส่หน้าเขาทีละอย่างๆ เขาครุ่นคิดด้วยความมึนงงระคนตกตะลึง ‘นี่คือการสรุปใจความสำคัญที่สมบูรณ์แบบของพัฒนาการอันยิ่งใหญ่ในขอบเขตของโลกจุลภาคนับตั้งแต่อดีตเมื่อนานมาแล้ว ยุคทองอันรุ่งโรจน์ละลานตาถูกจับยัดลงมาในรายงานฉบับเดียว!’
‘ยามที่เราศึกษาโลกจุลภาคเมื่อก่อนหน้านี้ มันเหมือนกับการที่คนธรรมดาสามัญเก็บลูกแอปเปิ้ลขึ้นมา พวกเขาต้องใช้เวลานานมากกว่าจะเก็บจากต้นมาได้แต่ละลูก แต่สมการกับรายงานของท่านอีวานส์ได้แสดงให้เห็นว่าแอปเปิ้ลเหล่านั้นสุกงอมดีแล้ว และพวกมันก็กำลังร่วงหล่นลงมาราวกับสายฝน…’
หลังจากตกตะลึงอึ้งงันอยู่นาน เขาก็สังเกตเห็นว่าเนื้อหาส่วนหลังของรายงานคืออะไร เขาค่อนข้างหัวเสียหลังจากได้เห็นการคาดการณ์ของลูเซียนในเรื่องปฏิยานุภาคและปฏิสสาร ‘…เหตุใดข้าจึงมิเคยมีความกล้าที่จะคิดทำนายอย่างอาจหาญเช่นนี้บ้างนะ’
แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าสมการที่เขาเคยคิดค้นเมื่อก่อนหน้านี้ยังมีปัญหาอื่นๆ อีกมาก มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลพลังงานเชิงลบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“มันมีอิเล็กตรอนประจุบวกอยู่จริงๆ หรือ…” แลร์รีพึมพำกับตนเองและเริ่มเขียนความเห็นของตน
‘ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือสมการดั้งเดิมที่มีความลึกล้ำและชวนตะลึงอย่างที่สุดของขอบเขตการศึกษาโลกจุลภาคที่เอาชนะทุกสิ่งอย่างก่อนหน้านี้ เพื่อให้แตกต่างจากสมการสนามแรงอีวานส์ ข้าขอเรียกมันว่าสมการลูเซียน ด้วยสมการนี้ ทำให้ทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาไม่นานนี้ได้รับคำตอบ นี่คือการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยแห่งการพัฒนาอันยิ่งใหญ่ทางอาร์คานา! แน่นอนว่าข้าไม่คิดว่านี่คือจุดสิ้นสุดของยุคทองแห่งโลกจุลภาค มันเป็นเพียงข้อสรุปของบทนำเท่าน้น และการเคลื่อนไหวแรกก็กำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ!’
…
มิมีผู้ใดคาดคิดว่าลูเซียนจะไม่อุทิศตนให้กับปัญหาเรื่องจิตสำนึกและผลกระทบจากผู้สังเกตหลังจากที่เขาได้นำเสนอพวกมัน กลับกัน เขาได้แสดงการผสมผสานทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษกับกลศาสตร์ควอนตัมด้วยสมการอันน่าทึ่งที่ขับไล่ม่ายหมอกคลุมเครือในขอบเขตการศึกษาโลกจุลภาคไปเสียสิ้น มันเปรียบดังแสงสว่างเจิดจ้าที่ฉายลงมาจากท้องฟ้าและขับไล่ความมืดออกไป ทุกผู้คนต่างคิดถึงอนาคตอันสดใสของกลศาสตร์ควอนตัมและการเล่นแร่แปราตุร่วมสมัยอีกครา
‘หากเราไม่พิจารณายึดติดว่าเหตุใดการอธิบายตามความน่าจะเป็นและหลักความไม่แน่นอนจึงมีอยู่ และเหตุใดฟังก์ชั่นคลื่นจึงพังทลายลง นี่ย่อมนับเป็นยุคทองในประวัติศาสตร์อาร์คานาอย่างแน่นอน…’
จอมเวทแทบจะทุกคนถอนหายใจให้กับประโยคนั้น แต่พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าตนเองจำต้องเผชิญหน้ากับปรากฏการณ์แปลกประหลาดหากว่าเวทมนตร์และอาร์คานาจะพัฒนาไปไกลกว่านี้ พวกเขาจำต้องค้นหาความหมายทางอาร์คานาเบื้องหลังปรากฎการณ์เหล่านั้น และแก้โจทย์เกี่ยวกับดวงวิญญาณ เวทมนตร์ และสภาวะควอนตัมให้ได้ เมื่อใดที่วันนั้นมาถึง พวกเขาจะต้องตัดสินใจให้กับเวทมนตร์และอาร์คานาว่า
จะอยู่ หรือจะตาย
หรืออาจจะเป็น จะอยู่และจะตายหรือไม่