Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 706 เมืองแคลเคต
ภายในจักรวาลอะตอม ดวงดาวหลากหลายสีในอวกาศที่ไร้ขอบเขตก่อตัวเป็นภาพที่มีเอกลักษณ์หลากสีสัน
ลูเซียนและนาตาชาค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น ตัดจุดเชื่อมต่อกาล-อวกาศกับอเวจี
“เราทำสำเร็จจนได้ ไม่งั้นเราคงต้องค้นหานรกเงียบงันพิเศษกันต่อ” นาตาชาถึงกับตกตะลึงกับรูปแบบอันงดงามและซับซ้อนบนแผ่นสีดำในมือลูเซียน มันยื่นออกมาและเปล่งแสงเหมือนกับนาฬิกามือสองที่กำลังเดิน รูปแบบต่างๆ ก็กระจายคลื่นพลังที่พร่ามัวออกไป ไม่เพียงแต่สตรี แม้แต่บุรุษอย่างลูเซียนรู้สึกว่าแผ่นกาลเวลาเป็นผลงานศิลปะชั้นยอด
“ถ้าเดโมกอร์กอนแห่งความมืดและราชาทูตสวรรค์ไม่สมคบคิดกันสังหารข้า แผ่นกันเวลานี้คงตกอยู่ในมือของกอนไฮล์ม หลังขึ้นเป็นเจ้าชายปีศาจ กว่าจะได้มาคงยากขึ้นอีกพันเท่า” ลูเซียนจับแผ่นกาลเวลาด้วยมือขวา และสัมผัสถึงกระแสเวลาภายใน
ในโลกแห่งความสิ้นหวัง หลังจากป้อมปราการเยือกแข็งและท้องอเวจีหลอมรวมกันแล้ว กอนไฮล์มใกล้จะขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ หากเขาทิ้งพลังส่วนใหญ่ไว้ที่นี่ ลูเซียนจะจัดการเขาได้โดยต้องขอแปลงจากดักลาส เฟอร์นันโด และแฮททาเวย์มาร่วมกันโจมตี ในกรณีนั้น ลูเซียนจะขอความช่วยเหลือให้ได้เข้าสู่นรกเงียบงันเสียดีกว่า
นาตาชายื่นมือขวาของนางออกไป และจับตรงหน้าปัดของแผ่นกาลเวลาด้วยความสงสัย และเพลิดเพลินกับความรู้สึกนั้น แล้วจู่ๆ นางก็เงียบขรึม “เจ้าเป็นเป้าหมายของชั้นตำนานสูงสุด แล้วทั้งสองคน ไม่ต่างกัน…”
นางเชื่อเสมอมาว่าแต่ลูเซียนเองก็ไม่อาจเทียบเท่าหรือเดินบนเส้นทางของไวเค็น การศึกษาอาร์คานา และศักยภาพด้านเวทมนตร์ที่ก้าวกระโดดของเขาจะเชื้อเชิญศัตรูและแผนร้ายต่างๆ ‘คำพยากรณ์’ ของนางเป็นจริงในที่สุด!
อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้หวาดกลัวเพียงแต่กังวล นางยังมีความปรารถนาอันแรงกล้าและความมุ่งมั่นในการรบสุมเต็มอก ส่วนหนึ่งก็เพราะนางเชื่อมั่นในลูเซียน และอีกส่วนหนึ่งก็เพราะนางรู้สึกว่านี่คือการทดสอบของตนซึ่งมองการปกป้องเป็นหลักปฏิบัติของอัศวิน
ลูเซียนงอนิ้วเคาะลงบนแผ่นกาลเวลา ไม่มีเสียงตอบรับมีแต่เสียงเคาะทื่อๆ และกระจายพลังออกไป “ในยุคนี้ ผู้ที่ต้องการไต่ระดับขึ้นไปไม่อาจหลีกเลี่ยงวังวนแห่งความขัดแย้ง ถ้าไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ลึกในมหาสมุทรไร้พรมแดนหรือมิติพิเศษลับที่ถูกทิ้งร้างในยุคนี้ แต่ว่าก็อาจมีชั้นตำนานคนอื่นที่คิดถึงเขาเป็นคนแรก เมื่อตั้งใจจะแปรสภาวะ มันงานที่สุดที่จะจัดการคนที่ไม่มีพวก”
“ตราบใดที่สภายังพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ข้าเชื่อว่าชัยชนะจะเป็นของเราอย่างแน่นอน”
“สำหรับข้า พร้อมรับมือกับทุกปัญหาและศัตรู”
ลูเซียนพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
นาตาชาหัวเราะคิกคัก “เจ้าจะเป็นอัศวินผู้ทรงเกียรติ ถ้าเจ้าไม่เลือกเป็นนักเวท ตอนนี้ราชาทุกสวรรค์ตายสนิทหรือยัง? ‘เวทปืนใหญ่โพซิตรอน’ ของเจ้าจะเป็นเวทที่ทำลายโลกได้เลยจริงๆ!”
เมื่อได้ใช้เวลาร่วมกับลูเซียนมานาน นางก็มีความคิดสร้างสรรค์ในการเลือกใช้คำเหมือนกัน
“หลังจากศึกษาและผลิตปฏิสสารอื่นๆ แล้ว คงไม่ใช่ความฝันของนักเวทชั้นตำนานระดับสามที่จะทำลายโลก นักเวทต้องการเพียงความเจริญรุ่งเรือง” ลูเซียนพูดติดตลก พลังของเวทปืนใหญ่โพซิตรอนยังพัฒนาได้อีก ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของเวทมนตร์และอุปกรณ์ที่เตรียมไว้ล่วงหน้า การเตรียมการดังกล่าวสลับซับซ้อนจนน่าปวดหัวเสียยิ่งกว่า ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ ปฏิสสารเพียงหยิบมือก็สามารถทำลายดาวทั้งดวง แต่แน่นอนว่าห้องทดลองยังไม่สามารถสังเคราะห์ปฏิสสารขึ้นเองได้
ขณะที่พูดนั้น ลูเซียนก็หยิบลูกแก้วขึ้นมาร่ายมนตร์
“กระจกแห่งชะตา!”
ท่ามกลางอากาศที่มืดมิด จุดแสงภาพมายาก็ปรากฏขึ้น มันเป็นเหมือนกับผีเสื้อ หรือดวงดาวในท้องฟ้าดำทะมึน นั่นคือจักรวาลแห่งโชคชะตา!
จุดแสงพรุ่งนี้รวมตัวกันในกระจกลึกลับที่พร่ามัว หลังจากลูกแก้วที่เปล่งแสงในมือซ้ายของลูเซียนลอยขึ้นกลางอากาศ กระจกก็เริ่มสั่นอย่างรุนแรง เหมือนกับบ่อน้ำที่สงบแต่ถูกขว้างก้อนหินใส่ คลื่นพลังกระจายตัวออกไป
คลื่นพลังค่อยๆ หายไป ความพร่ามัวสลายไป ทูตสวรรค์สามสิบหกปีกตนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในท่าคุกเข่า ทันใดนั้น ลำแสงแวววาวก็สะท้อนออกมาจากกระจกและพวยพุ่งขึ้นเหมือนเป็นกระแสน้ำ
นาตาชาที่สังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ รู้ตัวก่อน นางจึงลากตัวลูเซียนที่กำลังตกตะลึงกับพลังออกไปยังอีกมุมหนึ่งของจักรวาลอะตอมในพริบตา แล้วทั้งสองก็เห็นกระจกแห่งชะตาถูกมวลแสงขาวบริสุทธิ์กลืนกิน อวกาศโดยรอบก็เช่นกัน เหลือเพียงสุญญากาศที่ไร้ซึ่งชีวิต จนกระทั่ง ‘จักรวาล’ สั่นสะท้าน และพลังที่ลอยอยู่เหนือสุญญากาศนั้นค่อยๆ หายไป
“นั่นคือพลังของพระเจ้าแห่งสัจธรรม…” นาตาชาพึมพำอย่างไม่แน่ใจ นี่หรือคือพระเจ้าที่นางเคยบูชา? แม้แต่ความศรัทธาที่ส่งกลับไปยังเขตแดนวิญญาณของนาง ก็ยังเป็น ‘พระเจ้าแห่งสัจธรรม’ นางยังรู้สึกสับสนเมื่อเผชิญหน้ากับ ‘พระเจ้า’ ที่ไร้เหตุผลและเหลือเพียงพลังและอำนาจ
เมื่อได้สติขึ้นมาหลังจากกระจกแห่งชะตาถูกพลังของพระเจ้าแห่งสัจธรรมทำลาย ลูเซียนก็เกาคาง “พระเจ้าเข้าใจกฎของหุบเขาวิมานและพระเจ้าแห่งสัจธรรม เราจะสามารถใช้พลังของพระองค์ตอนหน้าสิ่วหน้าขวานได้ไหม? ทำไมพลังถึงรุนแรงนัก? นี่เป็นความก้าวหน้าเชิงคุณภาพหรือการสะสมเชิงปริมาณ?”
ริมฝีปากของนาตาชาเหยเกขณะมองลูเซียนแล้วคิดตาม แววตาที่เฉยเมยของนางกลับอ่อนโยน แล้วนางก็พูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม “ท่านมหาจอมเวท ช่างสมกับเป็นนักวิจัย”
“ฮ่าๆ มันเป็นโรคประจำตัวที่มากับงาน…” ลูเซียนตอบติดตลกหลังจากได้สติขึ้นมา “ดูเหมือนเมแคนทรอนยังไม่ตายสนิท แต่ไม่รู้เป็นเพราะเขาไม่ได้ส่งพลังมาทั้งหมด หรือเพราะเขาเชื่อมต่อกับพระเจ้าแห่งสัจธรรมด้วยพันธะพิเศษ เขาคงไม่ตายถ้าพระเจ้าแห่งสัจธรรมยังดำรงอยู่ แล้วเขาจะฟื้นคืนชีพมาอีกที่หุบเขาวิมานชั้นเจ็ด พอเขาตายสินะ?”
ลูเซียนชั่งน้ำหนักเหตุผลที่เมแคนทรอนไม่ตายสนิทเสียที ขณะที่ ‘เวทปืนใหญ่โพซิตรอน’ ไม่อาจติดตามเล่นงานร่างต้นทางได้เหมือนดาบแห่งสัจธรรม มันกักขังการทำลายล้างแสนบริสุทธิ์ ลูเซียนเชื่อว่าเมแคนทรอนจะมาพร้อมกับพลังทั้งหมด และเขาจะถูกทำลายล้างจนสิ้นซากไม่ว่าจะมีวิธีการคืนชีพอะไรก็ตาม!
“ข้าคิดว่าเขาอาจเชื่อมต่อกับพระเจ้าแห่งสัจธรรม การรับมือกับมหาจอมเวทที่มีอุปกรณ์ชั้นตำนานมากมายในอเวจีที่พลังของหุบเขาวิมานลดลงมาก ราชาทูตสวรรค์คงไม่มีโอกาสรอดกลับไปถ้าไม่ขนพลังมาทั้งหมด ข้าไม่คิดว่าเขาจะสบประมาทศัตรู” นาตาชาเกาคางเสนอความคิด
ภายใต้สถานการณ์ปกติ เมแคนทรอนเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้มีพลังสูงสุดและแข็งแกร่งเทียบเท่ามนุษย์ครึ่งเทพเมื่ออยู่ใกล้กับหุบเขาวิมาน อย่างไรก็ตาม ในนรกอเวจี ถึงเขาจะลงมาด้วยตัวเอง แต่เขาจะแข็งแกร่งแค่เพียงชั้นตำนานระดับสูงสุดที่อ่อนแอที่สุดเพราะพลังของนรก หากไม่ทุ่มสุดตัว เขาจะมีพลังเพียงชั้นตำนานระดับสาม และมีพลังเท่ากับลูเซียน
ในกรณีนี้ นักเวทพี่มีเวทมนตร์มากมายที่คาดเดาไม่ได้ย่อมแข็งแกร่งกว่า พวกนักเวทปรับตัวเข้ากับสมรภูมิรบได้แทบทั้งหมดและพลังจะไม่อ่อนลงมากนัก
“มีเหตุผล พลังพระเจ้าคุ้มครองของเขาทรงพลังมากตอนเขาใช้ในเรนทาโต” อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะอยู่ในร่างคืนชีพที่ธานอสเตรียมการไว้และการจุติของ ‘พระเจ้าแห่งสัจธรรม’ เขาก็เป็นเพียงทูตสวรรค์ที่พึ่งเกิด ต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าปีกว่าที่เขาได้พลังชั้นตำนานคืนมา
แม้กระจกแห่งชะตาจะตรวจสอบได้ว่าเมแคนทรอนยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่อาจระบุสภาวะได้ชัดเจน ลูเซียนจึงทำนายได้คร่าวๆ จากสัญญาณต่างๆ เท่านั้น
เมื่อได้ฟังคำคาดการณ์ของลูเซียน นาตาชาก็หัวเราะขึ้นมา นางที่ไปยังดาวเหล็กที่รออยู่ไม่ไกลแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าเราควรถกกันเรื่องนี้หลังจากกลับบ้าน เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าจักรวาลที่เยือกเย็นและมืดมิดนี้ไม่ได้น่าอภิรมย์เหมือนห้องแสนอบอุ่นของเรา? มีทั้งน้ำชาและเสียงเพลง และนี่เราก็อยู่ไม่ไกลจากประตู…”
ลูเซียนตอบ “แน่นอน ข้ายังต้องเตรียมพัฒนาจันทรากาลด้วย”
…
ภายในป้อมปราการเยือกแข็ง กอนไฮล์ม เดโมกอร์กอนแห่งความมืด กลับถึงบัลลังก์แห่งความมืด แผลที่ลึกลงไปถึงกระดูกปรากฏบนมือขวาที่เคาะอยู่บนอัญมณี แต่ไม่มีเลือดไหลออกมาสักหยด
แสงสีฟ้าเยือกเย็นเปล่งออกมาจากบาดแผล ทำให้ทุกอย่างภายในแผลเย็นเฉียบ ความสามารถในการเยียวยาของกอนไฮล์มก็ไม่อาจจัดการอาการบาดเจ็บได้เร็วนัก
และยังมีรอยข่วนที่มีไอแห่งความตายอยู่บนหน้าของกอนไฮล์ม แม้แผลจะไม่ลึก แต่ใบหน้าของเขาก็ยังเป็นตะคริวอยู่นานสองนาน
เขาจับหน้าด้วยมือซ้าย กอนไฮล์มพึมพำกับตัวเอง ดวงตาของเขาที่เปลี่ยนสีตลอดเวลากลายกลับดูโกลาหลและเยือกเย็น “ลูเซียน อีวานส์ แอ็ปซิส รูปสลักน้ำแข็ง…”
ในฐานะเจ้าชายปีศาจที่เจ้าเล่ห์ เขามีแผนการอื่น เขาจึงจัดการกับพระแม่แห่งหิมะ และเจ้าแห่งความตาย หลังจากตอบแทนเจ้าชายบางคน อย่างไรก็ตาม ลูเซียนลงมือเร็วกว่า เขาเดินทางออกไปพร้อมกับแผ่นกาลเวลาแล้ว
…
ณ เดือนแห่งการเก็บเกี่ยว (กันยายน) สถานที่ส่วนใหญ่ยังมีอากาศอบอุ่นและอบอุ่นไปด้วยความสุขหลังเก็บเกี่ยวและเทศกาล แต่สายลมเย็นก็พัดเข้ามาทางตอนเหนือของจักรวรรดิชาชรานแล้ว ย้ำเตือนให้ทุกคนรู้ว่าฤดูหนาวมาถึงแล้ว
กลุ่มทหารรับจ้างเดินอยู่บนที่ราบอันรกร้าง คุ้มครองขบวนสินค้า จักรวรรดิชาชรานขึ้นชื่อเรื่องความกว้างใหญ่ไพศาล ทรัพยากรอันมากมาย และสิ่งมีชีวิตเวทมนตร์อีกจำนวนนับไม่ถ้วน
ในกลุ่มทหารรับจ้าง แคทริน่ามัดผมยาวสลวยสีทองของนาง นางถือรูปปั้นคนแคระหัวล้านอยู่ในตู้ขบวนและใจลอยคิดไปว่า “ทำไมอาจารย์ถึงขอให้เราเอารูปอันนี้ไปวางตรงหน้าวิหารเมืองดูมิวท์? ทำไมรูปปั้นนี้ถึงยังไม่เสร็จ?”
นางสงสัยเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
“ถึงเมืองแคลคัตแล้ว!” ฝ่ายสอดแนมด้านหน้าขบวนตะโกนออกมา ตรงชายแดนระหว่างที่ราบและป่า ตั้งอยู่ติดแม่น้ำ เมืองที่งดงามแต่ดูโบราณก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขา
ที่นี่คือเมืองแคลคัต เมืองใหญ่อันดับสามของแคว้น เป็นรองเพียงเมืองนาโนมิ ซึ่งเป็นเมืองหลวง และเมืองเคียฟ ซึ่งมาควิส ฟูร์เทโด อยู่
แคทริน่าเรียกสติกลับมา นางดึงมือซ้ายออกมาจากกระเป๋าและคิดในใจ “สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือภารกิจที่ได้รับมอบหมาย เราค่อยศึกษาเรื่องที่อาจารย์ขอตอนหลังก็ได้”
ที่นี่เป็นปลายทางของภารกิจที่นางไม่รับ แล้วยังเป็นบ้านเกิดของนางด้วย
เมื่อมองไปยังรูปแบบสถาปัตยกรรมที่คุ้นตาและทิวทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์ นางก็ถึงตกกลับอยู่ในภวังค์
……………………………………..