Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 724 นักแสดงโอเปร่าที่ค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์
- Home
- Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา
- บทที่ 724 นักแสดงโอเปร่าที่ค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์
ภายในโรงละครหลวงแห่งราชสำนักเรนทาโต เหล่าขุนนางและนักเวทที่กำลังเพลิดเพลินไปกับดนตรีสลับฉาก ต่างหันไปกระซิบกระซาบกันถึงรูปแบบของโอเปร่าที่แตกต่างจากอดีตโดยสิ้นเชิง
นับแต่ที่โอเปร่ากลายเป็นที่นิยม โอเปร่าตามจำนวนก็เป็นกระแสหลักมาตลอดอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าบางคนจะปรับแก้มัน แต่ก็ไม่มีผู้ใดหาญกล้าที่จะละทิ้งรูปแบบที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงนี้ บรรดาขุนนางและสามัญชนทั่วไปในโฮล์มเองก็คุ้นเคยกับโอเปร่าดี พวกเขาชมชอบบทร้องเดี่ยวแสนซาบซึ้ง ส่วนเนื้อเรื่องที่โอเปร่าตั้งใจนำเสนอนั้น ท้ายที่สุดแล้วพวกมันก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการขับเน้นความรู้สึกเบื้องหลังบทเพลงให้กับผู้ชม
ส่วนเส้นเรื่องที่มีรายละเอียดกว่านี้และมีบทสนทนาจำเพาะเจาะจง พวกเขาจะรู้จากการรับชมละครชื่อเดียวกันในภายหลัง
นั่นไม่ถือเป็นปัญหาอันใดในอดีตเพราะเนื้อเรื่องนั้นค่อนข้างเรียบง่าย พวกเขาสามารถเพลิดเพลินไปกับดนตรี เสียงร้อง และเนื้อเรื่องโดยคร่าวยามรับชมโอเปร่า ทว่า เมื่อนักเขียนบทละครอย่างโอลิเวอร์ได้สร้างสรรค์เรื่องราวที่น่าดึงดูดยิ่งขึ้น ผู้คนจึงมักรู้สึกว่าการร้องเพลงนั้นเป็นเอกเทศจากเนื้อเรื่องยามที่พวกเขารับฟังโอเปร่า ดนตรีและเนื้อเรื่องเป็นสิ่งที่แยกจากกัน
ทว่า ปมเรื่องยังไปไม่ถึงจุดสูงสุดของการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น หลังจากได้ฟังองค์แรกของ ‘วัลคีรี’ ซึ่งสร้างสรรค์โดยลูเซียน อีวานส์ พวกเขาจึงรู้สึกไม่คุ้นเคยนักและถกเถียงกันอย่างดุเดือด ลืมเลือนมารยาทในการรับชมโอเปร่าไปเสียสิ้น
“ทั้งองค์เป็นแค่การรวมบทร้องงั้นหรือ” สเตฟานี ภริยาของดยุกเจมส์ หันไปพูดกับเจน ธิดาของนางที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน
เส้นผมสีดำของเจนที่ม้วนเป็นลอนตามธรรมชาติคลอเคลียอยู่ตรงไหล่ เหมาะกับภาพลักษณ์ที่นางแสดงให้เห็น ในหมู่ชนชั้นสูง นางเป็นที่รู้จักดีในชื่อ ‘ตุ๊กตาสงบเงียบ’
“สำหรับข้าแล้ว มันเป็นเหมือนกับซิมโฟนีมากกว่าบทร้องเจ้าค่ะ ธีมเรื่องก็คือเนื้อหาที่แฝงอยู่ในบทเพลงเบิกโรง อีกอย่างคือ ขอบเขตระหว่างการขับร้องแทนพูดกับบทร้องเดี่ยวดูจะไม่ชัดเจนนัก…” เจนแนะประเด็นนี้ให้กับสเตฟานีด้วยเสียงแผ่วเบา
ในองค์ที่ผ่านมา นางรู้สึกว่าเนื้อเรื่องและท่วงทำนองผสมผสานกันอย่างลงตัวเสียจนนางถลำลึกลงสู่บรรยากาศที่ทั้งสองอย่างสร้างขึ้นแม้ว่ามันจะแปลกประหลาดก็ตาม นางเป็นห่วงเจ้าหญิง เกลียดราชาองค์ผู้โหดร้ายและรัฐมนตรีมากเล่ห์ ทั้งยังเห็นอกเห็นใจนางข้าหลวง ทุกประโยค ทุกท่วงทำนองคล้ายกับจะดังก้องอยู่ในใจนาง
จนกระทั่งเสียงเพลงสลับฉากดังขึ้น เจนจึงได้ทบทวนการแสดงองค์ที่เพิ่งจบไป บทพูดบางส่วนมีความคล้ายคลึงกับการร้องเพลง และบทร้องก็ฟังดูคล้ายกับบทพูดมากเช่นกัน…
สเตฟานีกล่าวอย่างขบขัน “หนึ่งองค์เท่ากับซิมโฟนีหนึ่งบทเพลงเช่นนั้นรึ ช่างสมกับเป็นท่านปรมาจารย์อีวานส์จากอัลโต้จริงๆ”
ในเมืองอัลโต้ ความโดดเด่นของซิมโฟนีนั้นบดบังประกายของบทเพลงประเภทอื่นเสียหมด และพวกเขาก็ชอบที่จะเรียกลูเซียนว่าปรมาจารย์มากกว่าเวลาพูดถึงดนตรี
หลังจากถกเถียงกันอย่างดุเดือด เหล่าขุนนางต่างก็มีความเห็นของตนเอง ส่วนใหญ่เชื่อว่าองค์แรกของวัลคีรีนั้นนับว่าอยู่เหนือเกณฑ์แม้ว่ามันจะแปลกพิสดารก็ตาม
ปรามาจารย์ก็คือท่านปรามาจารย์จริงๆ!
ภายในกล่องที่นั่งส่วนตัว แม้ต้องเผชิญหน้ากับข้อข้องใจของโอลิเวอร์ ลูเซียนก็ยังบอกเล่าแนวคิดในการสรรค์สร้างของเขาด้วยใบหน้ายิ้มๆ และรู้สึกภาคภูมิใจไม่น้อย แม้ว่าการปรับเปลี่ยนนี้จะมีที่มาจากการปฏิวัติวงการโอเปร่าของวากเนอร์ในโลกเดิมของเขา แต่เนื้อเรื่อง ท่วงทำนอง บทเพลง และการออกแบบโครงสร้างของโอเปร่า ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เขารังสรรค์ขึ้นเอง
เมื่อได้ยินคำตอบของลูเซียน โอลิเวอร์ก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ข้าชอบแนวคิดของเจ้า ดนตรีกับการร้องควรจะเป็นตัวเสริมให้กับเนื้อเรื่อง นักดนตรีที่รับเอาบทละครของข้าไปทำโอเปร่าหาได้เข้าใจเหตุผลง่ายๆ นี้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่สามารถสร้างโอเปร่าที่ทุกคนชอบได้ หากแต่เพียงข้าได้ร่วมมือกับเจ้าเร็วกว่านี้ล่ะก็นะ”
ลูเซียนนึกว่าโอลิเวอร์จะไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูป เขามิได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมรับมันง่ายๆ จึงประหลาดใจในทีแรก แต่จากนั้นก็ให้โล่งอก ในฐานะนักเขียนบทละคร โอลิเวอร์ย่อมให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่องมากกว่าอยู่แล้ว
นาตาชาผิวปากเป็นทำนองบทพูดเดี่ยวของเจ้าหญิง ในขณะที่เฟอร์นันโดเคาะมือไปบนราวจับ ราวกับว่าเขากำลังตั้งตอคอยฉากถัดไปอยู่
…
ภายในจัตุรัสของเมืองซามารา…
ประชาชนต่างเงียบงันเพราะรูปแบบการแสดงที่แตกต่างออกไป พวกเขาซาบซึ้งตรึงใจไปกับเนื้อเรื่อง ตัวละคร ท่วงทำนอง และบทขับร้องในช่วงองค์แรกที่เพิ่งจบไปอย่างยิ่ง แต่พวกเขารู้สึกแปลกๆ และคิดว่าโอเปร่าไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น
“นี่จะต้องเป็นกระแสใหม่ของโอเปร่าแน่ๆ ท่านผู้บัญชาอะตอมคือปรมาจารย์ด้านดนตรี ท่านย่อมมีวิสัยทัศน์มากกว่าเราแน่นอน!” ผู้คลั่งไคล้ในซิมโฟนีคนหนึ่งโพล่งขึ้น
เสียงของเขาทำลายความเงียบงันลงทันที คนอื่นๆ ต่างก็เห็นดีเห็นงามตามเขา
“ใช่แล้ว ปรามาจารย์ด้านดนตรีย่อมรู้ดีกว่าเราอย่างแน่นอน!”
“โอเปร่าเมื่อครู่นี้ฟังดูดีกว่าเมื่อก่อนนัก อ้อ ภาพดูดีกว่ามากๆ อีกด้วย!”
“ความสามารถของนักร้องและนักแสดงชั้นนำเป็นเช่นนี้นี่เอง สิ่งที่เราเคยฟังมาเทียบกับพวกเขาไม่ได้เลย!”
“เงินที่พวกเขาได้จากการแสดงครั้งหนึ่งเท่ากับรายได้ทั้งปีของเจ้า!”
…
ขณะจ้องมองโรงละครแสนงดงามบน ‘ม่าน’ บานัสก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด “จนถึงทุกวันนี้ ข้าไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าตัวเองจะได้รับชมและรับฟังการแสดงโอเปร่าที่ดีที่สุด แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับดูง่ายดายเหลือเกินในยามนี้ เราสามารถดูโอเปร่าที่แสดงในโรงละครหลวงแห่งราชสำนักเรนทาโตได้ในซามานา เวทมนตร์จะวิเศษเกินไปแล้ว!”
“ใช่ ข้ายิ่งตั้งตาคอยจะได้เห็น ‘อารยธรรมเวทมนตร์’ อย่างที่เสียงแห่งอาร์คานาเคยกล่าวไว้ บางทีเราอาจจะได้เห็นนครเรนทาโตโดยไม่ต้องออกไปข้างนอกเลยก็ได้…” อาลีหลงใหลไปกับทุกภาพและเสียงบน ‘ม่าน’ ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา นั่นคือพลังของพระเจ้าที่ศาสนจักรเคยเผยแผ่คำสอนไว้ในอดีต!
เมื่อคิดถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับชีวิตตน อาลีก็ให้รู้สึกหดหู่ไม่น้อย ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วตัวเขาเล่า เขาจะต้องอยู่ในเมืองนี้ไปจนแก่เฒ่า เหมือนกับบิดาและท่านตาของเขาเช่นนั้นน่ะหรือ
เพลงเบิกโรงการแสดงองค์ที่สองของวัลคีรีดังกึกก้อง ให้ความรู้สึกตึงเครียดและปั่นป่วนเป็นกังวลที่คละเคล้ากับความอบอุ่น
ในฉากนี้ เจ้าหญิงอะแมนซาได้เผชิญหน้ากับภยันตรายมากมายที่อยู่ในป่าและค่อยๆ กลายเป็นอัศวินที่แท้จริง จากนั้น ขณะที่นางถูกห้อมล้อมอยู่นั้น นางก็ตกหน้าผาไปและเกือบดับดิ้น แต่สุดท้ายนางก็ได้รับความช่วยเหลือจากอัศวินผู้แข็งแกร่งที่ผ่านทางมา
อัศวินผู้นี้เป็นบุรุษหนุ่มหน้าตาดี เขาเห็นใจเจ้าหญิงและอยู่กับนางต่อเพื่อช่วยนางรับมือกับนักล่าขององค์ราชา หัวใจของทั้งสองได้ใกล้ชิดกันจนบังเกิดเป็นความรัก ผู้ชมดูจะชื่นชอบและให้การสนับสนุน และพวกเขาก็เริ่มตั้งตาคอยอานาคตอันสดใส
ขณะที่เพลงรักบรรเลงไป องค์ที่สองก็มาถึงตอนจบ
อาลีฟังเสียงโอเปร่าและมองไปทางเหล่าขุนนางที่อยู่ในโรงละครซึ่งการถ่ายทอดสดได้เผยให้เห็นเป็นบางส่วน เขายิ้มแย้มขณะนึกสงสัยว่านางจะกำลังฟังโอเปร่าและยินดีไปกับเรื่องราวความรักระหว่างเจ้าหญิงกับอัศวินหรือไม่…
เขาจินตนาการเพ้อฝันถึงหลายสิ่งหลายอย่างจนเผลอพึมพำบทเพลงเมื่อสักครู่ แม้ว่าองค์ที่สองจะจบไปแล้วก็ตาม
องค์ที่สามเริ่มขึ้นด้วยเพลงเบิกโรงที่กระตุ้นเร้าความตื่นเต้น ทว่ากลับแฝงด้วยกลิ่นอายอันตราย เจ้าหญิงและอัศวินเริ่มต้นภารกิจกอบกู้อาณาจักรของนาง ระหว่างการเดินทาง ทั้งสองก็ได้พบกับสหายใหม่มากมายและพบกับอัศวินผู้ที่ยังภักดีต่อราชาองค์ก่อน แต่แน่นอนว่า ภัยร้ายย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยง ในระหว่างการเดินทาง อัศวินอีกคนผู้มีผมสีทองก็ตกหลุมรักเจ้าหญิง เขายังถึงกับสูญเสียแขนซ้ายเพื่อนาง
“ความรักทำให้ข้าเสียการควบคุมในตัวเอง…” อัศวินผมทองสารภาพรักด้วยบทร้องเดี่ยวแสนตราตรึงใจ
ในขณะที่ผู้ชมต่างเป็นกังวลว่าความรักของเจ้าหญิงจะมีผลลัพธ์ที่ไม่ดี นางก็ตอบกลับด้วยบทร้องเดี่ยวว่า “เจ้าสมบูรณ์แบบดั่งดวงสุริยัน แต่เจ้ามิใช่สิ่งที่ข้าชมชอบและตั้งตารอ…”
หลังจากจบบททดสอบแห่งความรัก เจ้าหญิงก็ดูเหมือนจะเติบโตขึ้นอีก นางนำเหล่าอัศวินเข้าโจมตีราชาองค์ใหม่กับรัฐมนตรีพร้อมกับคนรักของนาง เจ้าหญิงมุ่งมันเด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ นางบดขยี้ศัตรูและส่งเหล่าคนชั่วที่ผู้ชมนึกเกลียดมาตลอดทั้งสามองค์ไปประหารด้วยเครื่องตัดศีรษะท่ามกลางท่วงทำนองแห่งชัยชนะ
ในตอนนั้นเอง พายุที่แฝงเร้นอยู่ก็มาเยือน คำสาปก่อนที่ราชาองค์ใหม่จะสิ้นพระชนม์ได้เผยตัวตนที่แท้จริงของคนรักของเจ้าหญิง แท้จริงแล้วเขาคือเจ้าชายจากอาณาจักรข้างเคียงที่พยายามจะยึดครองอาณาจักรไปพร้อมกับการกอบกู้บ้านเมืองของเจ้าหญิง!
ทว่า ความรักเป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้ เขาจึงตกหลุมรักเจ้าหญิง แต่เขากลับเลือกบ้านเมืองของตนในท้ายที่สุด ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง เสียงกลอง และเสียงแตรเขาสัตว์ที่ใช้ทรัมเป็ตเลียนแบบ ทั้งสองต่างชักดาบออกมา
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้…”
“ความรักของทั้งสองงดงามมากแท้ๆ…”
ผู้ชมต่างรู้สึกปวดใจเมื่อองค์ที่สามมาถึงตอนจบ อาลีเหม่อมองโรงละครด้วยใบหน้าซีดเผือด เขาแทบจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเจ้าหญิง นั่นคือ หุบเหวที่ไม่อาจข้ามผ่าน และสายสัมพันธ์ที่ต้องตัดมันด้วยตัวเอง
เพลงเบิกโรงขององค์ที่สี่ระเบิดโพลงด้วยความเศร้าโศกสะเทือนใจอันเข้มข้น ราวกับจะเป็นการบอกล่วงหน้าถึงการโจมตีอย่างไร้การปราณีใดๆ ของเจ้าหญิง
บทเพลงนี้เป็นส่วนที่คลาสสิกที่สุดแล้ว นับแต่ที่วัลคีรีเริ่มเล่นมา แรงปรารถนาและความกระตือรือร้นของผู้ชมพลันเพิ่มขึ้น
“แค่บทเพลงในส่วนนี้ โอเปร่าเรื่องนี้ก็สามารถเรียกว่าเป็นงานคลาสสิกได้เลย…” โอลิเวอร์พยักหน้าชอบใจ
การต่อสู้ระหว่างเจ้าหญิงกับเจ้าชายจบลงแล้ว เจ้าชายล้มตัวลงและขับร้องบทพูดเดี่ยวด้วยความทุกข์ระทม ในขณะที่เจ้าหญิงเงื้อดาบยาวขึ้น
“นางจะฆ่าเขาเช่นนั้นหรือ”
“นางคงจะไม่โหดเหี้ยมถึงเพียงนั้นใช่หรือไม่”
ท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบหารือกัน นาตาชาที่นั่งอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว จู่ๆ ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ดาบถูกฟาดลงมา และเจ้าชายก็เสียชีวิตลง ภายใต้ท่วงทำนองดังก้องและโศกเศร้า เจ้าหญิงร้องเพลงด้วยบทร้องเดี่ยวที่ชวนให้ใจสลาย
หลังจากได้เป็นประจักษ์พยานแก่การต่อสู้และได้ยินท่วงทำนองนั้น อาลีก็ยิ่งหน้าซีดเซียวราวกับศพ มันดูเหมือนกับตอนจบของจินตนาการเพ้อฝันในหัวใจเขา ระยะห่างระหว่างเขากับนางนั้นกว้างใหญ่เสียยิ่งกว่าระหว่างเจ้าชายกับเจ้าหญิง เรื่องราวได้จบลงก่อนที่มันจะเริ่มขึ้นเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้ นางไม่จำเป็นต้องชักดาบออกมาด้วยตนเองเลย เพราะเขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะกระโจนลงไปในสมรภูมิรบ…
โศกนาฏกรรมแห่งรักมักจะชวนให้ใจสลายเสียส่วนใหญ่ แต่เจ้าหญิงก็ได้ทิ้งความประทับใจอันลึกล้ำให้กับทุกคนยามที่นางโบกสะบัดดาบในตอนสุดท้าย ในตอนนั้น กองทัพอัศวินของอาณาจักรข้างเคียงที่กำลังเดินทางมาได้มาถึงแล้ว และกลับกลายเป็นว่า พวกเขาถูกความมืดกลืนกินและกลายเป็นข้ารับใช้ของมังกรชั่วร้ายตนหนึ่ง พวกเขาต้องการยึดครองอาณาจักรของเจ้าหญิงเพียงเพื่อจะขโมยทรัพย์สมบัติไปให้มังกร!
เจ้าหญิงต้องข่มความเศร้าแล้วนำทัพเพื่อตอบโต้ แต่ในตอนที่ฝ่ายนางกำลังจพได้รับชัยชนะ สายลมที่ใช้เครื่องดนตรีเลียนเสียงก็เริ่มโหมกระหน่ำ จากนั้นสัตว์ประหลาดร่างใหญ่ยักษ์ก็ค่อยๆ โรยตัวลงมาบนเวที
มันมีศีรษะเหมือนสัตว์เลื้อยคลานและร่างกายอันแข็งแกร่งที่ปกคลุมด้วยเกล็ดสีใส ปีกอันงดงามคู่หนึ่งกางออกอยู่บนแผ่นหลังของมัน ภายใต้แสงสว่าง ทั้งร่างของมันแผ่รัศมีเย็นเยียบและชวนฝัน
พลังข่มขวัญเหนือจินตนาการจากเจ้ามังกรทำให้แข้งขาของนักแสดงโอเปร่าสั่นเทา เสียงร้องของพวกเขากลายเป็นขาดห้วงราวกับนี่คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
“มัง…มังกรตัวจริงเช่นนั้นรึ” เหล่าชนชั้นสูงภายในโรงละครรู้สึกราวกับว่าดวงตาของพวกเขากำลังจะถลนออกจากเบ้า
บานัสและอาลีแทบไม่สามารถหลับตาลงได้เพราะความตกตะลึง มังกรคือส่วนหนึ่งของการแสดงเช่นนั้นหรือ
นิ้วมือและนิ้วเท้าของเจ้ามังกรสวมแหวนฝังอันญมณีมากมายหลากสี ทั้งยังมีมงกุฎอยู่บนศีรษะและผ้าคลุมทองคำบนแผ่นหลังของมันอีกด้วย มันดูราวกับว่าเจ้ามังกรเพิ่งจะไปปล้นสมบัติผู้ใดมา
“ส่งสมบัติของเจ้ามา!” เจ้ามังกรกล่าวด้วยเสียงที่คล้ายกับว่ามันกำลังร้องเพลงอยู่
ภายในกล่องที่นั่ง ลูเซียนแย้มยิ้มกว้าง “ข้าต้องจ่ายไปมหาศาลทีเดียวเพื่อให้ครัสตัลน้อยมาร่วมการแสดง เขาคงจะเป็นนักแสดงโอเปร่าที่ค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์แล้วล่ะ…”