Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 741 วิธีขัดเกลาพลังโลหิต
- Home
- Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา
- บทที่ 741 วิธีขัดเกลาพลังโลหิต
ท่วงทำนองอันไพเราะดังก้องอยู่ในร้านอาหาร โน๊ตเพลงที่ถ่ายทอดความสงบสุขและบรรยากาศผ่อนคลายช่วยทำให้ทุกคนสงบลง แต่ทว่าไม่มีวงดนตรีอยู่ในห้อง มีเพียงเครื่องเล่นแผ่นเสียงเวทมนตร์ที่บรรจงหมุนแผ่นเสียงเรซิ่นตั้งอยู่บนโต๊ะข้างกำแพง
หลายนาทีผ่านไป เพลงก็จบลง แผนเสียงหมุนไปจนสุดแผ่น ข้ารับใช้ใกล้ๆ ก็กุลีกุจอเปลี่ยนแผ่นใหม่ทันที
เสียงดนตรีดังขึ้นอีกครั้ง จอห์นวางส้อมลงแล้วพูดกับลูเซียนด้วยอารมณ์ผสมปนเปกัน “แผ่นเสียงเรซิ่นทั่วไปบันทึกเสียงดนตรีได้ไม่กี่นาทีเอง มันบรรจุซิมโฟนีไม่ได้เต็มเพลง ถ้าไม่ได้ใช้แผ่นเสียงเวทมนตร์ระดับสูง แต่แผ่นพวกนี้ คนทั่วไปก็หาซื้อไม่ได้”
เขาไม่เคยลืมอดีตตัวเอง จึงให้ความสำคัญกับชีวิตของสามัญชนมากเป็นพิเศษ
“ปัญหาคือคนทั่วไปซื้อเครื่องเล่นแผ่นเสียงไม่ได้ด้วยซ้ำ” ลูเซียนพูดหยอกล้อ ขณะที่กำลังหั่นฟัวกราส์ “แต่ที่แน่ๆ แผ่นเสียงเวทมนตร์แพงหูฉี่ ราคาเกือบเท่าอุปกรณ์เล่นแร่แปรธาตุระดับสองเลย ขุนนางเล็กๆ บางคนซื้อได้เพียงเครื่องเดียว ส่วนใหญ่ก็ใช้แค่แผ่นเสียงเรซิ่น แต่ก็ไม่น่าใช่ปัญหาของบ้านไวเคานต์เวสลีย์นะ”
เพราะการทำให้ใช้งานง่ายต้องขึ้นอยู่กับเวทมนตร์ด้วย ลูเซียนไม่แผนซับซ้อนอะไร เขาทำได้เพียงออกแบบวงเวทใหม่จากจุดบกพร่องเท่านั้น เขาต้องบรรลุเป้าหมายไปทีละขั้น
หลังจากได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้จัดการของ ‘สมาคมนักดนตรี’ ในนครเรนทาโต โจเอลก็รู้สึกกลับมาเป็นหนุ่ม จนดูเหมือนอายุของเขาหยุดไว้เพียงเท่านี้ “แต่ขุนนางตัวเล็กๆ มีเต็มไปหมด ร้านอาหารส่วนใหญ่ใช้พวกแผ่นเรซิ่น ตอนนี้เลยเป็นกระแสหลักไม่ต้องสงสัยเลย นี่เป็นที่ทำเงินเลี้ยงปากท้องนักดนตรีส่วนใหญ่ ข้าดูๆ แล้ว พวกนักดนตรีจะชอบแต่งเพลงง่ายๆ ยาวไม่กี่นาทีมากขึ้น ทั้งง่าย ทั้งขายดี”
ต่างจากในนครอัลโต้ นักดนตรีเรนทาโตไม่มีโอกาสจัดการแสดงมากนัก รายได้ส่วนใหญ่มาจากบริการให้คำปรึกษาหรือสอนดนตรีเหล่าขุนนางในอดีต หลังจากการประดิษฐ์เครื่องเล่นแผ่นเสียงเวทมนตร์ นักดนตรีก็มีรายได้อีกทางจากค่าลิขสิทธิ์เพลง นักดนตรีจะได้ส่วนแบ่งเงินตามยอดขายแผ่นเพลงเรซิ่นและแผ่นเพลงเวทมนตร์ที่บันทึกเพลงของตน
สืบเนื่องมาจาก “ค่าสิทธิบัตร” ที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนและการใช้เวทมนตร์ก่อนนี้ และเพราะตัวลูเซียน อีวานส์ ผู้ควบคุมอะตอม ก็เป็นนักดนตรีชั้นยอด พวกนักเวทจึงไม่ปฏิเสธค่าลิขสิทธิ์ นอกเหนือจากการแยกนักดนตรีออกเป็นระดับต่างๆ ซึ่งได้รับส่วนแบ่งต่างกันแล้ว รัฐสภาแห่งขุนนางได้ผ่านกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งผ่านการรับรองจากองค์ราชินีอยู่เป็นประจำ
แม้ว่าเครื่องเล่นแผ่นเสียงเวทมนตร์จะเป็นเพียงความบันเทิงสำหรับขุนนางในตอนนี้เพราะมีราคาสูง แต่ก็เป็นช่องทางเพิ่มรายได้สำคัญให้กับนักดนตรี ดังนั้น เมื่อมีเงินเป็นตัวล่อและมีอิทธิพลของ “แนวเพลงสบายๆ” นักดนตรีส่วนใหญ่จึงมีแนวโน้มที่จะแต่งเพลงง่ายๆ ที่ยาวไม่กี่นาที “ดนตรีสันทนาการ” ที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนนี้กำลังเป็นกระแสนิยมในหมู่ประชาชนเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ดนตรีของเรนทาโตจึงพัฒนาไปคนละทิศคนละทางกับดนตรีของอัลโต้
ลูเซียนเคยพูดไว้ว่าเรนทาโตจะกลายเป็นต้นกำเนิดเพลงร้องและเพลงป๊อปในอีกไม่ช้า
พอได้ฟังความกังวลของลุงโจเอล ลูเซียนก็ยิ้ม “บางครั้ง การปฏิรูปเครื่องดนตรี วิธีสื่อสาร และวิธีส่งสารจะเปลี่ยนวิถีดนตรีทั้งหมด เหมือนสมัยการเปลี่ยนแปลงดนตรียุคพิณ หลังจากมีการประดิษฐ์ไวโอลินและเปียโน การปฏิรูปทำให้ดนตรีมีชีวิตชีวา ไม่น่าเบื่อ ลุงโจเอลไม่ต้องกลัวเลยว่าแผ่นเสียงเรซิ่นจะมีผลเสียต่อการพัฒนาดนตรี มันแค่ทำให้เราเห็นดนตรีที่แตกต่างมากขึ้น เกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ในตอนนี้”
วันนี้ นักดนตรีที่โด่งดังที่สุดแห่งยุคได้แสดงความคิดเห็นอย่างแน่วแน่ จริงๆ แล้วในฐานะกวีและนักดนตรีข้างถนน โจเอลชื่นชอบเพลงสั้นๆ อยู่แล้ว เขาจึงเลิกกังวล และเปลี่ยนไปคุยกันเรื่องอาหารแทน “ข้าไม่รู้เลยนะว่าเจ้าทำอาหารเก่งเหมือนกัน อีวานส์ เนื้อเปรี้ยวหวานนี่อร่อยจริงๆ!”
“อร่อยจริง” ป้าอะลิซ่าพยักหน้าหงึกๆ ขณะที่ปากของนางยังเคี้ยวไม่หยุด ปกตินางจะพูดไม่หยุด แต่ตอนนี้นางสนใจกับอาหารอย่างเต็มที่
ยกเว้นฟัวกราส์และอาหารตำรับเมืองเทรีย นางไม่เคยเห็นอาหารจานต่างๆ บนโต๊ะมาก่อน มันช่างแตกต่างจากอาหารของประเทศอื่น นางหยุดกินไม่ได้เสียแล้ว
“ขอบคุณขอรับ นาตาชาก็ชอบเช่นกัน” ลูเซียนรับคำชมอย่างตรงไปตรงมา บนโต๊ะมีอาหารจีนหลายจาน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกจานจะถูกปากคนบนโลกนี้ อาหารบนโต๊ะถูกเลือกไว้แล้วหลังจากที่นาตาชาเป็น “หนูทดลอง” ชิมอาหาร โจเอล อะลิซ่า และจอห์นชอบอาหารบนโต๊ะมากจนแทบจะเคี้ยวเอาลิ้นตัวเอง
นอกจากอาหารแล้ว ลูเซียนยังเก่งกาจในการใช้เวทมนตร์ระบุข้อมูลสัตว์และพืช และเพราะที่นี่มีวัตถุดิบประหลาดๆ มากมายที่ไม่มีบนโลกใบเดิม ตำรับอาหารจีนจึงขยายขอบเขตไปอีก จนมีรายการอาหารจีนเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสามเท่า
ตอนลูเซียนพูดถึงนาตาชา โจเอลก็ถามขึ้น แม้จะรู้สึกแปลกๆ “ทำไมคืนนี้พระองค์ไม่เสด็จมาด้วยล่ะ?”
ทั่วไปแล้ว เวลาลูเซียนอยู่ที่อัลลิน เขาจะมาเยี่ยมโจเอลอย่างน้อยเดือนละสองครั้ง และส่วนใหญ่นาตาชาก็จะมากับเขาด้วย
ก่อนที่ลูเซียนตอบ จอห์นก็บอกออกไปก่อน “ช่วงนี้ เรนทาโตกำลังปรับภูมิทัศน์และขยายเมือง มีการจัดระเบียบวงพลังเทพและวงเวทใหม่ แต่เพราะมันไปเกี่ยวกับที่ดินบ้าน คฤหาสน์ และอสังหาริมทรัพย์ของขุนนางหลายคน รัฐสภาขุนนางทะเลาะกันตลอด พระองค์ทรงค่อนข้างยุ่งกับการไกล่เกลี่ยเรื่องนี้”
“เรนทาโตเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป การเปลี่ยนแปลงตลอดยี่สิบปีที่ข้าอยู่ในอัลโต้ยังไม่มากเท่ากับที่เกิดขึ้นในเรนทาโตสองสามเดือนนี้เลย ข้าสงสัยจริงๆ ว่าอนาคตเรนทาโตจะเป็นไง” โจเอลพูดขึ้นด้วยอารมณ์ผสมปนเปกัน
หลังมื้อค่ำ ลูเซียนกับจอห์นยืนอยู่ริมข้างหน้าต่างในห้องรับแขกเล็กๆ บนชั้นสอง ต่างคนต่างถือถ้วยไวน์
มองไปยังแสงไฟของเขตขุนนางที่สว่างไสวราวกับสายน้ำดวงดาว จู่ๆ จอห์นก็ถอนหายใจออกมา “ตั้งแต่เจ้าไปพัวพันกับพวกแม่มด ข้ารู้สึกข้าอยู่ในความฝันที่ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย ความหวังถึงอนาคตทั้งหมดเป็นจริง แต่อนาคตไม่ได้เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้เลย”
“ข้าก็เหมือนกัน” ดวงตาลูเซียนบอกว่าเขากำลังครุ่นคิด มองออกไปนอกหน้าต่าง เขาพูดเรียบๆ แต่หมายความเช่นนั้นจริงๆ หรือเป็นไปได้ว่าชีวิตในตอนนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน
แม้ลูเซียนจะตัดความเป็นไปได้เรื่องความฝันออกไประหว่างสำรวจและค้นคว้าโลกนี้ แต่เขาก็ยังขาดข้อพิสูจน์ชัดเจนมาหักล้าง แม้เขาจะพิจารณาความจริงของโลกใบนี้แล้ว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่า “ทฤษฎีสมองในขวดโหล” “โลกเสมือนจริง” หรือ “สถานที่ทดลอง” นั้นเป็นไปไม่ได้
ปกติแล้วจอห์นไม่เคยอ่านใจลูเซียนได้ หลังจิบไวน์ไปอึกนึง เขาก็พูดขึ้น “เดิมข้าฝันจะมีตำแหน่งอัศวินเพื่อให้พ่อแม่ ไอเวิน และเจ้าได้อยู่อย่างมีเกียรติอัน แต่เจ้าเจอความฝันก่อนข้า เจ้าได้เป็นนักดนตรี…”
“พอข้าได้ตำแหน่งอัศวิน ข้าพร้อมสละชีวิตที่ป้อมปราการเหนือหรือเทือกเขาแห่งความมืดอย่างที่อัศวินทุกคนถูกลิขิตมา แต่เจ้ากลับมาบอกว่าเจ้าเป็นนักเวท ทำเอาข้างงอยู่นานมาก…”
“พอข้าคิดว่าเราคงไม่ได้เจอกันอีก พอข้าเริ่มรับใช้ราชวงศ์และศาสนจักรสุดหัวใจ องค์ราชินีก็ทรงนำข้ามาเรนทาโต…”
เขายิ้มไป พูดไป “พอข้าชินกับชีวิตอันสงบสุขที่ผู้มีพลังหลายคนคุ้มกันไม่ให้เจอกับอันตราย พิธีบูชาปีศาจ พิธีกรรมปีศาจ และความวิบัติอเวจีที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในอาณาจักร ข้าก็ต้องกลับเข้าสนามรบอีก”
เขาไม่ได้คร่ำครวญ แต่เขากลับรู้สึกตื่นเต้น ชีวิตที่สงบสุขไร้ความเสี่ยงจะทำให้เขาหยุดพัฒนาและไม่ก้าวหน้าเป็นอัศวินอาภา
“ชีวิตที่เต็มไปด้วยเรื่องเหลือเชื่อ ไม่เป็นไปตามแผน” ลูเซียนยกถ้วยไวน์กับจอห์น “เจ้าจะพัฒนาเป็นอัศวินอาภายากมากๆ ด้วยพลังโลหิตสาย ‘กำจัด’ อาณาจักรไม่มีเรื่องมากพอให้เจ้าเรียนรู้”
ขุนนางโดยสายเลือด หลังจากสืบทอดกันมาหลายรุ่น หรือด้วยการทดสอบของอัศวินชั้นตำนาน ต่างมีวิธีของตนเองในการขัดเกลาพลังโลหิตและยกระดับอำนาจจิต ขุนนางที่สืบทอดพลังโลหิตจึงมีแนวโน้มก้าวหน้ากว่าขุนนางที่เพิ่งได้รับตำแหน่ง แม้ว่าทุกคนจะเป็นอัศวินเหมือนกัน สภาเวทมนตร์ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่วิธีการฝึกก่อนเป็นอัศวิน เพื่อเพิ่มศักยภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ก็เพื่อการรับมือกับศาสนจักรและพัฒนาพื้นที่มิติทางเลือกให้มากขึ้น เนื่องจากวิธีขัดเกลาพลังโลหิตของขุนนางเป็นต้นทุนชีวิตและความลับที่ต้องเก็บรักษา
ผู้มีพลังโลหิตสาย “กำจัด” มีอยู่ไม่กี่คน และส่วนใหญ่จะถูกศาสนจักรดึงเข้าไปเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์หรือผู้พิทักษ์ราตรี ไม่มีขุนนางโฮล์มคนไหนที่มีพลังโลหิตนี้ เลยยังไม่มีใครเสนอวิธีขัดเกลาพลังที่เหมาะสมที่จะให้จอห์นได้
ก่อนหน้านี้ ลูเซียนไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากพลังโลหิตเป็นผลงานการสร้างของนักเวทโบราณ และเอกสารข้อมูลพลังโลหิตทั้งหลายก็ถูกเก็บรักษาไว้ที่สภาเวทมนตร์ เขาเชื่อว่าจะคิดค้นวิธีขัดเกลาพลังที่เหมาะสมให้กับจอห์นได้จากการศึกษากรณีพลังโลหิตสาย “กำจัด” แต่อย่างไรก็ตาม สภาไม่มีข้อมูลที่รวบรวมไว้เกี่ยวกับพลังโลหิตสาย “กำจัด” เลย นั่นทำให้ลูเซียนสงสัยถึงที่มาของสายเลือดนี้ เขายังสงสัยว่ามันอาจเป็นผลการวิจัยของไวเค็น
จอห์นยิ้ม เขาไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ “วิธีขัดเกลาพลังก่อนนี้ทั้งหมดเคยมีอัศวินคิดค้นมาแล้ว ข้าไม่โง่ ขี้เกียจ หรือขี้ขลาดแบบพวกนั้น ทำไมข้าจะคิดค้นเองไม่ได้? เจ้าพูดเองไม่ใช่เหรอว่าอย่าปล่อยให้ประสบการณ์มาปิดกั้นเรา? เป็นไปได้ว่านี่แหละสิ่งที่ดีต่อข้าจริงๆ”
เขาพูดเล่นอย่างขำขัน
……
หลังออกจากบ้านโจเอล ลูเซียนเดินเตร่เข้าไปในตัวเมืองเรนตาโต มือซุกอยู่ในกระเป๋า หมวกสีดำกดต่ำลง การเห็นเมืองพัฒนาไปตามแนวความคิดของเขาทำให้รู้สึกถึงความสำเร็จ
เมื่อเขาเดินผ่านเขตโรงงาน ลูเซียนก็เห็นคนแคระคนหนึ่งเดินเข้ามาหา คนแคระแปลกหน้ายกมือขวาขึ้นปิดตาทั้งสองข้างและแสดงความเคารพ “ไอน้ำจงเจริญ”
แล้วเขาก็ยิ้ม “นายท่าน ท่านอยากเข้าคริสตจักรไอน้ำของพวกเราไหมขอรับ?”
เผยแพร่ความเชื่อกลางวันแสกๆ? นี่มันขัดคำสั่งที่เขาสั่งพวกคนแคระไว้อย่างสิ้นเชิง! แววตาของเขาดุดันขึ้น ขณะเอ่ยปากถามน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าเป็นใคร”
“ฮ่าๆ” คนแคระยิ้ม “แม้เราไม่เคยเจอหน้ากัน แต่เราเคยพบกันแล้ว”
เขาพูดแปลกๆ แต่ลูเซียนกลับหรี่ตาลงทันที “ไวเค็น?”
…………………………………………………