Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา - บทที่ 854 สถานการณ์ลำบาก
สายฝนเทกระหน่ำลงมาจากท้องฟ้าราวกับน้ำตก ทั้งยังก่อให้เกิดม่านหมอกจางๆ ยามตกกระทบกับพื้น ผืนฟ้ามืดสนิท เว้นเสียแต่ยามที่สายฟ้าแล่บแปลบปลาบเป็นบางครั้ง ทำให้มันดูเหมือนกับสถานที่สำหรับภูตผีวิญญาณ
มิมีผู้ใดกล้าออกจากบ้านในยามราตรีที่ฝนกระหน่ำเช่นนี้ พายุได้กางกั้นระหว่างทุกๆ บ้าน ทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตระหนกกับหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น และรู้สึกปลอดภัยว่าจะไม่มีผู้ใดบุกเข้ามาในคราวเดียวกัน ม่านน้ำจากหน้าต่างห้องเป็นเหมือนกับป้อมปราการสำหรับทุกๆ บ้าน
ภายในบ้านสองชั้นหน้าตาธรรมดาที่อยู่ในตัวเมือง ชายหนุ่มในเสื้อคลุมเวทมนต์สีแดงเลือดกำลังจดจ้องสายฝนอย่างครุ่นคิดหนัก เขาดูเหมือนชายหนุ่มในวัยยี่สิบ นัยน์ตาของเขาเป็นสีแดง ใบหน้าหล่อเหลา และรอบกายมีกระแสไฟฟ้าระเบิดออกมาอย่างรุนแรงเป็นบางครั้ง นอกจากนี้ กลิ่นอายคงแก่เรียนของเขาก็ยังส่งเสริมความนุ่มนวลอ่อนโยนและทำให้เขาดูมีความพิเศษมากทีเดียว
“เฟอร์นันโด เจ้าได้บอกกล่าวกับเอิร์ลแพฟอสแล้วหรือไม่” บานประตูถูกเปิดออก แล้วชายหนุ่มอีกคนในชุดตามกระแสนิยมก็เดินเข้ามา เขาสวมเสื้อแจ็คเก็ตสีดำที่มีขอปกสูงจนปิดบังใบหูเขาทั้งหมด
ใบหน้าเรียวยาวของเขาประดับด้วยหนวดเครา ดูแล้วให้ความรู้สึกว่าเขาคือนักวิชาการผู้รอบรู้เช่นกัน
“แน่นอนสิ! ข้าเคยทำสิ่งใดไม่สำเร็จบ้างเล่า” ชายหนุ่มที่ถูกเรียกขานว่าเฟอร์นันโดหมุนกายกลับมาขณะตอบด้วยน้ำเสียงที่แทบจะเป็นการคำราม จากนั้นเขาก็โบกมือทั้งสองข้างเพื่อหยุดอีกฝ่ายไม่ให้เข้ามาใกล้ “ลอเรน ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าอย่าเข้ามาใกล้ข้าเกินไป!”
ลอเรนกลั้นเสียงหัวเราะ เขาไม่กล้าพูดอะไรออกไปและรักษาระยะห่าง มันเป็นเพราะเขาสูงกว่าเจ้าเตี้ยเฟอร์นันโดอย่างมากนั่นเอง
“เอิร์ลแพฟอสมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง” ลอเรนยกมือขึ้นมาจับหนวดและมีท่าทีจริงจังขึ้น
เฟอร์นันโดกล่าวอย่างเดือดดาล “เขาจะมีปฏิกิริยาอะไรได้ นั่นเป็นครั้งแรกที่พวกเราพบกันนะ เขาไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรด้วยซ้ำ! หากเขาให้สัญญาเรื่องใดสิ ข้าคงจะสงสัยว่ามันเป็นกับดัก!”
เขาพูดเสียงดังเปี่ยมด้วยความมั่นใจ พลังอำนาจอันไร้ขีดจำกัดคล้ายกับจะกักเก็บอยู่ในร่างเตี้ยม่อต้อของเขา
“ก็สมเหตุสมผลดี เราจำเป็นต้องค่อยเป็นค่อยไป แต่ว่าเราก็จำต้องย้ายถิ่นฐานในวันพรุ่งนี้ เผื่อว่าพวกสุนัขกรงเล็บดำจะมาจับพวกเรา” ลอเรนพยักหน้า สุนัขกรงเล็บดำคือสมญานามสำหรับผู้พิทักษ์ราตรีที่เคยสังหารนักเวทย์มานักต่อนัก ซึ่งมีที่มาจากถุงมือสีดำที่พวกมันสวม
เฟอร์นันโดไม่มีปัญหากับเรื่องนั้น แม้ว่าเขาจะใจร้อนและเข้มงวด ทั้งยังอาจหาญมากพอที่จะโต้แย้งอาจารย์ของตนเกี่ยวกับข้อผิดพลาดบางประการในเรื่ององค์ความรู้ทางเวทมนต์ โดยที่ไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์เหมือนอย่างในจักรวรรดิเวทมนต์โบราณเลยสักนิดแต่เขาก็แทบไม่เหลือความยโสโอหังหลังจากถูกผู้พิทักษ์ราตรีติดตามไล่ล่ามาเป็นเวลานาน
“เป็นการดีที่สุดที่เราจะไปซ่อนตัวอยู่ตามถ้ำที่นอกเมืองก่อน” เฟอร์นันโดกล่าวด้วยท่าทางสงบนิ่ง จากนั้นเขาก็เหลือบไปมองทางโต๊ะ ที่ที่มีเข็มขัดหน้าตาธรรมดาวางอยู่ ฉับพลันนั้น โทสะของเขาก็ระเบิดโพลงขึ้นอีกครา “ลอเรน เหตุใดเจ้าจึงบอกให้ข้าไปพบกับแพฟอสโดยที่ใส่เข็มขัดอันนี้กันเล่า มันสนุกนักเหรอกับการแปลงเพศเป็นสตรีน่ะ”
ลอเรนก้มศีรษะลงด้วยเกรงว่าตนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นและพูดด้วยท่าที ‘จริงจัง’ “เจ้าเป็นนักเวทชั้นสูงอายุน้อยและเป็นความหวังของจักรวรรดิเวทมนต์ นอกจากนี้ การสังหารพระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงไปก่อนหน้านี้ เจ้าได้ดึงดูดความสนใจจากพวกสุนัขกรงเล็บดำแล้ว และมีชื่ออยู่ในบัญชีกวาดล้าง เอิร์ลแพฟอสจะไม่รู้จักเจ้าได้อย่างไร หากเขามีแผนการอื่น ก็เป็นไปได้มากว่า พระคาร์ดินัลหลวงหรืออัศวินชั้นตำนานคงจะไล่ล่าติดตามเจ้ามาแล้ว มันเป็นการดีกว่าที่เขาจะคาดเดาไม่ได้ว่าเจ้าเป็นใคร”
“ข้าเปลี่ยนรูปลักษณ์ด้วยเวทมนต์บทอื่นได้!” เฟอร์นันโดไม่ตกหลุมพราง ดวงตาสีแดงของเขาคล้ายกับมีพายุอัดแน่นอยู่เต็ม
ลอเรนถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว “แต่ว่า หากเจ้าแปลงเพศ ก็มีความเป็นไปได้น้อยกว่าที่เจ้าจะถูกจับได้มิใช่หรือ อีกอย่าง เจ้ามีนิสัยหุนหันพลันแล่นและปากร้าย เจ้าอาจจะทำให้เอิร์ลแพฟอสโกรธรหากเป็นบุรุษ แต่หากเจ้าเป็นสตรีผู้น่ารัก การเจรจาต่อรองย่อมง่ายกว่า”
“เราไม่ได้ขาดแคลนนักเวทหญิงเสียหน่อย” เฟอร์นันโดพึมพำ แม้ว่าเขาจะพบว่าคำอธิบายนั้นพอจะยอมรับได้ก็ตาม
ลอเรนแบมือยักไหล่ “แต่ไม่มีใครมีพลังระดับสูงเลย แล้วพวกนางก็อาจจะถูกจับได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้เจ้าก็ไม่ได้คัดค้านยามที่ข้าเสนอนี่นา เจ้าไม่แม้แต่จะถามหาคำอธิบายด้วยซ้ำ”
“ก็ได้ๆ” โทสะของเฟอร์นันโดหายวับไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับตอนมา เขาดูไม่ได้โกรธเกรี้ยวมากเท่าที่ลอเรนขาดคิด “ข้าเพียงแต่สงสัยเกี่ยวกับความรู้สึกของการเป็นสตรีเพศ…”
ลอเรนมีท่าทางสนใจ เขาถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “การเป็นสตรีให้ความรู้สึกเช่นไรหรือ มีผู้ใดมาติดพันเจ้าหรือไม่”
“รู้สึกอย่างไรน่ะรึ ก็แปลกๆ แน่นอนว่ามันย่อมรู้สึกดีที่ได้เห็นคนอื่นหลงเสน่ห์เรา แต่ว่าเข็มขัดนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ สภาพหลังจากแปลงกายแล้ว เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น และข้าก็ไม่อาจรู้สึกถึงสัมผัสทางกายของสตรีได้จริงๆ…” เฟอร์นันโดตอบด้วยท่าทางราวกับว่าเขากำลังทำงานวิจัยทางเวทมนต์อยู่ “ข้าจำต้องค้นหาวิธีการสร้างเข็มขัดที่สมบูรณ์แบบ…”
เขามองไปทางลอเรนแล้วก็พบว่าสหายของเขานั้นงงงวยเกินกว่าจะพูดอะไรได้ กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่
“ลามกจริงๆ!”
“หือ?” เฟอร์นันโดส่งเสียงขึ้นจมูก ขณะเดียวกัน แรงกดอากาศรอบๆ นั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ลอเรนหัวเราะขัน “แค่ล้อเล่นน่า อ้อ ใช่ เฟอร์นันโด เราจำเป็นต้องไปที่ท่าเรือแพทเรย์ นักเวทผู้หนึ่งจะนั่งเรือมาจากอีกฟากฝั่งหนึ่งของช่องแคบ เขาเป็นผู้วิเศษเลยเชียว!”
“ผู้วิเศษงั้นรึ” เฟอร์นันโดถามด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ เป็นผู้วิเศษที่อายุยังน้อยมากทีเดียว เขาจะต้องเสริมความแข็งแกร่งให้กับเราอย่างมากแน่ๆ” ลอเรนกล่าวด้วยความตื่นเต้น “หากก่อนหน้านี้กัลลอสไม่ได้ไปพบเขาที่อีกฟากหนึ่งของช่องแคบ เราคงไม่ได้ติดต่อกับเขาหรอก และองค์กรเวทมนต์แห่งอื่นก็คงจะได้ตัวเขาไป”
ที่แห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามอาณาจักร หนึ่งราชรัฐ และหนึ่งเขตการปกครองที่รวบรวมเมืองต่างๆ ตามแนวชายฝั่งทางตอนเหนือเอาไว้ จักรวรรดิเวทมนต์ในอดีตได้แตกกระสานซ่านเซ็นและบังเกิดองค์กรเวทมนต์ขึ้นมากมาย ในหมู่พวกนั้น มีองค์กรขนาดใหญ่ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่าง ‘กระท่อมแห่งพาล์เมรา’ และยังมีองค์กรเล็กๆ ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นอย่าง ‘สหภาพนักเวท’ ที่เฟอร์นันโดอยู่ในตอนนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกองค์กรมีเหมือนกันก็คือ พวกเขาทำได้เพียงซ่อนตัวในความมืดและกระเสือกกระสนที่จะมีชีวิตรอด
เฟอร์นันโดพยักหน้า “ผู้วิเศษที่รู้จักเวทมนต์ระดับเก้าจะต้องช่วยให้เรารวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกับองค์กรอื่นได้แน่”
พวกเขาตั้งชื่อกลุ่มของตนว่า ‘สหภาพนักเวท’ ก็เพราะพวกเขาหวังที่จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับองค์กรเวทมนต์ขนาดใหญ่ทั้งหลาย เพื่อร่วมมือกันต่อกรกับศาสนาจักร ทว่า พวกเขายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะโน้มน้าวกลุ่มอื่นๆ
ลอเรนถอนหายใจ “ใช่แล้ว ผู้มีพลังชั้นตำนานทั้งหลายสามารถซ่อนตัวอยู่ในมิติพิเศษของพวกเขาและปิดทางเข้า ทั้งยังหนีเข้าไปในเทือกเขาไร้แสงได้อีกด้วย แต่พวกเรานั้นทำได้เพียงดิ้นรนเอาตัวรอด ผู้วิเศษคนหนึ่งจะเป็นดุลย์อำนาจที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา”
“พูดแบบนั้นก็ไม่ยุติธรรมนะ หากพวกชั้นตำนานไม่ได้ดึงความสนใจของพระคาร์ดินัลหลวงกับอัศวินชั้นตำนานไป เราก็อาจจะถูกกำจัดไปแล้วก็ได้” เป็นเรื่องแปลกที่เฟอร์นันโดไม่เรียกชั้นตำนานเหล่านั้นว่าหนูในท่อน้ำทิ้ง
ลอเรนหัวเราะออกมาอีกครั้ง “ยังมีเมืองสำคัญๆ อีกมาก เช่น เมืองอัลโต้ ว่ากันว่าพวกลัทธิสัจธรรมได้สั่งให้คนของพวกมันส่วนใหญ่โจมตีพวกเขา ก็นะ ชั้นตำนานหลายๆ คนรวมตัวกันอยู่ที่นั่นนี่นะ ดูเหมือนว่าความรุ่งโรจน์ของจักรวรรดิจะยังไม่สูญสลายหลังจากที่นครแอนทิฟเฟอร์ล่มสลายไป กลับกัน ผู้คนยิ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียว แต่บอกตามตรง หากไม่ไช่ว่าชั้นตำนานหลายคนหายตัวไป พวกลัทธิสัจธรรมก็คงไม่มีทางพัฒนาได้รวดเร็วขนาดนี้แน่…”
“มันเกิดขึ้นไปแล้ว อย่ามัวแต่เสียใจเสียดายอีกเลย จดจ่อกับปัจจุบันและอนาคตเถิด!” เฟอร์นันโดเอ่ยแทรกลอเรนอย่างไม่ไว้หน้า “ผู้วิเศษท่านนี้มีนามว่าอะไร อายุเท่าไหร่หรือ”
เขาเปรียบเทียบตนเองกับอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
ลอเรนส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่เขาไม่มีทางอายุน้อยเกินไปหรอก ผู้วิเศษทุกคนมีอายุหลายร้อยปี”
“ข้าจะไม่เป็นเช่นนั้น!” เฟอร์นันโดประกาศกล่าวด้วยท่าทางโอหัง
เขาเกิดมาหลังยุคสมัยที่ประกาศใช้ปีปฏิทินศักดิ์สิทธิ์ แต่ในขณะนั้น สงครามแห่งรุ่งอรุณยังคงไม่ถึงกับมาถึงทางตัน สถานที่ส่วนใหญ่ทางฝั่งนี้ของช่องแคบจึงยังอยู่ในการควบคุมของจักรวรรดิเวทมนต์
ลอเรนกลั้นยิ้ม “อ้อ เขามีนามว่าเดอร์ริก ดักลาส เขาหลบหนีมาที่นี่ก็เพราะการล่มสลายของนครแอนทิฟเฟอร์”
“เดอร์ริก ดักลาส” เฟอร์นันโดเอ่ยทวนและจดจำชื่อนั้นเพื่อการเปรียบเทียบในอนาคต “เหตุใดเขาจึงไม่บินข้ามมาฝั่งนี้เล่า”
“เห็นว่าเขาบาดเจ็บหนักเกินกว่าจะบินมาได้น่ะ อย่างไรเสีย การเดินทางทางเรือก็แทบจะไม่มีการตรวจสอบอะไรอยู่แล้ว” ลอเรนกล่าวยังไร้กังวล
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าร้องคำราม
เฟอร์นันโดมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะหันกลับมามองลอเรน “ได้เวลาพักผ่อนแล้ว เราต้องเคลื่อนย้ายพรุ่งนี้ จากนั้นก็ต้องไปที่ท่าเรือแพทเรย์อีกนะ”
ลอเรนพยักหน้าและเลิกคิ้วขึ้น “เข้าใจล่ะ เจ้าอยากให้อิงกริดมาที่นี่สินะ”
“ไสหัวไป!” เฟอร์นันโดคำรามอย่างไร้มารยาท
ลอเรนหัวเราะร่า เขาตะโกนขณะเดินออกไป “อิงกริด เฟอร์นันโดอยากพบเจ้าแหนะ”
สีหน้าโกรธเกรี้ยวเค้าเฟอร์นันโดหายไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจลางๆ และความรู้สึกอันหลากหลายปะปนกัน ระหว่างเขากับอิงกริด นักเวทสาว มิได้มีความรู้สึกลึกซึ้งอะไรขนาดนั้น พวกเขาเพียงแต่โหยหาการปลอบโยนทางกายจากกันและกัน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมมืดมนชวนหดหู่เช่นนี้ก็เท่านั้น
แต่ทันใดนั้น สีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยน พร้อมกับที่กระจกที่มีสัญลักษณ์สุดลี้ลับจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา
แสงศักดิ์สิทธิ์ที่ดูเหมือนจะสาดส่องลงมาจากท้องฟ้าตกกระทบกับกระจกด้วยพลังมหาศาลจนมันแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ทว่า แสงศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกสะท้อนกลับไปและพุ่งผ่านสายฝนกับความมืดทางด้านนอก ส่งผลให้มีผู้คนถูกกลืนกิน
“มีศัตรูบุกรุก!” เฟอร์นันโดตะโกนเสียงแหลม เขาชี้นิ้วออกมา แล้วร่างที่กระโจนออกจากเงามืดก็พลันเปล่งประกาย มันถูกแช่แข็งและร่วงลงกับพื้นจนแตกกระจาย
“ไม่…” เสียงร้องของสตรีดังขึ้นแล้วเงียบไปอย่างกระทันหัน ทำให้คิ้วของเฟอร์นันโดกระตุก ‘นั่นเสียงอิงกริดใช่ไหม’
เขาออกจากห้องมายังโถงทางเดิน เพียงเพื่อจะพบว่าบุรุษที่สวมถุงมือสีดำกำลังก้าวข้ามร่างของคนผู้หนึ่งไป
เขาคุ้นตากับร่างนี้ดี แต่บัดนี้มันกลับไร้สัญญาณชีพโดยสิ้นเชิง!
“เวรเอ้ย!” ดวงตาของเฟอร์นันโดแดงก่ำ เสียงลั่นเปรี๊ยะปร๊ะดังก้อง ขณะที่สายฟ้าสีเงินพุ่งเข้าไปล้อมรอบกายผู้พิทักษ์ราตรีราวกับอสรพิษขนาดใหญ่ยักษ์ ป่าสายฟ้าคล้ายกับว่าได้มาเยือนแล้ว
เปรี้ยง!
กระแสไฟฟ้าดึงดูดสายฟ้าแลบจากภายนอก ส่งผลให้มันฟาดลงมาจากท้องนภาและแทรกผ่านเพดาน
ที่แห่งนั้นกลายเป็นมหาสมุทรแห่งสายฟ้าและสกัดกั้นศัตรูเอาไว้ เฟอร์นันโดไม่รั้งรอแต่อย่างใด ด้วยคุ้นชินกับความตาย เขาจึงสะกดกลั้นโทสะเอาไว้ได้และระวังหลังให้กับเหล่านักเวทเพื่อหนีออกไปทางเส้นทางลับ
จากนั้น เขาจึงร่ายเวทจุดไฟเผาร่างของอิงกริดเพื่อเป็นการไว้อาลัย
…………………………..