Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - ตอนที่ 249
TXV – 249 ความสัมพันธ์ที่อธิบายไม่ได้ ?
เมื่อเห็นรถยนต์คันหนึ่งเคลื่อนตัวผ่านประตูหมู่บ้านเข้ามา เซี่ยเหล่ยก็หันไปมองอีกคันที่จอดอยู่ริมถนน เขาเห็นคนสองคนของสำนักงานลับ 101 นั่งอยู่ในรถ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว “ถ้าไม่ใช่เพราะคนของสำนักงานลับ 101 อยู่ที่นี่ นักฆ่าคนนั้นจะมาที่นี่มั้ยนะ? แล้วถ้าเขามา เราจะทำไงดี?”
เซี่ยเหล่ยมักจะคิดเรื่องแง่ร้ายในใจเสมอ เขารู้ข้อมูลนักฆ่าคนนั้นน้อยมากๆ นั่นทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจและรู้สึกไม่ปลอดภัยตลอดเวลา
ภายในบ้านเงียบสงบและไม่ได้เปิดไฟเอาไว้ ดูเหมือนว่าอเลน่าจะหลับไปแล้ว
เซี่ยเสวียพูดขึ้น “นี่พี่ อย่านอนดึกนักล่ะ”
เซี่ยเหล่ยตอบรับ “นอนก่อนเลย พี่อยากนั่งคิดอะไรคนเดียวสักพัก”
“ฉันไปนอนนะ พี่ก็อย่าคิดมากนักล่ะ” เซี่ยเสวียพูดก่อนจะเข้าห้องไป
เซี่ยเหล่ยนั่งบนโซฟาต่อ 2-3 นาที แล้วมองไปที่ดินสอพยายามนึกภาพนักฆ่าคนนั้นแล้วค่อยๆวาดออกมาแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้เรียนคอร์สวาดรูปมืออาชีพมา เขาเพียงแต่เรียนศิลปะพื้นฐานตอนยังเป็นนักเรียนอยู่เท่านั้น ภาพสเก็ตช์ที่เขาวาดออกมามันจึงไม่เหมือนเท่าไหร่นัก นักฆ่าคนนั้นหน้าเหมือนชางเซินหน่อยๆ ดูเป็นคนเลือดเย็นแต่ที่เซี่ยเหล่ยวาดออกมาเขาดูคล้ายฮานบั๋วแทน
“ถ้าเราเอารูปวาดระดับนี้ไปหาตำรวจเพื่อจับคนเข้าตะราง มีหวังตำรวจคงถือปืนจ่อฮานบั๋วแน่ๆ” เมื่อเซี่ยเหล่ยมองภาพวาดฝีมือตัวเอง เขาก็ต้องหัวเราะตัวเองและส่ายหัวเบาๆอย่างช่วยไม่ได้จากนั้นเขาก็หยุดวาดและเกิดไอเดียว่าจะเรียนวาดรูปเพิ่มสักหน่อย
เซี่ยเหล่ยโยนรูปวาดนั่นลงถังขยะไปแล้วเดินเข้าห้องแต่เมื่อเปิดประตูก็มีกลิ่นหอมจางๆลอยมาแตะจมูกทันที เป็นกลิ่นของผู้หญิงและผู้หญิงคนเดียวที่เซี่ยเหล่ยเห็นบนที่นอนคืออเลน่า
เซี่ยเหล่ยจึงเพิ่งนึกได้ว่าเขายกห้องให้อเลน่าพักไปแล้ว เขาควรจะไปนอนที่ห้องของพ่อเขาแทนแต่ตอนนี้เขากลับลังเลจะนอนเตียงเดียวกับอเลน่าหรือไปนอนที่ห้องของพ่อดี? แน่นอนว่าความคิดแรกน่าสนใจกว่าแต่เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา เขาก็รู้สึกวูบวาบอย่างบอกไม่ถูกทันที
จังหวะเดียวกันกับที่เซี่ยเหล่ยกำลังลังเล อเลน่าก็ตื่นขึ้นมาและเลิกผ้าห่มออกพอดี ดวงตาสีฟ้าคู่สวยสบกับสายตาเซี่ยเหล่ยที่ยืนอยู่ตรงประตูโดยไม่ได้พูดอะไร
เรือนร่างของอเลน่ามันไม่ใช่ร่างกายเด็กๆที่ดูน่าขันเวลาใส่ชุดนอนอีกแล้ว เธอสวมเสื้อเชิ้ตของผู้ชายซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นเสื้อเซี่ยเหล่ยและยังเป็นเสื้อผ้าชิ้นเดียวของเธออีกด้วย บนเสื้อเชิ้ตตัวนั้นติดกระดุมไว้แค่ 2 เม็ด คือใต้หน้าอกและที่สะดือ หน้าอกอวบตึงดึงคอเสื้อให้เปิดออกนิดหน่อย เผยให้เห็นผิวที่ขาวเนียนและนุ่มสุดๆ ใต้กระดุมที่ติดไว้เม็ดที่สองก็เป็นหน้าท้องแบนราบที่ไร้ส่วนเกิน สะดือเธอจึงดูเล็กน่ารัก ใกล้ๆกันเป็นเรียวขาสวยที่วางทับกันอยู่ เรียวขาและสะโพกอวบแบบมีน้ำมีนวลดูมีสเน่ห์ ชายเสื้อเขาทิ้งตัวลงบนต้นขา ปกปิดตักเธอได้เพียงครึ่งหนึ่ง ถ้าเสื้อยาวกว่านี้ก็คงไม่มีภาพล่อแหลมแบบนี้ให้เห็น แต่ถ้าสั้นกว่านี้ มันคงระเบิดอารมณ์คนออกมาได้เลย แต่การที่มันไม่ยาวไม่สั้นเป็นภาพล่อแหลมแบบนี้ มันยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกอยากเปิดๆมันซะให้รู้แล้วรู้รอด เป็นความรู้สึกแบบไม่เต็มที่ ปกปิดครึ่งๆกลางๆ เหมือนมีหมอกลอยตัวบดบัง มันทำให้เกิดความรู้สึกสนใจสิ่งที่อยู่ใต้ชายเสื้อมากขึ้นไปอีก
จู่ๆเซี่ยเหล่ยก็รู้สึกคอแห้งขึ้นมาเฉยๆ
อเลน่ายกยิ้ม “ไปยืนทำไมตรงนั้นล่ะ?”
นั่นสิ เขายืนรออะไรอยู่? ยังไงเขาต้องโน้มน้าวอเลน่าให้กลับชิงตู่พรุ่งนี้ให้ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันคงไม่น่าแปลกถ้าเขาจะทำอะไรอย่างอื่นในระหว่างการโน้มน้าวเธอ เมื่อคิดแบบนี้แล้ว เซี่ยเหล่ยก็เดินตรงเข้าไปหาเธอโดยไม่ลังเลอะไรอีก
เสื้ออเลน่าเลิกขึ้น ก่อนจะปลิวไปคลุมโคมไฟทรงเห็ดข้างๆเตียงแทน……
เช้าวันถัดมา เซี่ยเหล่ยไปส่งเซี่ยเสวียและอเลน่าขึ้นรถไปเมืองชิงตู่
“พี่ดูแลตัวเองดีๆด้วยนะ” เซี่ยเสวียยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่าง สายตาเธอเต็มไปด้วยความกังวล
เซี่ยเหล่ยพยักหน้ารับ
“เหล่ย ฉันจะคิดถึงคุณนะ” อเลน่าเองก็ยื่นหน้าออกมาและส่งจูบให้เซี่ยเหล่ยบ้าง
เซี่ยเหล่ยยิ้มและรู้สึกวูบวาบขึ้นมาโดยอัตโนมัติอีกครั้ง
ตอนนี้อเลน่าเกี่ยวข้องกับเซี่ยเหล่ยในสถานะอะไรกันนะ?
จริงๆเขาก็คิดเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบชัดเจนสักที เขาไม่ได้รักเธอแถมยังไม่ลืมรักที่มีให้หลางซือเหยาเลย หรือถ้าเขามีความรักให้อเลน่ามันก็คงเป็นความรู้สึกดีและอย่างอื่นปนๆกันแต่นั่นมันยังไม่หนักแน่นพอซึ่งดูเหมือนอเลน่าเองก็รู้ แต่มันไม่มีผลกับเธอมากนัก เซี่ยเหล่ยรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจมากๆเวลาอยู่กับเธอ จะสถานะอะไรก็ไม่สำคัญแต่ถ้าเธอเป็นชู้เธอก็คงเป็นชู้ที่สุดยอดเลย
“ชู้? เราคิดคำนี้ขึ้นมาได้ไงเนี่ย? คำนี้คู่รักมักใช้สื่อถึงมือที่สามนี่นา? หรือว่าใจเราลึกๆจะยังคิดว่าหลางซือเหยาเป็นแฟนหรือเป็นคู่หมั้นอยู่งั้นเหรอ? แล้วตอนนี้เธอจะทำอะไรอยู่ที่ไหนกันนะ?” เมื่อคิดถึงหลางซือเหยาขึ้นมา เซี่ยเหล่ยก็รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เซี่ยเหล่ยได้ขับรถมาถึงบริษัทอุตสาหกรรมอาชาสายฟ้า
เพิ่งจะวันที่ 3 ในช่วงวันหยุดปีใหม่แบบนี้ พนักงานส่วนใหญ่ยังไม่กลับมาทำงาน มีพนักงานเพียงบางส่วนที่ทำงานล่วงเวลาอยู่ที่นี่ เซี่ยเหล่ยเดินทอดน่องไปรอบๆเวิกค์ช็อป ทักทายพนักงานที่ทำงานอยู่ก่อนจะกลับเข้าออฟฟิศของตัวเอง เขาถือกระดาษเดินไปเดินมาและพยายามขีดเขียนสเก็ตช์ภาพนักฆ่าคนนั้นออกมา
จริงๆเขาคิดแล้วว่าเขาน่าจะขอให้เจียงหยูยี่ช่วยวาดเพราะเธอเก่งด้านนี้แต่เมื่อนึกได้ว่าเขากำลังอยู่ในสถานะคลุมเครือที่น่าอึดอัดกับเธออยู่ เซี่ยเหล่ยก็ตัดความคิดนี้ทิ้งออกไป
ผ่านไปพักใหญ่ฉิงเสวียงก็ปรากฏตัวขึ้นหน้าประตูออฟฟิศ เธอพูดขึ้นระหว่างเปิดประตูเข้ามา “ฉันได้ยินมาว่าลู่เชิงถูกแทง ใครกันที่ทำเรื่องแบบนี้ ?”
เซี่ยเหล่ยหยุดมือที่วาดอยู่แล้วส่งกระดาษให้เธอแทนคำตอบ
เพียงฉิงเสวียงมองภาพสเก็ตช์เธอก็อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อด้วยความตกใจ “ฉ่าวเป่ยชาน ?”
เซี่ยเหล่ยก็แปลกใจไปด้วย “ผมวาดเหมือนฉ่าวเป่ยชานงั้นเหรอ?”
ฉิงเสวียงยิ้มแห้งๆและส่งกระดาษคืนให้เซี่ยเหล่ย “ฉันพูดผิดน่ะ คุณวาดเหมือน ฮานบั๋วมากกว่า”
เซี่ยเหล่ยถึงกับพูดไม่ออก เขาคิดว่าเขาวาดใบหน้าคนร้ายเหมือนถึง 2 จุดแล้วซึ่งถือว่าการวาดครั้งนี้ได้พัฒนาขึ้นแต่จากปฏิกิริยาของฉิงเสวียงตอนดูรูปดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกขำๆกับฝีมือการวาดรูปของเซี่ยเหล่ยเสียมากกว่า
“แล้วเรื่องใหญ่แบบนี้ทำไมไม่บอกฉันล่ะ?” ฉิงเสวียงแสดงความไม่พอใจออกมานิดหน่อย
เซี่ยเหล่ยกล่าว “จริงๆผมอยากวาดแล้วให้คุณดูอีกรอบเพราะคุณเคยเห็นคนของตระกูลกู๋อยู่บ้างเผื่อว่าคุณจะนึกออกว่าคนในรูปเป็นใครแต่ดูเหมือนตอนนี้ผมจะล้มเหลวไม่เป็นท่า !”
“คุณนี่จริงๆเลย……” ฉิงเสวียงเริ่มกังวลตาม “ลองเปลี่ยนให้คนอื่นวาดดูรึยัง? คุณน่าจะลองขอให้นักวาดมืออาชีพมาวาดดู คุณรู้จักตำรวจหญิงคนนั้นไม่ใช่หรอ? ที่ชื่อเจียงหยูยี่หน่ะ ลองขอให้เธอช่วยดูสิ”
เซี่ยเหล่ยส่ายหน้า “ลืมเรื่องนั้นได้เลย ผมจะพยายามเองถ้าดึงเธอมาเกี่ยว เธอจะพลอยมีปัญหาไปด้วยน่ะสิ มันอันตรายมากๆ”
ฉิงเสวียงยิ้มออกมา “คุณไม่เก่งเรื่องการจัดการความสัมพันธ์สินะ? คุณนี่มีความเป็นผู้ชายจริงๆหรอ ?”
เซี่ยเหล่ยมองฉิงเสวียงด้วยความแปลกใจทันที ฉิงเสวียงพูดอย่างกับว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายงั้นล่ะ? ผู้ชายเทียมคนหนึ่งจะมาบ่นผู้ชายอีกคนว่าเป็นผู้ชายจริงรึเปล่าแบบนี้ก็มีเหรอ?
“งั้นบอกสิว่าอยากให้ฉันทำอะไร?”
เซี่ยเหล่ยตอบ “ผมจะพูดเรื่องการตัดสินใจของผมก่อน ผมคิดแล้วว่าจะเพิ่มเงินเดือนให้คุณเป็น 200,000 เริ่มตั้งแต่เดือนนี้”
“หา?” ฉิงเสวียงตะลึง
เซี่ยเหล่ยพูดยิ้มๆ “ถ้าไม่ชอบเยอะๆ ผมลดให้ก็ได้นะ”
ฉิงเสวียงจ้องมองเซี่ยเหล่ย “ถ้าคิดแบบนั้นก็บื้อแล้ว จะมีใครคิดว่าเงินเดือน 200,000 มันเยอะเกินไปกันล่ะ?” เธอหัวเราะจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ขอบคุณนะ แม่ฉันป่วยอยู่ต้องใช้เงินเยอะพอดี ฉันคงช่วยให้แม่อาการดีขึ้นได้เร็วกว่าเดิมแล้ว”
เซี่ยเหล่ยพูดต่อ “ทำไมสุภาพกับผมนักล่ะ? จริงๆคุณเป็นคนช่วยผมต่างหาก ถ้าบริษัทผมพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ผมอาจจะเพิ่มเงินเดือนให้คุณถึง 2,000,000 ได้เลยนะ”
“ไว้ใจฉันได้เลย ฉันจะจำที่คุณพูดไว้นะ” ฉิงเสวียงจ้องมองเซี่ยเหล่ยอย่างมีความหวัง
เซี่ยเหล่ยยิ้มให้ “มาพูดเรื่องนักฆ่าต่อดีกว่า ผมสงสัยว่าเขาเป็นคนของตระกูลกู๋ แต่ไม่น่าใช่ด่งหวู่หรือฉิงฉี๋ คุณรู้จักใครอีกมั้ย? คนที่แข็งแกร่งมากๆน่ะ”
ฉิงเสวียงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยักไหล่ “คือฉันก็ไม่ใช่คนของตระกูลกู๋ด้วยสิ ฉันแค่เคยได้ยินหรือเห็นข้อมูลของพวกเขาบ้างเป็นครั้งคราวตอนทำงานให้ฮวงยี่หู่ แต่นักฆ่าคนนี้ขนาดเพิ่งปรากฏตัวแล้วสามารถทำร้ายลู่เชิงได้อย่างสบายๆ แถมหนีไปได้อีก คนที่เก่งขนาดนี้ฉันยังไม่เคยเห็นนะ”
เซี่ยเหล่ยขมวดคิ้ว “คนๆนั้นเป็นคนในตระกูลกู๋จริงๆรึเปล่าเนี่ย? ผมล่ะปวดหัวจริงๆ”
ฉิงเสวียงพูดต่อ “เราเผยตัวชัดเจนแต่กลับกันเขาซ่อนตัวตนเขาได้มิดชิดมาก นี่ล่ะปัญหา เราไม่รู้ว่าเขาเป็นใครเพราะงั้นเราต้องหาวิธีล่อเขาออกมาจากที่ซ่อน ไม่ก็รออยู่เฉยๆ”
“ล่อเขาออกมา?” เซี่ยเหล่ยใจเต้นแรง “คุณทำให้ผมได้ไอเดียแล้ว”
ฉิงเสวียงมองไปที่เซี่ยเหล่ย “คุณจะทำอะไรเหรอ?”
เซี่ยเหล่ยตอบ “ผมคือเป้าหมายของเขา ผมจะทำให้เขามีโอกาสได้เข้าใกล้ผม เราจะจัดงานเลี้ยงค็อกเทลและเชิญคนมีชื่อเสียงในห่ายจูมา กู๋เค่อหวู่และกู๋เค่อเหวินจะได้รับเชิญด้วย โอกาสแบบนี้นักฆ่าคนนั้นต้องมาแน่ๆ”
“แล้วถ้าเขาไม่มาล่ะ?”
“งั้นผมจะไปเค้นหาตัวตนเขาจากกู๋เค่อเหวินและกู๋เค่อหวู่เลย อย่าลืมสิว่าคุณสอนทักษะอะไรให้ผมไว้ ตอนนี้แหละจะได้ลองใช้จริงดูแล้ว”
“วิธีมันก็ดีอยู่หรอก” ฉิงเสวียงกล่าว “แต่ฉันไม่คิดว่ากู๋เค่อเหวินกับกู๋เค่อหวู่จะมางานเลี้ยงที่คุณจัดหรอกนะ นักฆ่าคนนั้นก็คงเดาออกด้วยว่านี่เป็นกับดักและเขาคงไม่มาที่นี่แน่ๆ”
เซี่ยเหล่ยยิ้ม “แน่นอน สองคนนั้นไม่มางานเลี้ยงค็อกเทลของผมอยู่แล้วแต่มีอยู่คนหนึ่งที่จัดงานแล้วพวกเขาจะมาแน่ๆ”
ฉิงเสวียงเหมือนจะนึกถึงคนๆหนึ่งได้ “นี่คุณกำลังพูดถึง……”
เซี่ยเหล่ยหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดเบอร์ต่อ “ฮัลโหล เทียนหยิน?”
เสียงของเฉินตูเทียนหยินดังออกมาจากโทรศัพท์ “อือฉันเอง มีอะไรรึเปล่า?”
เซี่ยเหล่ยพูดต่อ “ผมอยากชวนคุณมาดื่มกาแฟด้วยกันหน่อย ว่างรึเปล่า?”
เฉินตูเทียนหยินยิ้มออกมา “ว่างสิ เมื่อไหร่ล่ะ?”
เซี่ยเหล่ยกล่าว “เย็นนี้ที่คาเฟ่นะ คุณรอผมแล้วกันเดี๋ยวผมไปรับที่บ้านจะได้ไปเยี่ยมคุณลุงด้วย”
“อืม ฉันจะรอคุณที่บ้านนะ” เฉินตูเทียนหยินตอบรับด้วยน้ำเสียงที่ดูดีใจเพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เซี่ยเหล่ยชวนเธอไปดื่มกาแฟ
เมื่อคุยกับเซี่ยเหล่ยจบแล้ว เฉินตูเทียนหยินก็รีบตรงเข้าห้องตัวเองไป
แต่รีบเกินไปเลยชนเข้ากับเฉินตูเหยินและฟู่หมิงเหม่ยจนพวกเขาสงสัย “เทียนหยิน จะไปไหนน่ะ?”
“เปลี่ยนเสื้อผ้า” เฉินตูเทียนหยินตอบโดยไม่ได้หันกลับมามอง
ฟู่หมิงเหม่ยเบ้ปาก “หนุ่มนั่นคนนั้นต้องเป็นคนชวนเธอไปไหนสักแห่งแน่ๆ”
ติดตามตอนต่อไป…………….