Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - ตอนที่ 276
TXV – 276 ตายเยี่ยงสุนัข !
ใต้แสงสลัวของเวลากลางคืนรถออฟโรดกำลังขับไปทางเหนือของเมืองชิงตู่ เสียงล้อบดเบียดโคลนส่งเสียงเป็นระยะๆ ภายในป่านั้นยังมีพื้นที่รกร้างอยู่ส่วนหนึ่ง รถคันเดิมยังคงขับต่อไปเรื่อยๆราวกับว่ากำลังมองหาพื้นที่ที่มืดและห่างไกลที่สุดอยู่
ถนนไม่เรียบกับรถที่กระแทกอยู่ตลอดเวลาทำให้กู๋ดิงชานตื่น เขาจำได้ว่ารถกำลังขับไปทางมองโกเลีย ซึ่งมองโกเลียคือสถานีแรกของเส้นทางหลบหนีของเขาแต่ตอนนี้เขากลับพบว่ารถกำลังแล่นอยู่บนถนนรกร้าง ความมืดรอบข้างทำเขาวิตก “นี่เรากำลังจะไปไหน?”
“ผู้บริหารกู๋ มีรถตำรวจอยู่ที่ถนนหลัก เราจำเป็นต้องเลี่ยงเส้นทางครับ” คนขับรถตอบ
“ท่านชิวล่ะ? เขาไปไหนแล้ว?” กู๋ดิงชานถามขึ้น ไม่รู้ว่าทำไมแต่ในใจเขามีแต่ความกังวลเต็มไปหมด
“ผู้บริหารกู๋ เดี๋ยวเขาก็มาครับคุณวางใจได้” คนขับรถพูดต่อ
รถเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ แสงไฟหน้ารถส่องสว่างไปยังพื้นที่ด้านหน้าได้บางส่วน เบื้องหน้าเป็นเนินเขาเตี้ยและสระน้ำขนาดใหญ่
กู๋ดิงชานก็รู้ทุกอย่างทันที เขารีบหยิบปืนออกมาแล้วจ่อไปที่หัวคนขับ “ไอ้เวร หยุดรถ!”
คนขับจอดรถตามคำสั่งเขาแต่ไม่มีทีท่าวิตกเลย “ผู้บริหารกู๋ ท่านจะทำอะไรน่ะครับ?”
กู๋ดิงชานพูดเสียงเย็นเฉียบ “ตอนหล่าวฉี่ทำอะไรแบบนี้มึงคงยังกินนมแม่อยู่เลย จะฆ่ากูงั้นเหรอ? งั้นมึงเชื่อมั้ยว่ามึงนี่แหละที่จะถูกฆ่าก่อน?”
คนขับรถตอบนิ่งๆ “เชื่อครับ”
“ลงจากรถซะ! ไป!” กู๋ดิงชานสะกิดเขาด้วยปืนในมือ “กลับไปบอกท่านชิวซะนะ ว่าถ้ากูตาย มันก็จะได้ไปสบายด้วย!”
“แต่เจ้านายผมไม่กลัวความสบายน่ะสิครับ” คนขับรถกล่าว
กู๋ดิงชานนิ่งอึ้งราวกับว่านึกอะไรออกบางอย่าง
จู่ๆกระจกรถก็แตกกระจาย ลูกกระสุนที่มาจากด้านนอกเจาะเข้าศีรษะของกู๋ดิงชานเต็มๆ เลือดสาดกระเซ็นไปตามแรงยิงไม่ทันให้กู๋ดิงชานหายใจเฮือกสุดท้าย ร่างของเขาก็ร่วงลงกับเบาะหลังไปแล้ว
กู๋ดิงชานเปลี่ยนตัวเองจากนักเลงข้างถนนกลายมาเป็นเศรษฐีพันล้านและกลายเป็นศพในที่สุดซึ่งใช้เวลากว่า 30 ปีเป็นระยะเวลาที่เนิ่นนานและเต็มไปด้วยจุดพลิกผันมีกระทั่งจุดสูงสุดที่เขาได้เป็นตำนานแต่ในสายตาของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ระยะเวลา 30 ปีนั้นก็ไม่ต่างจากเวลา 1 วินาทีที่ไม่มีความหมายใดๆ
คนขับรถหันหลังไปมองร่างกู๋ดิงชานครั้งหนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูและเดินลงจากรถไป
มือสไนเปอร์เดินออกมาจากป่าและลากศพของกู๋ดิงชานมุ่งหน้าไปยังสระน้ำพร้อมด้วยคนขับรถคนนั้น……
กู๋ดิงชานเป็นคนหยิ่งยะโสตอนยังมีชีวิตแต่ตอนนี้เขาไม่ต่างไปจากสุนัขที่ตายแล้วไม่มีอะไรน่าจดจำเลย
ในขณะที่กู๋ดิงชานถูกพาตัวไปยังสถานที่สุดท้ายของชีวิตแล้ว เซี่ยเหล่ย อเลน่าและเซี่ยเสวียก็กำลังเอร็ดอร่อยอยู่กับเป็ดย่างชื่อดังของเมืองชิงตู่
“ฉันไม่คิดเลยว่ากุ๊กในเมืองจีนจะทำเป็ดได้อร่อยขนาดนี้” อเลน่าพูดด้วยท่าทางมีความสุข “ฉันชอบประเทศนี้มากกว่าเดิมแล้วสิ”
เซี่ยเสวียมองอเลน่าพลางยิ้มกว้าง “พี่เซี่ยเหม่ย พี่ชอบเมืองจีนของเราเพราะเป็ดเหรอคะ? แค่นั้นเองเหรอ?”
อเลน่าแอบมองเซี่ยเหล่ยเห็นได้ชัดว่าจริงๆแล้วเธอไม่ได้ชอบประเทศจีนแค่เพราะเป็ดย่าง เธอเพียงแต่พูดอีกอย่างเท่านั้น “คำสุดท้ายคืออะไรนะ? ทอง? หมอหู? พี่รู้จักแต่หมอหูคอจมูกเนี่ยสิ”
เซี่ยเสวีย “……”
การมีพี่สะใภ้ต่างชาติก็ไม่ได้แย่ยกเว้นเรื่องการสื่อสารที่อาจจะไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่
เซี่ยเหล่ยพูดต่อ “น้องเสวีย พี่จะกลับห่ายจูในอีก 2 วันนะ เธอก็ตั้งใจเรียนแล้วก็ดูแลตัวเองดีๆล่ะ”
“ขึ้นเครื่องกี่โมงคะ? ฉันจะไปส่งพี่ด้วย” เซี่ยเสวียกล่าว
เซี่ยเหล่ยตอบ “ไม่ต้องไปหรอก อ่านหนังสือเถอะ”
เซี่ยเสวียทำเสียงฮึดฮัดด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไม่ต่อต้านอะไร
“เหล่ย แล้วคุณจะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ?” อเลน่าถามพลางมองเซี่ยเหล่ยเมื่อมีคนอยู่รอบๆตัวด้วยอเลน่าจะเรียกเขาด้วยชื่อเล่น แต่ถ้าไม่มีใครเธอจะเรียกเขาว่าลูคัส
“ผมไม่แน่ใจ แต่ประมาณไว้ว่าคงหลายวันที่บริษัทมีแค่กวนหลิงชานดูแลอยู่ เธอคงรับผิดชอบงานทั้งหมดไม่ไหว อีกอย่างคือผมจะไปที่เมืองชู่เพื่อดูว่าการก่อสร้างไปถึงไหนแล้ว” เซี่ยเหล่ยตอบ
แม้ว่าตระกูลกู๋จะยังไม่ยอมแพ้แต่ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากยอมแพ้เท่าไหร่ เมื่อแก้ปัญหาเรื่องตระกูลกู๋ได้แล้ว เซี่ยเหล่ยก็กลับมาโฟกัสเรื่องอาชีพการงานของเขาได้เหมือนเดิม อุตสาหกรรมอาชาสายฟ้าในเมืองห่ายจู บริษัททั้งสองของเขาเป็นเหมือนลูกม้าที่เขาอยากจะเลี้ยงดูให้เติบโตมาเป็นม้าศึกซึ่งจำเป็นต้องใช้กำลังและให้เวลากับมัน
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง……
“พี่ นั่นพี่บิงโทรมาเหรอ?” เซี่ยเสวียถาม
“ไม่รู้สิ” เซี่ยเหล่ยหยิบโทรศัพท์ออกมามองครั้งหนึ่งแต่หน้าจอปรากฏเบอร์แปลกเบอร์หนึ่ง
“ไม่รับโทรศัพท์เหรอ?” เซี่ยเสวียถามต่อ
เซี่ยเหล่ยเลื่อนปุ่มเพื่อรับสายก่อนที่เสียงๆหนึ่งจะดังออกมาจากโทรศัพท์ “คุณเซี่ย พ่อฉันอยู่ไหน?”
เสียงที่มาจากปลายสายเป็นกู๋เค่อเหวิน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เซี่ยเหล่ยขมวดคิ้ว “คุณกู๋ ผมว่าคุณเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะมั้งครับ? พ่อคุณก็เป็นคนใหญ่คนโตนะครับและการที่เขาจะไปไหนมันเกี่ยวอะไรกับผมด้วยล่ะ?”
“แกต้องทำอะไรเขาแน่ๆ! ฉันรู้นะว่าเป็นแก!” อารมณ์ของกู๋เค่อเหวินตอนนี้ดูเหมือนจะควบคุมไม่อยู่แล้ว
“วุ่นวายจริงๆ”
“เซี่ยเหล่ย ฉันจะไม่ปล่อยแกไว้ ฉันจะไม่ปล่อยแกไว้แน่!”
“คุณมันจิตป่วยแล้ว!” เซี่ยเหล่ยพูดก่อนจะวางสายไป
“พี่ กู๋เค่อเหวินโทรมาเหรอ?” เซี่ยเสวียถามด้วยความเป็นห่วง
เซี่ยเหล่ยพยักหน้าตอนแรกก็อารมณ์ดีอยู่แล้วเชียวแต่พอกู๋เค่อเหวินโทรมา เขาก็ไม่มีอารมณ์จะกินเป็ดย่างต่อแล้ว
แต่ถ้าฟังจากสิ่งที่เธอพูดแปลว่ากู๋ดิงชานอาจจะหายตัวไป? เกิดอะไรขึ้นกันนะ?
เซี่ยเหล่ยอยากโทรหาหลงบิง แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เธอพูดกับเขาที่เมืองป๋ายลู่แล้ว เขาก็เปลี่ยนใจไม่โทรหาเธอ เซี่ยเหล่ยคิดในใจ “หลงบิงบอกเราแล้วว่าอย่าลากทุกคนเข้ามาเกี่ยวจริงๆแล้วเธอคงแค่ไม่อยากให้เราไปกระตุกหนวดเสือหรือแกว่งเท้าหาเสี้ยนแค่นั้นแหละ ถ้าตามความสามารถของเธอแล้ว เธอจะรู้มั้ยนะว่ากู๋ดิงชานหนีไปไหน? อันที่จริงเรื่องแบบนี้เราไม่จำเป็นต้องรู้เลย เราแค่ป้องกันไม่ให้คนของเราเป็นอะไรไปและป้องกันการโจมตีของตระกูลกู๋ก็พอ”
กู๋ดิงชานหายตัวไป กู๋เค่อหวู่ถูกจับกุม ตอนนี้ตระกูลกู๋ที่เหลืออยู่คือกู๋เค่อเหวินคนเดียวที่เป็นผู้หญิงที่เซี่ยเหล่ยไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่
เซี่ยเหล่ยเงียบไปครู่หนึ่ง เซี่ยเสวียก็พูดขึ้นด้วยความโกรธ “ผู้หญิงคนนั้นต้องการอะไรกันแน่? นี่เธอยังมีปัญหาไม่พออีกเหรอ? ถ้าฉันเจอเธอนะ ฉันจะตบหน้าเธอสักที!”
อเลน่ายิ้ม “เธอนี่สุดยอดเลย!”
“ธรรมดาค่ะ ฉันเรียนมวยมาจากพี่บิง ฉันไม่กลัวเธอแล้วล่ะ” เซี่ยเสวียพูดพลางปล่อยหมัดเบาๆ
เซี่ยเหล่ยใจกระตุกวูบ “น้องเสวีย ที่ว่าเรียนมวยเนี่ย หลงบิงสอนอะไรเธออีกบ้าง?”
“ก็หลายอย่างนะคะ ยิงปืน ขับรถ แต่งหน้า จดโน้ตย่อ……” เซี่ยเสวียร่ายยาวในครั้วเดียว
เซี่ยเหล่ยขมวดคิ้วการที่หลงบิงสอนทักษะป้องกันตัวในเซี่ยเสวียแบบนี้ เธอตั้งใจจะฝึกเซี่ยเสวียให้เป็นสายลับ !
“อย่าไปเรียนอะไรจากหลงบิงเลยแค่อ่านหนังสือ ตั้งใจเรียนส่วนของเธอไปก็พอนะเข้าใจมั้ย?” เซี่ยเหล่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
เซี่ยเสวียก็เปิดปากพูดต่อทันที “ทำไมล่ะพี่? ฉันอยากเรียนเรื่องพวกนั้นเพิ่มนี่นาตั้งแต่เด็กจนโตพี่ก็ปกป้องฉันมาตลอด ฉันเลยอยากเรียนเรื่องพวกนั้นเอาไว้ คนอื่นจะได้ไม่กล้ามารังแกฉันเพราะฉันดูแลตัวเองได้แล้วไง”
เซี่ยเหล่ยหน้าตึง “พี่บอกว่าอะไรไม่ดีก็ไม่ดีสิ”
เซี่ยเสวียกล่าว “พี่ ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ฉันมีสิทธิตัดสินใจว่าฉันอยากเรียนอะไรหรือจะทำอะไร พี่มาดูแลฉันตลอดทั้งชีวิตไม่ได้หรอกอีกอย่างฉันก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว พี่เลิกมองฉันเป็นเด็กสักทีเถอะ!”
เซี่ยเหล่ยนิ่งอึ้งรู้สึกเจ็บแปลบในใจอย่างบอกไม่ถูกตั้งแต่เด็กจนโตเซี่ยเสวียเป็นคนว่านอนสอนง่ายมาตลอด เธอไม่เคยพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแบบนี้เลยแต่ตอนนี้เธอไม่เข้าใจความหวังดีของเขาเลย
“น้องเสวีย พี่กำลังทำเพื่อเธอนะ การเป็นสายลับน่ะมันอันตรายมาก เธอจะต้องไม่ชอบชีวิตแบบนั้นแน่ๆ” อเลน่าช่วยโน้มน้าวด้วยอีกคน
เซี่ยเสวียจ้องอเลน่าแล้วจู่ๆก็ลุกขึ้น “ฉันไม่กินแล้ว ฉันจะกลับมหาวิทยาลัยแล้ว”
“น้องเสวีย เธอ……” อเลน่ายืนขึ้นกำลังจะยื้อเซี่ยเสวียให้อยู่ต่อแต่เธอก็เดินไปไกลด้วยความโกรธแล้ว
เซี่ยเหล่ยพูดต่อ “ช่างเถอะ ปล่อยเธอไป เด็กวัยนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ พอเธอโตขึ้นจริงๆเดี๋ยวเธอก็เข้าใจเองแต่ตอนนี้พูดอะไรไปเธอก็ไม่ฟังหรอก”
“คุณจะยอมให้เธอเป็นสายลับจริงๆเหรอ?”
เซี่ยเหล่ยส่ายหน้า “ถ้าผมไม่อนุญาตก็จะไม่มีใครฝึกให้เธอเป็นสายลับได้ทั้งนั้นแหละ”
“อือ ถ้าฉันมีน้องสาวเธอต้องทำฉันปวดหัวแน่ๆ” อเลน่ายิ้มแห้งๆ “เราอย่ามัวแต่กินเลย ออกไปหาเธอกันเถอะ”
“อืม ไปกันเถอะ” เซี่ยเหล่ยลุกขึ้นและเดินไปจากโต๊ะ
เซี่ยเสวียยังไม่ออกไปไหน เธอเพียงแต่ยืนอยู่ข้างรถ SUV ของเซี่ยเหล่ยเตะล้อด้วยความโกรธพลางบึนปากไม่พอใจน้ำตาคลอเบ้าเป็นภาพของสาวน้อยที่กำลังรู้สึกแย่
อเลน่าพูดขึ้น “คุณไปคุยกับเธอเถอะ ฉันจะรอ”
เซี่ยเหล่ยเดินเข้าไปหาน้องสาวแต่ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเพียงแต่ยืนข้างเธอเฉยๆ
เซี่ยเสวียเหลือบมองพี่ตัวเองแต่ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
เซี่ยเหล่ยยิ้มมาเล็กน้อย “ยังโกรธอยู่อีกเหรอ? ดูเธอสิ เธอคิดว่าตัวเองโตแล้ว แต่จริงๆแล้วก็ยังเป็นเด็กอยู่ถ้าพี่ไม่ห่วงเธอแล้วจะให้ใครมาห่วงล่ะ?”
ริมฝีปากเซี่ยเสวียเริ่มขยับและในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหวหลุดยิ้มออกมา…..
เซี่ยเหล่ยมองเธอ “ขึ้นรถเถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่มหาวิทยาลัย”
“พี่…… ฉันขอโทษ” เซี่ยเสวียก้มหน้าลงนิดหน่อย
เซี่ยเหล่ยลูบหัวน้อง “เด็กโง่ ขอโทษพี่ทำไม เธอยังไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย พี่ไม่ได้คัดค้านไม่ให้หลงบิงสอนอะไรเธอหรอกนะ พี่แค่ให้เธอทำงานแบบนั้นไม่ได้ รู้ใช่มั้ย?”
“อื้ม รู้ ” เซี่ยเสวียยิ้ม
“จริงสิ ถ้าหลงบิงมาสอนเธออีกช่วงนี้ เธอบอกพี่ด้วยได้มั้ย?” เซี่ยเหล่ยนึกอะไรขึ้นได้
“ได้สิ ฉันจะคุยกับพี่ตอนฉันว่างแล้วนะ” เซี่ยเสวียกล่าว “เธอบอกว่าพี่น่าจะเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลกเลยแต่ฉันว่าเธอเว่อร์ไปหน่อยเพราะสำหรับฉันแล้วพี่น่ะเป็นคนบื้อตัวโตเลยแหละ”
“กล้าพูดแบบนี้กับพี่เหรอ?” เซี่ยเหล่ยตั้งใจจะโบกมือตีเซี่ยเสวียแต่เธอก็วิ่งหนีเขาไปนานแล้ว….
อเลน่ามองสองพี่น้องวิ่งไล่กันรอบรถด้วยรอยยิ้มก่อนจะถอนหายใจออกมา “คิดถึงบ้านอะไรขนาดนี้นะ………?”