Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - ตอนที่ 285
TXV – 282 คู่แข่งทางความรัก !
“เมื่อกี้นี้คุณไปไหนมา? “เฉินตูเทียนหยินถามเซี่ยเหล่ยเมื่อเขากลับมาที่ห้องโถง
เซี่ยเหล่ยตอบไปว่า “ผมไปเจอใครบางคนมา”
“ใครกัน?” เฉินตูเทียนหยินถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“กู๋เค่อเหวิน” เซี่ยเหล่ยพูดขึ้น
“ห๊ะ? ” เฉินตูเทียนหยินอุทานขึ้นอย่างแปลกใจ “กู๋เค่อเหวินอยู่ที่นี่ด้วยงั้นเหรอ แต่ฉันไม่ได้เชิญเธอมานะ”
เซี่ยเหล่ยพูดว่า “การที่เธอจะมาที่นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ก็อย่าไปว่าอะไรเธอเลย สภาพตอนนี้ของเธอดูแย่มาก เธอดูคล้ายกับคนบ้า !”
เฉินตูเทียนหยินยิ้มก่อนพูดขึ้นว่า “ตอนนี้เธอก็ดูเหมือนสุนัขที่สูญเสียครอบครัวไปว่าแต่เธอต้องการอะไรงั้นเหรอ? ”
“เธอต้องการที่จะร่วมมือกับผมในการแก้แค้นให้พ่อของเธอแต่ผมปฏิเสธเธอไปเพราะผมไม่อยากที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับเธออีก” เซี่ยเหล่ยพูด
“อืม…ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนกันหล่ะ? ฉันจะได้ให้คนไปตามเธอมา ฉันอยากจะเห็นเธอจริงๆว่าตอนนี้เธอจะยังจะเชิดหน้าชูตาอยู่อีกหรือป่าว?”
เซี่ยเหล่ยตอบว่า “ไม่ต้องหรอก เธอไม่น่าจะอยู่ที่นี่แล้ว”
เฉินตูเทียนหยินยิ้มก่อนพูดว่า “น่าเสียดายจริงๆ”
ในตอนที่เซี่ยเหล่ยและเฉินตูเทียนหยินกำลังคุยกันอยู่นั้น อันซูฮยอนก็คอยสังเกตทั้งคู่อยู่ตลอดจากนั้นเขาก็เดินมาใกล้เฉินตูเทียนหยินพร้อมพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มไปว่า “เทียนหยิน เป็นผู้ชายคนนี้งั้นเหรอ? “
เฉินตูเทียนหยินพูดแนะนำไปว่า “นี่คือเพื่อนของฉันชื่อว่าเซี่ยเหล่ย เขาเป็นผู้บริหารบริษัทอุตสาหกรรมอาชาสายฟ้า ส่วนเซี่ยเหล่ยนี่คือคุณอันซูฮยอนเป็นกรรมการอยู่ที่บริษัทก๊อดโดเมนในประเทศเกาหลีใต้แถมพ่อของเขาก็เป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียงด้วย”
อันซูฮยอนหันไปพูดกับเซี่ยเหล่ยว่า “บริษัทอุตสาหกรรมอาชาสายฟ้าทำเกี่ยวกับอะไรงั้นเหรอ? ผมไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”
เซี่ยเหล่ยตอบไปว่า “เป็นบริษัทเล็กๆที่งานส่วนใหญ่จะผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรสำเร็จรูป “
ทันทีที่ได้ยินเซี่ยเหล่ยตอบมาริมฝีปากของอันซูฮยอนที่ก่อนหน้านี้ยิ้มกว้างอยู่ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มน้อยลงทันที
ในเกาหลีใต้บริษัทก๊อดโดเมนถือเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากถึงแม้ว่าจะเทียบเคียงซัมซุงหรือฮุนไดไม่ได้แต่โดยรวมที่ผ่านมาในไม่กี่ปีมานี้การขยายตัวของบริษัทเป็นไปอย่างรวดเร็วซึ่งไม่นานในอนาคตคงจะสามารถเทียบเคียงซัมซุงหรือฮุนไดได้เลยและในจีนบริษันในเครือของเฉินตูก็ถือว่ายิ่งใหญ่และมีความสำคัญมากเช่นกันแต่ทำไมเทียนหยินถึงได้สนใจบริษัทเล็กๆกับผู้ชายคนนี้ได้กันนะเพราะแทบจะไม่มีคนรู้จักบริษัทนี้เลย
พวกเขามีสถานะที่แตกต่างกันมาก พวกเขาจะเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร?
“เทียนหยิน จะเต้นรำกับผมได้ไหม?” อันซูฮยอนโน้มตัวและก่อนหนึ่งครั้งแล้วยื่นมือออกไป
เฉินตูเทียนหยินมองไปที่เซี่ยเหล่ยก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “เหล่ย ฉันจะกลับมาคุยกับคุณทีหลัง” จากนั้นเธอก็ยื่นมือออกไป
เซี่ยเหล่ยพยักหน้าก่อนพูดขึ้นว่า “ไปเถอะ ไม่เป็นไรไปเต้นรำให้สนุกเถอะ”
อันซูฮยอนยื่นมือไปจับมือของเฉินตูเทียนหยินและพาเดินไปที่ลานเต้นรำเมื่อทั้งคู่เดินไปที่ลานเต้นรำ บรรดาแขกภายในงานก็ปรบมือให้กับทั้งคู่ บรรดาแขกภายในงานต่างก็คิดกันไปว่าเมื่อทั้งคู่ไปยืนอยู่ตรงล้านเต้นรำในตอนนี้ช่างเป็นคู่ที่เพอร์เฟ็คจริงๆหลายๆคนต่างอิจฉาพวกเขา
“คุณเซี่ย” มีเสียงเรียกจากด้านหลังของเซี่ยเหล่ย
เซี่ยเหล่ยมองย้อนกลับไปตามเสียงก็ทำให้เขาพบกับถู่ชิงหลง เซี่ยเหล่ยประหลาดใจเล็กน้อยก่อนพูดขึ้นว่า “สวัสดี ว่าแต่คุณรู้จักผมได้อย่างไร?”
ถู่ชิงหลงเดินเข้ามายืนอยู่ด้านข้างของเซี่ยเหล่ยจากนั้นก็มองไปที่อันซูฮยอน และเฉินตูเทียนหยินที่อยู่ในลานเต้นรำพร้อมพูดขึ้นว่า “คุณเซี่ย ผมรู้จักคุณก็ไม่แปลกหรอกเพราะเมื่อหนึ่งปีก่อนคุณได้ประกาศความสัมพันธ์กับเฉินตูเทียนหยินว่าเป็นคู่หมั้นกัน ผมซึ่งเป็นเพื่อนกับเฉินตูเทียนหยินก็ต้องรู้จักคุณเป็นธรรมดา “
“นั่นเป็นเรื่องเข้าใจผิด” เซี่ยเหล่ยพูด
“ผมรู้ว่ามันเป็นการแสดงใช่มั้ยหล่ะ” ถู่ชิงหลงพูด
เซี่ยเหล่ยเลือกที่จะยักไหล่ขึ้นหนึ่งครั้งแทนที่จะตอบเป็นคำพูด
“นี่คุณเซี่ย ผมชอบเฉินตูเทียนหยินมากแต่มันคงเป็นไปไม่ได้แต่ถ้าเป็นคุณ ผมมั่นใจว่าเธอจะต้องเลือกคุณ เธอไม่มีทางเลือกอันซูฮยอนอย่างแน่นอน” ถู่ชิงหลงพูด
เซี่ยเหล่ยพูดว่า “อะไรทำให้คุณมั่นใจแบบนั้นหล่ะ?”
ถู่ชิงหลงพูดต่อว่า “คุณเซี่ย ผมพอจะมองออกถึงแม้ว่าสุดท้ายเธอจะไม่ได้อยู่กับผมแต่ถ้าเธอได้อยู่กับคุณ ผมมั่นใจว่าเธอเลือกถูกคนแต่กับอันซูฮยอน เธอคงจะไม่มีความสุขแน่นอนคุณเข้าใจที่ผมพูดใช่มั้ย “
“คุณจะบอกว่าผมสามารถทำให้เฉินตูเทียนหยินมีความสุขได้อย่างนั้นเหรอ?” เซี่ยเหล่ยพูดขยายความ
ถู่ชิงหลงมองไปที่เซี่ยเหล่ยแล้วพูดขึ้นว่า “ผมรู้ว่าเทียนหยินชอบคุณและถ้าคุณไม่ได้ซื่อบื่อจนเกินไป คุณก็คงจะรู้ตัวเหมือนกันดังนั้นผมสนับสนุนคุณเต็มที่ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือในเรื่องนี้บอกผมได้เลย “
“ฮ่าฮ่า …… ” เซี่ยเหล่ยหัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดต่อว่า “ขอบคุณ”
ความต้องการที่แท้จริงของถู่ชิงหลงคือไม่ต้องการให้อันซูฮยอนลงเอยกับคนที่เขารักดังนั้นเขาเลยเลือกที่จะส่งเสริมเซี่ยเหล่ยมากกว่าอย่างไรก็ตามหลังจากสิ่งที่หลางซือเหยาได้ทำกับเซี่ยเหล่ยนั้นทำให้เขาระมัดระวังตัวในเรื่องนี้เป็นอย่างมากเพราะเขากลัวที่จะต้องเจ็บปวดแบบครั้งนั้น
ถู่ชิงหลงมองไปที่เซี่ยเหล่ยจากนั้นก็มองที่อันซูฮยอนที่อยู่ในลานเต้นรำจากนั้นก็พูดขึ้นอย่างอึดอัดใจว่า “คุณเซี่ย… ผู้ชายคนนั้น….”
เซี่ยเหล่ยพูดขัดจังหวะถู่ชิงหลงทันทีพร้อมพูดขึ้นว่า “ผมว่าเราอย่ามาคุยกันในเรื่องของอันซูฮยอนเลยดีกว่า เรามาคุยกันเรื่องธุรกิจกันเถอะ”
ถู่ชิงหลงที่รู้สึกประหลาดใจจึงถามออกไปว่า “ผมเป็นนักกีฬาอาชีพ ไม่ใช่นักธุรกิจแล้วคุณจะพูดเรื่องธุรกิจอะไรกับผมล่ะ?”
เซี่ยเหล่ยพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า “กล้ามเนื้อของคุณมันสวยงามและดูดีเป็นอย่างมากบริษัทของผม ‘อุตสาหกรรมอาชาสายฟ้า’ ก็มีสเก็ตบอร์ดอัตโนมัติเป็นสินค้าหลักแต่ยังขาดแอมบาสเดอร์ในการพรีเซ้นต์ดังนั้นคุณสนใจที่จะมาร่วมงานกับเรามั้ย?”
ถู่ชิงหลงหัวเราะขึ้นมาก่อนพูดว่า “คุณเซี่ย ผมไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดีแต่ถ้าคุณได้ลงเอยกับเฉินตูเทียนหยินแล้ว คุณยังจะหาเงินไปอีกทำไมกัน? “
เซี่ยเหล่ยพูดว่า “สมมติว่าผมและเฉินตูเทียนหยินได้ลงเอยกันในที่สุดจริงแต่ผมก็จะไม่ใช้เงินของเธอซักหยวนเลย ผมเป็นผู้ชาย ผมจะหาเงินของผมเอง “
“เป็นคำพูดที่ดี ถ้างั้นผมจะเป็นคนพรีเซ้นสินค้าของคุณแต่….ค่าตัวผมก็ไม่ถูกหรอกนะ ผมคิดที่ 5 ล้านหยวน” ถู่ชิงหลงพูดขึ้นอย่างเรียบง่าย
เซี่ยเหล่ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “3 ล้าน…ถือว่ากำลังดี”
“คุณนี่หัวการค้าซะจริงๆ สามล้านก็สามล้าน” ถู่ชิงหลงพูด
เซี่ยเหล่ยพูดต่อว่า “พรุ่งนี้ผมจะให้คนของผมติดต่อคุณไป เธอชื่อว่ากวนหลิงชาน เธอจะเป็นคนรับผิดชอบในเรื่องนี้” เซี่ยเหล่ยพูดจบก็ยื่นมือออกไปเพื่อที่จะจับมือกับเขาพร้อมพูดขึ้นต่อว่า “คุณถู่ ยินดีที่ได้ร่วมงานกัน”
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกัน” ถู่ชิงหลงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มพร้อมยื่นมือออกไปจับมือเซี่ยเหล่ยเช่นกัน
สำหรับเรื่องนี้ถือว่าเป็นกำไรของเซี่ยเหล่ยอย่างมากเพราะเขาต้องการที่จะหาแอมบาสเดอร์ที่จะมาพรีเซ้นสินค้าหลักของบริษัทอุตสาหกรรมอาชาสายฟ้าอยู่แล้ว และการที่ได้ถู่ชิงหลงมารับหน้าที่นี้ก็เป็นการแก้ปัญหาที่ดีมากเพราะสเก็ตบอร์ดอัตโนมัตินี้ได้นักกีฬาดาวเด่นมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ มันจะต้องได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นแน่นอน
เมื่อเพลงจบทั้งเฉินตูเทียนหยินและอันซูฮยอนเดินตรงกลับมาที่เดิม…..
“พวกคุณรู้จักกันงั้นเหรอ?” เฉินตูเทียนหยินพูดขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะเห็นว่าเซี่ยเหล่ยและถู่ชิงหลงกำลังพูดคุยกันอยู่
อันซูฮยอนมองไปที่เซี่ยเหล่ยและถู่ชิงหลงจากนั้นก็ทำท่าครุ่นคิดอยู่เงียบๆ
“เราเพิ่งรู้จักกัน” ถู่ชิงหลงพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มและพูดต่อว่า “เทียนหยิน เต้นรำกับผมได้มั้ย?”
เฉินตูเทียนหยินเปลี่ยนท่าทีในทันทีที่ถู่ชิงหลงพูดจบเพราะเธอไม่ต้องการที่จะเต้นรำกับเขาในความเป็นจริงกับอันซูฮยอนก็เหมือนกันแต่ที่เธอยอมเต้นด้วยก็เพราะว่าบริษัทเหวี้ยนเทียนของเธอกับบริษัทก๊อดโดเมนของเขานั้นกำลังร่วมงานกันอยู่นั่นจึงทำให้เธอไม่มีทางเลือกจึงต้องออกไปเต้นรำด้วย
เมื่อเห็นท่าทีของเฉินตูเทียนหยิน อันซูฮยอนก็ยิ้มเยาะเย้ยขึ้นที่มุมปากทันที
ถู่ชิงหลงก็รู้สึกอึดอัดใจเหมือนกันกับท่าทางที่เฉินตูเทียนหยินทำกับเขา นั่นทำให้เขาทำตัวไม่ถูกว่าจะต้องทำอย่างไรต่อดีในสถานการณ์แบบนี้
ในความเป็นจริงตอนนี้เฉินตูเทียนหยินต้องการที่จะเต้นรำกับเซี่ยเหล่ยแต่เขาไม่ยอมชวนเธอซักที
การที่เซี่ยเหล่ยไม่ชวนเธอนั้นทำให้เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่หลังจากนั้นไม่นานจากนั้นเธอก็พูดขึ้นว่า “ตกลง เราไปเต้นรำกัน”
เมื่อได้ยินคำตอบจากเฉินตูเทียนหยินก็ทำให้ถู่ชิงหลงดีใจเป็นอย่างมาก
ในตอนนี้ทั้งคู่กำลังเดินเข้าไปที่ลานเต้นรำ
อันซูฮยอนที่ยืนอยู่ด้านข้างของเซี่ยเหล่ยมองไปที่เฉินตูเทียนหยินและถู่ชิงหลง จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างไม่แยแสว่า “คุณเซี่ย คุณต้องการที่จะเต้นรำมั้ย ผมจะแนะนำคนให้”
“ขอบคุณครับ แต่ผมไม่ต้องการ” เซี่ยเหล่ยตอบ
“ไม่ต้องสุภาพกับผมมากก็ได้ เพื่อนของเทียนหยินก็คือเพื่อนของผมเหมือนกัน” อันซูฮยอนพูด
ด้วยประโยคนี้ของอันซูฮยอนทำให้เซี่ยเหล่ยรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อยเพราะเมื่อเขามองไปที่อันซูฮยอนนั่นทำให้เซี่ยเหล่ยรู้สึกถึงกลิ่นอายของกู๋เค่อหวู่ออกมาจากตัวของเขาและวิธีการของอันซูฮยอนก็คล้ายกับวิธีการที่ตระกูลกู๋ใช้
จากเรื่องนี้ทำให้เซี่ยเหล่ยคิดขึ้นในใจไปว่า ‘มันตลกสิ้นดี ก่อนหน้านี้เราได้เข้าไปวุ่นวายและจัดการความสัมพันธ์ของเฉินตูเทียนหยินและกู๋เค่อหวู่ จนมาตอนนี้เราก็คงจะต้องจัดการกับอันซูฮยอนอีกครั้งแน่ๆ เห้อ…คงต้องเหนื่อยอีกแล้วสินะ’
เซี่ยเหล่ยคิดในใจแบบนี้เพราะเห็นท่าทีของเฉินตูเทียนหยินที่มีต่ออันซูฮยอน และเดาไปว่าเธอคงจะต้องขอให้ช่วยกันอันซูฮยอนออกไปอีกแน่นอน
“คุณเซี่ย ผมได้ยินมาว่าคุณรู้จักกับเทียนหยินมาซักพักนึงแล้วใช่มั้ย?” อันซูฮยอนถาม
เซี่ยเหล่ยตอบไปว่า “ก็ใช่ แต่ช่วงเวลาไหนผมจำไม่ได้เอาเป็นว่าถ้าคุณสงสัยอะไรให้ไปถามเทียนหยินเองจะดีกว่า ตอนนี้ผมขอตัวก่อน “
เซี่ยเหล่ยหันหลังและเดินจากไปทันที…..