Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - ตอนที่ 300
TXV – 300 ร่องรอย !
ในที่สุดฝนก็หยุดตกเมื่อเริ่มเข้าสู่รุ่งสาง หมอกหนาทึบยังคงลอยตัวปกคลุมป่าอยู่ทำให้ระยะการมองเห็นเหลือเพียงไม่กี่เมตรเสียงนกร้องปลุกให้ชายหญิงคู่หนึ่งบนเตียงหญ้าตื่นขึ้นมา
ทั้งสองคนได้ยินเสียงนกร้องพร้อมกัน ลืมตาขึ้นมาพร้อมกันและเห็นกันและกันในเวลาเดียวกันสายตาทั้งสองคู่ประสานพอดี ถ่างหยู่เหยี่ยมองหน้าเซี่ยเหล่ยที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม เธอเพิ่งรู้ตัวว่าเธอนอนหนุนแขนเขามาทั้งคืนแขนข้างหนึ่งของเขายังโอบเอวเธออยู่ในขณะที่อีกข้างหนึ่งก็ยังทำหน้าที่เป็นหมอนให้เธอไปด้วย
ถ้าทั้งสองคนเป็นสามีภรรยากัน ท่านอนในตอนนี้ก็คงจะเป็นท่าสวีทหวานแหววกันใช้ได้ แต่ปัญหาคือทั้งสองคนไม่ใช่คู่แต่งงานกันนี่สิ ไม่ใช่แม้แต่คู่รักกันเลยด้วยซ้ำ
เซี่ยเหล่ยรีบดึงแขนตัวเองออกมาแล้วหันไปอีกทางพร้อมพูดอย่างกังวล “ผมไม่เห็นอะไรเลยนะ”
เพียงฟังจบประโยคถ่างหยู่เหยี่ยก็ไม่ได้พูดอะไรต่อแต่ส่งเท้ายันเน้นๆไปที่ก้นเซี่ยเหล่ย
“อ๊ากกก” เซี่ยเหล่ยร้องออกมาเมื่อโดนอีกคนยันเท้าลงที่แผลพอดี
แต่ถ่างหยู่เหยี่ยก็ยังรู้สึกอายอยู่ดีแทบอยากจะย้ำด้วยเท้าอีกข้างด้วยซ้ำสภาพเธอเป็นแบบนี้แล้ว เซี่ยเหล่ยยังจะพูดอีกว่าเขาไม่เห็นอะไรเลยนี่เขาเป็นคนตาบอดงั้นสิ?
ลูกถีบเมื่อครู่ทำเซี่ยเหล่ยเจ็บช้ำยันเส้นเลือดฝอยแต่เขาก็ไม่โกรธไม่ใช่เพราะเธอกำลังเป็นไข้ แต่เพราะเธอเป็นผู้หญิงและเขาเป็นผู้ชาย เซี่ยเหล่ยเดาใจคนอื่นถูกบ่อยก็จริงแต่การที่เธอเตะเขานี่เพราะอะไรกันนะ?
แต่ลูกถีบเมื่อครู่ดูเหมือนจะเป็นข้อสรุปที่ดีว่าเธอหายไข้เรียบร้อยแล้ว 10 นาทีต่อมา ทั้งสองคนก็ออกจากกระท่อมและเริ่มเดินทางในป่าลึกกันต่อเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ในมือถ่างหยู่เหยี่ยคอยทำหน้าที่เป็นเครื่องนำทางและคนทั้งคู่ก็เดินไปตามสัญญาณที่เครื่องระบุไว้
หมอกหนาที่ปกคลุมป่าอยู่ถือเป็นเรื่องดีของเซี่ยเหล่ยและถ่างหยู่เหยี่ยและมันแทบไม่กระทบกับความเร็วในการเดินของทั้งสองเลยแต่สำหรับชาวเฮ็ปตาไลท์ พวกเขาคงไล่ตามมาไม่ทันในสภาพอากาศที่มีหมอกหนาแบบนี้หรือต่อให้ใช้หมาล่าสัตว์มาช่วยตามกลิ่น กลิ่นอายความชื้นของอากาศก็ส่งผลกระทบต่อประสาทการรับกลิ่นของมันอยู่ดี
หมอกยังคงลอยตัวอยู่จนเกือบบ่ายถึงตอนนี้เซี่ยเหล่ยและถ่างหยู่เหยี่ยก็ใกล้จะถึงจุดที่เครื่องนำทางระบุพิกัดเอาไว้แล้ว
ตลอดการเดินเท้าวันนี้ ถ่างหยู่เหยี่ยไม่ได้พูดอะไรกับเซี่ยเหล่ยเลยเห็นได้ชัดว่าเธอยังโกรธเรื่องเมื่อคืนอยู่แต่เมื่อใกล้ถึงที่หมายในที่สุดเธอก็ปริปากพูดออกมา
“เราใกล้ถึงแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเป็นยังไงกันบ้าง คุณคิดว่าไง?” ถ่างหยู่เหยี่ยพูดพลางมองเซี่ยเหล่ย
“ไม่รู้สิ” เซี่ยเหล่ยส่ายหน้า
ถ่างหยู่เหยี่ยขมวดคิ้ว “นี่คุณ คุณเป็นคนฉลาดนะแต่คุณจะไม่ออกความเห็นอะไรหน่อยเหรอ? คุณยังเคืองที่ฉันเตะคุณเมื่อเช้านี้อยู่ใช่มั้ยล่ะ? คุณมันใจร้ายเกินไปแล้ว!”
เซี่ยเหล่ยลูบก้นตัวเองพลางเลิกคิ้ว “ก็คุณเตะที่แผลผมพอดีนี่ตอนนี้ยังเจ็บอยู่เลยนะ เมื่อคืนถ้าผมไม่ช่วยคุณไว้ ตอนนี้คุณคงเดินไม่ไหวแล้วล่ะนี่น่ะเหรอสิ่งตอบแทนของจิตใจที่ดีงามของผมน่ะ?”
“ห้ามพูดเรื่องเมื่อคืนนะ!” ถ่างหยู่เหยี่ยรีบพูดก่อนจะต่อยเน้นๆไปที่เขา
เซี่ยเหล่ยเอี้ยวหลบทันและยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “อย่าต่อยสิ ผมแค่พูดความจริงเท่านั้นเอง”
ถ่างหยู่เหยี่ยเก็บมือกลับมาและจ้องเซี่ยเหล่ยตาเขม็ง “ก็เหมือนกันนั่นแหละ”
ถ่างหยู่เหยี่ยเป็นคนร่าเริง ชอบมุกตลก นี่จึงเป็นเหตุผลที่เซี่ยเหล่ยอดแกล้งเธอกลับไม่ได้ เขาชอบท่าทีโมโหและเขินอายของเธอเอามากๆ
ระหว่างนั้นเซี่ยเหล่ยก็คิดอะไรในใจก่อนจะพูดออกมา “เราน่าจะมองข้ามประเด็นสำคัญอะไรไปบางอย่างนะ ที่นี่คือพื้นที่หลักของพวกเฮ็ปตาไลท์ ถ้าหนิงจิงและพวกผู้เชี่ยวชาญคนอื่นมีการเคลื่อนไหวที่นี่ คุณคิดว่าพวกเขาจะไม่รู้เหรอ?”
“คุณหมายความว่า……ทุกคนถูกจับตัวไว้งั้นเหรอ?”
“ก็เป็นความเป็นไปได้ ถ้าเรารู้จุดประสงค์ของทีมผู้เชี่ยวชาญก็คงจะดีกว่านี้” เซี่ยเหล่ยกล่าวพลางมองถ่างหยู่เหยี่ย “เอาล่ะ คุณบอกผมสิว่าพวกเขามาทำอะไรที่นี่?”
“อย่าถามฉันเลย เพราะฉันก็ไม่รู้จริงๆเหมือนกัน ฉันมาที่นี่เพื่อทำภารกิจไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับงานวิจัยของพวกเขาและฉันก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นด้วย”
“ถ้าพวกเขาถูกจับตัวไปล่ะ เราจะทำยังไงกันดี?” เซี่ยเหล่ยถาม
ถ่างหยู่เหยี่ยตอบ “พยายามขโมยโทรศัพท์ดาวเทียมของเรากลับมาก่อน แล้วค่อยขอความช่วยเหลือ”
เซี่ยเหล่ยนึกไปถึงผู้หญิงชาวเฮ็ปตาไลท์สองคนที่ดูคล้ายกับอสูรร้ายและยิ้มแห้งออกมาโดยอัตโนมัติจะเข้าไปในดงเผ่าเฮ็ปตาไลท์เพื่อขโมยโทรศัพท์ดาวเทียมมาเนี่ยนะ? หาเรื่องตายชัดๆ
บทสนทนาของทั้งสองคนไม่ทำให้ได้เรื่องอะไรเพิ่มมาแต่ตอนนี้ระยะการมองเห็นของพวกเขาก็ชัดเจนแล้ว ต้นไม้ในป่าทึบหายไปจากสายตาปรากฏพื้นที่โล่งตรงหน้า สุดขอบนั่นเป็นตีนเขาที่ลาดลงมา แสงอาทิตย์ทำให้หิมะขาวบนยอดเขาส่องวิบวับเหมือนคริสตัล ทำให้ภาพเบื้องหน้าสวยงามราวกับเป็นภาพวาด….
เซี่ยเหล่ยเริ่มใช้ตาซ้ายสำรวจพื้นที่ตรงหน้าภาพหินแตกหักปรากฏขึ้นในสายตาเขา แวบแรกเขาคิดว่ามันเป็นแค่หินก้อนหนึ่งแต่เมื่อมองดีๆแล้วจึงเห็นว่าหินพวกนั้นมีเค้าของเมืองอยู่ด้วยที่นั่นมีบางส่วนที่ยังไม่พังทลายพอระบุได้ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างและในที่สุดเซี่ยเหล่ยก็ได้ข้อสรุปว่าที่นั่นเป็นเมืองเก่าแต่พังทลายไปกลายเป็นโบราณสถานไปแล้ว
การค้นพบนี้ทำให้เซี่ยเหล่ยตื่นเต้น เขารีบเอาเครื่องระบุพิกัดจากถ่างหยู่หยี่ยมาและผลบนจอของมันก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วสัญญาณนั่นมาจากที่เมืองหินโบราณนี่เอง
“คุณเจออะไรเหรอ?” ถ่างหยู่เหยี่ยถามขึ้นแม้เธอไม่ได้มีสายตาแบบเซี่ยเหล่ย แต่ความช่างสังเกตก็ทำให้เธอรู้ได้ไม่ยาก
เซี่ยเหล่ยชี้ไปข้างหน้า “ดูเหมือนข้างหน้าจะมีเมืองโบราณนะ สัญญาณมาจากตรงนี้แหละ”
ถ่างหยู่เหยี่ยรีบคว้าเครื่องระบุพิกัดกลับมาจากมือเซี่ยเหล่ย เธอเองก็เริ่มตื่นเต้นแล้วเช่นกัน “ตรงนั้นแหละ ไปดูกันเถอะ!”
แต่เซี่ยเหล่ยยังไม่ขยับไปไหน “ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราอยู่ที่นั่น พวกเฮ็ปตาไลท์จะใจดีกับเรามั้ยนะ?”
ถ่างหยู่เหยี่ยพูดอย่างใจเย็น “เอาสไนเปอร์ไรเฟิลมาให้ฉันที ฉันจะใช้กล้องหน่อย ให้ตายสิ กล้องส่องทางไกลฉันดันโดนผู้หญิงป่าเถื่อนพวกนั้นขโมยไปซะได้”
เซี่ยเหล่ยไม่ได้ส่งปืนไปแต่ส่งแค่ตัวกล้องให้เธอเพราะสำหรับเซี่ยเหล่ยแล้วมันก็แค่เครื่องประดับที่เขาไม่จำเป็นต้องใช้…..
ถ่างหยู่เหยี่ยไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่รับกล้องไปส่องมองสำรวจพื้นที่ตรงหน้า
เซี่ยเหล่ยคิดในใจ ‘ที่นี่ให้ความรู้สึกแปลกๆยังไงชอบกล เรายังไม่รู้อะไรแน่ชัดเลยถ้าบุ่มบ่ามเข้าไปแล้วเกิดพวกเฮ็ปตาไลท์วางกับดักเอาไว้ นั่นก็ไม่ต่างจากการเอาชีวิตไปทิ้งเล่นๆเลยไม่ใช่เหรอ?…… เดี๋ยว เราลืมพ่อเราไปได้ไง เขาต้องรู้อะไรแน่ๆ เขาส่งโน้ตมาให้เราแล้วมันเกี่ยวอะไรกับชนเผ่าเฮ็ปตาไลท์ล่ะ…… ?’
หลังจากเซี่ยฉางห่ายยอมให้เซี่ยเหล่ยมาที่เผ่าเฮ็ปตาไลท์แล้ว เขายังส่งสาวรัสเซียอย่างเยลเลน่ามาหาเซี่ยเหล่ยพร้อมกับข้อความอีกด้วย
เมื่อคืนก่อนเป็นโอกาสที่ดีมากๆที่จะออกมาเจอเธอ แต่เพราะตอนนั้นถ่างหยู่เหยี่ยเองก็อยู่ด้วย ทำให้เซี่ยเหล่ยออกมาพบเยลเลน่าไม่ได้
“หยู่เหยี่ย คุณดูลาดเลาอยู่ตรงนี้นะ ผมจะไปสำรวจที่อื่นรอบๆหน่อย แล้วเราค่อยมาเจอกันในอีกครึ่งชั่วโมงนะ” เซี่ยเหล่ยตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
ได้เวลาไปหาเยลเลน่าแล้ว
ถ่างหยู่เหยี่ยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อื้ม แล้วเจอกันอีกครึ่งชั่วโมง ถ้าคุณเจอพวกเฮ็ปตาไลท์ก็อย่าบุ่มบ่ามไปล่ะ พยายามเลี่ยงพวกเธอไว้”
“คุณด้วยนะ ระวังตัวด้วย” เซี่ยเหล่ยตอบ
จู่ๆถ่างหยู่เหยี่ยก็เดินเข้าไปหาเซี่ยเหล่ยแล้วกอดเขาก่อนจะกระซิบข้างหู “อย่าตายล่ะ ฉันรอคิดบัญชีกับคุณอยู่นะ”
เซี่ยเหล่ยยิ้ม เธอคิดเรื่องการคิดบัญชีอะไรสักอย่างกับเขาอยู่เรื่องนั้นเซี่ยเหล่ยรู้ดีอยู่แล้วเพียงแต่บัญชีที่ว่าออกจะกำกวมไปหน่อยไม่รู้ว่าเป็นบัญชีเรื่องอะไรเซี่ยเหล่ยจึงไม่รู้ว่าเธอจะทำอะไรกับเขาบ้าง
หลังจากนั้นเซี่ยเหล่ยก็เดินหายเข้าไปในป่าด้านหลังอย่างรวดเร็ว
ถ่างหยู่เหยี่ยส่องกล้องสไนเปอร์ไรเฟิลหาร่องรอยต่อแต่ส่องได้ครั้งหนึ่งก็นึกขึ้นได้ “อุ๊ย กล้องเขาอยู่กับเรานี่นา เขาต้อง……” ถ่างหยู่เหยี่ยหันหลังกลับไปมองเซี่ยเหล่ยแต่สิ่งที่เธอเห็นก็มีแต่ป่ารกทึบเท่านั้น
ด้านในป่าความเร็วของเซี่ยเหล่ยไม่ได้มากนัก เขาเดินอย่างระมัดระวังและทำเสียงนกไปด้วยตั้งใจจะเรียกเยลเลน่าด้วยวิธีนี้
ผ่านไป 10 นาที ในที่สุดเซี่ยเหล่ยก็ได้รับการตอบกลับแล้ว
“กู๋ กู๋ กู๋……” เสียงที่เหมือนจะเป็นเสียงนกฮูกดังตอบกลับมา ซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้หญิงเสียด้วย
เพียงได้ยินแค่นั้นเซี่ยเหล่ยก็ยิ้มออก เขาเดินตามเสียงไประหว่างเดินก็ใช้ตาซ้ายมองไปด้วยภาพทุกอย่างปรากฏขึ้นในสายตาเขาแม้แต่มดที่ไต่อยู่ตามต้นไม้ นกบนกิ่งไม้ และงูที่ซุ่มอยู่ตามพื้นหญ้าก็หนีไม่พ้นการมองเห็นของเซี่ยเหล่ย
ไม่นานนักเซี่ยเหล่ยก็มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นคนของเซี่ยฉางห่าย เยลเลน่านั่นเอง เธอกำลังหลบอยู่บนต้นไม้และสอดส่องรอบๆด้วยความระวังเมื่อเธอเห็นเขา เยลเลน่าก็ไต่ลงมาจากต้นไม้ที่ซ่อนของเธอ
“เมื่อคืนฉันรอคุณทั้งคืนเลยนะ!” เยลเลน่าบ่นเมื่อเธอเจอเซี่ยเหล่ยแล้ว “คุณให้ฉันตากฝนอยู่ทั้งคืน แต่คุณกลับนอนกอดผู้หญิงในกระท่อมสบายใจเฉิบ! ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อคุณขอมาฉันคงปาระเบิดเข้ากระท่อมนั่นไปแล้ว”
ส่วนคนฟังอย่างเซี่ยเหล่ยได้แต่ยิ้มแห้ง “ผมขอโทษนะ แต่เธอเป็นไข้ ผมทิ้งเธอไว้ที่นั่นคนเดียวไม่ได้จริงๆ”
เยลเลน่าแค่นยิ้ม “กอดเธอหนำใจเลยสิเมื่อคืนน่ะ? คุณทิ้งฉัน”
เซี่ยเหล่ยพูดไม่ออกและรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก
“ช่างเถอะ ฉันจะสนแค่งานพ่อคุณก็พอ ฉันไม่ทะเลาะกับคุณแล้ว” เยลเลน่ากล่าว “แผนคุณว่าไง?”
“ช่วยผู้เชี่ยวชาญที่ถูกจับตัวไว้ แล้วก็กลับ” เซี่ยเหล่ยตอบแบบไม่ปิดบังอะไรทั้งสิ้น “แล้วพ่อผมล่ะ?”
“อยากเจอเขามั้ย?”
“แน่อยู่แล้ว บอกผมหน่อยสิว่าตอนนี้เขาอยู่ไหน?”
“ฉันบอกไม่ได้แต่ตอนนี้คุณไม่ปลอดภัย พ่อคุณเองก็ไม่ปลอดภัยเหมือนกัน ตอนแรกเขาก็ควบคุมสถานการณ์ได้อยู่แหละ จนกระทั่งคุณปรากฏตัวขึ้นสถานการณ์พ่อคุณก็เลยแย่ลงไปอีก”
“ตัวตนของเขาเป็นใครกันแน่? คุณเองก็ด้วย?” เซี่ยเหล่ยเริ่มคุมอารมณ์ไม่อยู่ เขาแทบรอรู้ความจริงไม่ไหวแล้ว
เยลเลน่าเงียบไปครู่หนึ่ง “เราเป็นเอเจนต์อิสระ”
สถานะนี้เป็นสถานะเดียวกันกับหลางซือเหยาซึ่งนี่ก็เป็นคำตอบเดียวที่เซี่ยเหล่ยไม่พอใจนักเช่นกัน คำตอบนี้ทำให้ความโกรธที่ระบุชื่อไม่ได้เกิดขึ้นในใจเซี่ยเหล่ย “งั้นถ้าเขาไม่อยากเจอผม แล้วเขาจะส่งคุณมาทำไม? มาคุยกับผมเฉยๆงั้นเหรอ?”
เยลเลน่ามองเซี่ยเหล่ย “คุณมันเด็กหัวรั้น คุณน่าจะได้รู้สถานการณ์พ่อคุณตอนนี้นะ เขาเป็นพ่อคุณ ทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่อคุณนี่มันยังไม่พอให้คุณเข้าใจและให้อภัยเขาอีกเหรอ?”
ติดตามตอนต่อไป………..