Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - ตอนที่ 304
TXV – 304 ความลึกลับของเข็มทิศ !
แม่น้ำที่ไหลอยู่ที่นี่ใสอย่างมาก มันสามารถมองลงไปเห็นภายในน้ำได้ค่อนข้างที่จะชัดเจน เซี่ยเหล่ยตอนนี้มายืนอยู่ด้านข้างและโยนหินลงไปนั่นทำให้เซี่ยเหล่ยเห็นทั้งปลาและปลาหมึกมากมายว่ายหนีจุดที่หินตกลงไป ดูเหมือนว่าคนที่นี่จะไม่ค่อยกินปลาและปลาหมึกกันซักเท่าไหร่
“ฉันชื่นชมคุณจริงๆ แม้แต่ในเวลานี้คุณยังมีกะจิตกะใจเล่นปาหินลงน้ำได้อยู่” เสียงของหนิงจิงที่เปล่งออกมาพร้อมหันไปมองที่เซี่ยเหล่ย
เซี่ยเหล่ยหันมายิ้มแล้วก็พูดขึ้นว่า “จะมีความสุขหนึ่งนาทีหรือมีความทุกข์หนึ่งนาทีก็ไม่ต่างกันแล้วเราจะเศร้าทำไมในช่วงหนึ่งนาทีนั้น ผมเคยพูดว่าจะพาคุณออกไปจากที่นี่ มั่นใจได้เลยว่ามันจะไม่มีให้เป็นกังวลได้อีก “
“คุณ …… ” หนิงจิงพูดขึ้นเธอลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า “นี่ คุณมาเพื่อช่วยฉันโดยเฉพาะเลยงั้นเหรอ?”
“อืม ผมรู้ว่าคุณติดอยู่ที่นี่ ผมจึงมาช่วย” เซี่ยเหล่ยพูดขึ้นและพูดต่อว่า”แน่นอนนักวิจัยคนอื่นๆด้วย พวกเขาเป็นนักวิจัยที่สำคัญสำหรับประเทศเรา “
“ฉันคิดว่าฉันคงจะตายที่นี่เสียแล้ว……แต่เพราะคุณมา…” หนิงจิงพูดขึ้นและเข้าไปกอดเซี่ยเหล่ยจากด้านหลัง
เซี่ยเหล่ยในตอนนี้ยืนแข็งทื่อและปล่อยให้หนิงจิงกอดอยู่อย่างนั้น ภายในใจของเซี่ยเหล่ยรู้สึกแปลกๆเล็กน้อยและก็รู้สึกอายเล็กน้อยด้วยเช่นกันในความเป็นจริงทั้งคู่เป็นแค่เพื่อนกันแต่เซี่ยเหล่ยก็ยืนให้เธอกอดอยู่อย่างนั้นเพราะคิดว่าเธอคงต้องการกำลังใจ
หนิงจิงเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารมาก เธอต้องการมีชีวิตที่ดีในแบบของเธอแต่เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้
ด้านหลังของทั้งเซี่ยเหล่ยและหนิงจิงตอนนี้มีคนคอยเฝ้าอยู่สองคนแต่พวกเธอไม่ได้มาห้ามอะไรในสิ่งที่ทั้งคู่กำลังทำ ดูเหมือนพวกเธอจะให้อิสระกับทั้งเซี่ยเหล่ยและ หนิงจิงอยู่พอสมควรดังนั้นตอนนี้พวกเธอได้แต่มองไปทางอื่น
“ว่าแต่น้องหนิงบอกมาได้ไหมว่ามาทำอะไรกันที่นี่และมาเพื่ออะไรกันแน่” เซี่ยเหล่ยถามออกไปนี่คือสิ่งที่เขาอยากรู้ เขาคิดว่าถ้าไปถามนักวิจัยคนอื่นอาจจะไม่ได้ความจริงทั้งหมดนี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เซี่ยเหล่ยเลือกที่จะถามหนิงจิงเพราะคิดว่าเธอคงจะไม่โกหกเขา
“นั่งลงก่อน แล้วฉันจะเล่าให้ฟัง” หนิงจิงพูดพร้อมนั่งลงข้างแม่น้ำ
เซี่ยเหล่ยเองก็นั่งลง ซึ่งเขานั่งใกล้ๆกับหนิงจิง
หนิงจิงเอนหัวไปที่ไหล่ของเซี่ยเหล่ยจากนั้นก็เริ่มพูดขึ้นช้าๆว่า “คุณจำเข็มทิศที่คุณซ่อมได้มั้ย?”
เซี่ยเหล่ยตกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า “จำได้สิแต่การที่คุณติดอยู่ที่นี่ …… จะเกี่ยวกับเข็มทิศได้ยังไง ? “
ในความเป็นจริงเซี่ยเหล่ยเกือบที่จะลืมเรื่องที่เขาเคยซ่อมเข็มทิศไปแล้ว เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเรื่องที่เขาทำในตอนนั้นจะส่งผลมาถึงเหตุการณ์ในตอนนี้!
“เรื่องมันเป็นแบบนี้” หนิงจิงพูดต่อว่า “เมื่อ 1 เดือนที่แล้วฉันได้รับคัดเลือกให้เป็นทีมพิเศษของนักวิจัยในช่วงเวลาเริ่มต้นฉันยังไม่รู้เลยว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับเข็มทิศนั่นยังไง ฉันเพิ่งมารู้ในภายหลังแล้วว่าพวกเขาใช้เข็มทิศเพื่อค้นหาสถานที่และสิ่งของ”
“มันคืออะไร?” เซี่ยเหล่ยถาม
“ตอนนี้ฉันเคยเห็นมันแค่ครั้งเดียว มันเป็นโลหะที่มีลักษณะค่อนข้างจะแปลก ทั้งๆที่โลหะชนิดนั้นไม่มีการทาสีแม้แต่น้อยแต่สีของมันกลับมีสีที่ออกโทนเขียว ” หนิงจิงพูดต่อว่า “แล้วด้านข้างของมันก็ยังมีตัวอักษรสองตัวติดอยู่ด้วย…. “
เซี่ยเหล่ยไม่สามารถหยุดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองได้ จึงขัดจังหวะถามออกไปว่า “มันคือตัวอักษรอะไร?”
“AE” หนิงจิงตอบ
จากสิ่งที่ได้ยินมานี้ทำให้เซี่ยเหล่ยรู้สึกตกใจอย่างมากที่สุด
หนิงจิงในตอนนี้ไม่ได้สังเกตเห็นถึงท่าทางของเซี่ยเหล่ยที่เปลี่ยนแปลงไปเลย เธอยังคงพูดต่อไปว่า “นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะอธิบายได้ยาก มีนักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์วัสดุในกลุ่มนักวิจัยของเราแต่ตอนแรกเขาก็ไม่รู้ว่ามันเป็นโลหะ จนในที่สุดมติในที่ประชุมก็ออกมาเป็นเอกฉันท์ว่ามันคือโลหะซึ่งเป็นโลหะพิเศษที่มีความแข็งแรงทนทาน มีความเหนียวและน้ำหนักเบาดังนั้นสิ่งนี้จึงจำเป็นสำหรับการผลิตวัสดุสำหรับยานอวกาศ “
ตอนนี้เซี่ยเหล่ยค่อยๆสงบจิตใจแล้วพูดขึ้นว่า “นั่นคือเข็มทิศของราชวงศ์หมิง แล้วมันจะนำทางนักวิจัยไปหาชิ้นส่วนโลหะได้อย่างไร…….นี่มันอะไรกัน” เซี่ยเหล่ยยิ้มกับตัวเองและคิดต่อไปว่า “มันคือชิ้นส่วนนอกโลกงั้นเหรอ? สิ่งที่ค้นพบโดยกลุ่มนักวิจัยคือส่วนหนึ่งของยานอวกาศของเอเลี่ยนที่ปรากฏตัวในราชวงศ์หมิงงั้นเหรอ? นี่มันอะไรกันแน่พวกเขาคิดอะไรกันอยู่ “
หนิงจิงเงียบก่อนจะมองไปที่เซี่ยเหล่ยแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันคิดว่าที่คุณพูดมานั้นคงจะเกินจริงไปหน่อยดูเหมือนมันไม่น่าจะเป็นแบบนั้น มันน่าจะเป็นสิ่งที่ถูกถลุงมาตั้งแต่1400ปีก่อนหน้านี้จนมาถึงปัจจุบัน มันเลยเปลี่ยนแปลงไปจนเป็นโลหะที่น่ามหัศจรรย์หรือไม่ก็อาจจะเป็นเทคนิคชั้นสูงหรือเทคนิคลับเฉพาะชนเผ่า เมื่อคิดแบบนี้ จะมีความเป็นไปได้มากกว่า”
“มีการทดลองถลุงแล้วด้วยงั้นเหรอ?” เซี่ยเหล่ยถาม
“ผลลัพธ์ทั้งหมดมันก็ยังไม่ค่อยชัดเจน” หนิงจิงพูดพร้อมแสดงท่าทางเหมือนกับว่าตัวเองก็กำลังสับสนอยู่ด้วยจากนั้นก็พูดขึ้นต่อว่า “เราศึกษาจากตัวหนังสือสองตัวที่เป็นภาษาอังกฤษโดยเราส่งไปยังประเทศอังกฤษเพื่อให้นักวิจัยของที่นั่นวิเคราะห์แต่ยังไม่ได้ผลที่แน่ชัด ส่วนเรื่องของเทคนิคการถลุงนั้นพวกเขาบอกว่านี่เป็นการถลุงแบบโบราณ พวกเขายังไม่รู้แน่ชัดเกี่ยวกับกรรมวิธีในการถลุงหรอกนะ “
“ใช้เราต้องใช้กรรมวิธีไหนหล่ะ?” ตอนนี้ในหัวของเซี่ยเหล่ยมีคำถามมากมายที่อยากจะถามออกมาเพราะเขาไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนนี่คือคำถามที่เขาเริ่มถามจากคำถามมากมายที่อยู่ในหัวตอนนี้
“ก็นั่นแหละ มันคือเหตุผลส่วนหนึ่งด้วยว่าทำไมเราถึงต้องจัดทีมนักวิจัยและมาปฏิบัติภารกิจกันถึงที่นี่เพราะถ้าเราเจอเบาะแสเพิ่มเติมและสุดท้ายเราประสบความสำเร็จในการหลอมและถลุงวัสดุนั้นขึ้นมาได้ ประเทศของเราก็จะอยู่เหนือประเทศต่างๆทั่วโลกในด้านอุตสาหกรรมโลหะและการผลิต มันจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเราเติบโตอย่างก้าวกระโดด “หนิงจิงพูดอย่างตื่นเต้น
“เดี๋ยวก่อนนะ ” เซี่ยเหล่ยพูดเหมือนกับว่าจู่ๆก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา “คุณหมายความว่าเข็มทิศนั่นหลังจากค้นพบชิ้นส่วนไปก่อนหน้านี้แล้วก็ชี้ไปยังสถานที่ใหม่ซึ่งก็คือที่นี่ ใช่หรือไม่”
“ใช่…มันนำเรามาที่นี่” หนิงจิงพูด
เซี่ยเหล่ยส่ายหัวพร้อมรอยยิ้มอย่างขมขื่นก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “นี่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ ผมเป็นคนซ่อมเข็มทิศอันนั้นเองผมรู้โครงสร้างของมันดี มันไม่ได้มีกลไลอัจฉริยะซ่อนอยู่ภายในเลย มันเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะเปลี่ยนทิศทางไปยังสถานที่ถัดไปได้ “
“คุณไม่รู้เรื่องนี้งั้นเหรอ?” หนิงจิงถามและเธอก็พูดต่อว่า “สิ่งที่เหล่านักวิจัยขุดพบไม่เพียงแต่เป็นโลหะสีเขียวเพียงแค่นั้น แต่พวกเขายังพบโบราณวัตถุที่มีค่ามากมายของราชวงศ์หมิงอีกด้วย “
เรื่องนี้ทำให้เซี่ยเหล่ยแปลกใจอย่างมาก
เซี่ยเหล่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “โบราณวัตถุที่คุณเห็น มีอะไรบ้างงั้นเหรอ?”
“ฉันได้เห็นส่วนหนึ่งแล้ว เพราะพวกเขาต้องการให้ฉันยืนยันบางสิ่งบางอย่างให้” หนิงจิงเงียบอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดต่อว่า “แต่หนังสือสำริดโบราณฉันยังไม่เคยเห็นมันจริงๆ แต่เคยเห็นจากรูปถ่าย”
“อะไรคือหนังสือสำริดโบราณ?” เซี่ยเหล่ยถาม
“หนังสือสำริดโบราณ เป็นหนังสือที่สวยมากแต่มันมีความแปลกประหลาด มันมีความบางอย่างไม่น่าชื่อถ้าเปรียบเทียบกับกระดาษในยุคปัจจุบัน ภายในมีหน้าไม่กี่หน้า มองผ่านๆน่าจะราวๆสิบสองแผ่นแต่ฉันก็ไม่รู้ข้อความข้างในหรอกนะเพราะฉันเห็นแค่ในรูปเท่านั้นยังไม่ได้เห็นของจริงเลย ” หนิงจิงพูดขึ้นพร้อมใบหน้าที่แสดงออกมาว่าค่อนข้างจะผิดหวังที่ไม่ได้เห็นหนังสือของจริง
“อาจจะมีข้อความสำคัญถูกบันทึกไว้ภายใน คุณไม่ได้ถามนักวิจัยคนอื่นๆงั้นเหรอ?” เซี่ยเหล่ยถามอย่างแปลกใจ
“ฉันเคยถามพวกเขาแล้ว พวกเขาก็ยังไม่ได้เห็นภายในเหมือนกัน “หนิงจิงพูดต่อว่า” หลังจากที่ขุดพบหนังสือเล่มนั้นแล้วเข็มทิศก็ชี้ไปยังสถานที่ใหม่ทันทีสถานที่ใหม่นั้นก็คือที่แห่งนี้ ในความเป็นจริงเรามีกองกำลังพิเศษมาด้วยหลายสิบคนแต่พวกเขาก็เสียชีวิตกันหมดแล้วหลังจากนั้นไม่นานฉันก็ได้ยินมาว่ายังมีกองกำลังกลุ่มใหม่พยายามจะมาช่วยพวกเราอีกแต่ก็ล้มเหลว จากสองครั้งที่ผ่านมาทำให้ฉันคิดว่าฉันคงจะต้องตายที่นี่เสียแล้วแต่ในขณะที่ฉันกำลังหมดหวังอยู่นั้น คุณก็ปรากฏตัวขึ้น คุณเป็นเหมือนกับแสงแห่งความหวังให้กับฉัน….”
เซี่ยเหล่ยตบไหล่หนิงจิงเบาๆจากนั้นก็พูดปลอดว่า “ผมอยู่ที่นี่แล้วไม่ต้องกลัวไปหรอกว่าแต่บอกได้ไหมว่าเข็มทิศที่นำทางมาที่นี่ คุณเจออะไรที่นี่งั้นเหรอ? “
“เราถูกจับได้ก่อนที่จะได้เริ่มทำการค้นหา นักวิจัยหลายคนต้องไปเป็นคนงานปลูกผักหรือไม่ก็เลี้ยงหมูเลี้ยงวัวส่วนฉันก็ถูกส่งไปเลี้ยงแกะคอยให้อาหารทำความสะอาดทั้งแกะและก็คอกแกะ ” หนิงจิงตอบ
“แล้วตอนนี้เข็มทิศอยู่ที่ไหน?” เซี่ยเหล่ยถาม
“ตอนนี้มันอยู่ในมือของผู้หญิงคนนั้นที่หน้าตาเหมือนเด็กสาว” หนิงจิงพูดต่อว่า “เธอได้ยึดเข็มทิศของฉันไป ฉันเคยพยายามที่จะขโมยกลับมาแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จไม่ว่ายังไงคุณต้องนำมันกลับมาให้ได้นะ เข็มทิศอันนี้มีความสำคัญมากๆ “
เทคโนโลยีถลุงโบราณนั้นเป็นสิ่งลึกลับในตอนนี้แถมมันยังมีผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างมากเมื่อเทียบกับเทคนิคการถลุงในยุคปัจจุบันซึ่งถ้ามีมันอยู่ในมือแล้วละก็การที่จะยิ่งใหญ่ในอุตสากรรมโลหะก็ไม่ไกลเกินเอื้อมเลยแต่อย่างไรก็ตามเมื่อคิดไปถึงช่วงที่เซี่ยเหล่ยต้องไปขโมยเข็มทิศกลับมาจากแคนลามี่นั่นก็ทำให้เขาปวดหัวในทันที เพราะสิ่งที่เซี่ยเหล่ยต้องการในตอนที่อยู่ที่นี่คือการหลีกเลี่ยงเธอให้ได้มากที่สุดแต่ตอนนี้กลับต้องไปถึงที่บ้านเธอเสียเองนี่มันจะเป็นเหมือนกับส่งอ้อยเข้าปากช้างหรือเปล่า?
“ตกลง ผมจะลองดู ” เซี่ยเหล่ยพูดพร้อมยิ้มมุมปากเล็กน้อยจากนั้นคิดในใจว่า “เข็มทิศของราชวงศ์หมิง เทคนิคการถลุงโบราณ จดหมาย AE …… และศูนย์วิจัย AE นั้นมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่นะ? นี่เป็นเรื่องบังเอิญงั้นเหรอ? โอ้พระเจ้า…ผลลัพธ์มันจะออกมาในรูปแบบไหนกันเนี่ย?”
“เช้าวันพรุ่งนี้คุณจะต้องออกเดินทางไปกับหัวหน้าคนนั้นแล้ว คุณยังจะกลับมาค้นหาที่นี่อีกใช่ไหม?” หนิงจิงถามขึ้นเพราะเธออยากจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้ว
“ถ้าคุณไม่ยอมแพ้ ผมคงอาจจะไม่ต้องกลับมาที่นี่อีกแต่ถ้าคุณยอมแพ้ ผมจะต้องกลับมาสานต่อในเรื่องที่คุณยอมแพ้ไปแล้วแต่อย่างไรก็ตามห้ามบอกเรื่องนี้กับใครเป็นอันขาดไม่อย่างนั้นพวกเราจะต้องตายอย่างแน่นอน ” เซี่ยเหล่ยพูดย้ำ
หนิงจิงตอบกลับไปอย่างเงียบๆว่า “ฉันจะไม่บอกใคร ตอนนี้คนในชนเผ่านี้คิดว่าการที่พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อจะค้นหาสมบัติทั่วไปก็เท่านั้น พวกเขายังไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเรา “
“โอเค ผมจะกลับไปบอกเรื่องนี้กับถ่างหยู่เหยี่ยด้วย” เซี่ยเหล่ยพูด
“อยู่ต่ออีกหน่อยได้ไหม?” หนิงจิงพูดขึ้น
“อืม ……ได้” เซี่ยเหล่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม เขาไม่อาจจะปฏิเสธของคำของเธอได้ เพราะเขารู้ว่าสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดตอนนี้คือความสบายใจและกำลังใจ
“ฉันขอยืมต้นขาของคุณนะ” หนิงจิงพูด
“เอ่อ…?” เซี่ยเหล่ยไม่เข้าใจที่หนิงจิงพูด
หนิงจิง ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมตอนนี้เธอได้วางหัวไปยังต้นขาของเซี่ยเหล่ย เพื่อใช้มันเป็นหมอนนี่เป็นสิ่งที่จะช่วยเพิ่มความสบายใจให้กับหนิงจิงได้มากขึ้น
ตอนนี้เซี่ยเหล่ยไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องของหนิงจิงแล้วเขามองไปที่แม่น้ำพร้อมกับพยายามคิดหาวิธีที่จะขโมยเข็มทิศในคืนนี้….
ติดตามตอนต่อไป…………..