Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - ตอนที่ 370 ท่าทางของผู้หญิง !
งานวิจัยในตอนนี้ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้แถมพวกเขายังสูญเสียสองนักวิทยาศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมระดับประเทศไปถึงสองคนนี่ถือเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
เซี่ยเหล่ยเองตอนนี้ก็ไม่สามารถออกไปไหนได้เนื่องจากบุคคลที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดถูกสงสัยว่าจะติดเชื้อกันทุกคนดังนั้นจึงต้องจำกัดพื้นที่เอาไว้เพียงแค่ที่นี่เท่านั้นที่ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับใครทั้งนั้น
หวางเหล่ยเป็นคนตัดสินใจให้ทำเช่นนี้ ตัวเขาเองก็ต้องอยู่ที่นี่และไม่สามารถออกไปไหนได้เหมือนกันแม้ว่าเขาสามารถจะออกไปรายงานสถานการณ์เรื่องนี้ได้แต่เขาก็ไม่ทำอย่างน้อยเรื่องนี้ก็ถือว่าเขาพอจะมีส่วนดีอยู่บ้าง
ในเมื่อไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้แล้วในตอนนี้ หลงบิงและเซี่ยเหล่ยก็ได้กลับไปยังห้องพักของตัวเอง หลงบิงรีบโทรไปรายงานกับฉือโบเหยิยนทันทีพร้อมกับเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง
ความตายของทั้งดร. เฉินเค่อเฉวียนและดร. รัซโซล นั้นภาพยังติดตาเซี่ยเหล่ยตลอดเวลา มันเหมือนกับวีดีโอที่เล่นซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆ เขา……
ก๊อก ก๊อก ก๊อก จู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ความคิดของเซี่ยเหล่ยถูกขัดจังหวะทันที เขากระพริบตาเล็กน้อยก่อนจะมองทะลุออกไปก็เห็นว่าเป็นหนิงจิงยืนอยู่หน้าประตู ตอนนี้หัวของเธอได้รับการปฐมพยาบาลเรียบร้อยแล้ว
”ถือเป็นเรื่องที่ดีมากที่เธอมาหาถึงที่ ไม่อย่างนั้นเราเองก็ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรไปหาเธอ” เซี่ยเหล่ยคิดในใจพร้อมกับเดินออกไปเปิดประตูให้กับเธอ
”ทำไมเดินมาถึงนี่ได้หล่ะ? มีอะไรงั้นเหรอ?” เซี่ยเหล่ยถามลวกๆ
”ตอนนี้ที่นี่ถูกประกาศให้เป็นพื้นที่สีแดง พวกเราไม่สามารถไปไหนได้และต้องกลับไปรวมตัวกันที่ห้องปฏิบัติการห้องทดลอง” หนิงจิงพูดพร้อมเดินเข้ามาในห้องและพูดต่อว่า “ตอนนี้นักวิชาการหวางกำลังพูดโทรศัพท์อยู่ดังนั้นฉันจึงมาหาคุณได้”
”คุณไม่กลัวงั้นเหรอ?” เซี่ยเหล่ยถาม
หนิงจิงพยักหน้าพร้อมกับพูดว่า “ถ้ามีคุณอยู่ด้วยก็ไม่เลย”
เซี่ยเหล่ยขยับไปใกล้เธอก่อนจะกระซิบถามว่า “บอกผมได้รึปล่าวว่าหนังสือสำริดเขียนอะไรไว้บ้าง?”
คำพูดของเซี่ยเหล่ยทำหนิงจิงเงียบในทันที เธอมองเซี่ยเหล่ยโดยที่ไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาเลย
เซี่ยเหล่ยยิ้มก่อนพูดว่า “เอาล่ะ เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับผม ผมรู้ว่าคุณต้องทำตามกฏระเบียบของที่นี่หากไม่ต้องการที่จะบอกผม ผมก็จะไม่ถามคุณอีก ”
หนิงจิงพึมพัมที่ปากอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกำลังลังเลว่าจะพูดออกไปดีหรือไม่แต่สุดท้ายก็ขยับไปใกล้หูของเซี่ยเหล่ยก่อนพูดขึ้นว่า “หนังสือสำริดมีทั้งหมดสามสิบสองหน้ามีคำทั้งหมดมากถึงหนึ่งหมื่นคำแม้ว่าจะเป็นตัวหนังสือซะส่วนใหญ่แต่ตอนนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่ามันหมายความว่ายังไงบ้าง ”
เซี่ยเหล่ยรู้สึกประหลาดใจอย่างมากก่อนพูดขึ้นว่า “คุณรู้จักตัวหนังสือพวกนั้นรึปล่าว?”
หนิงจิงส่ายหัวพร้อมกับพูดว่า “ไม่เลยและไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้นแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาโดยตรง พวกเขาก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยเห็นตัวหนังสือพวกนี้มาก่อน”
ขนาดผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังไม่รู้จักตัวหนังสือเหล่านี้แสดงว่ามันคงไม่ได้มาจากยุคของเจ้าหญิงหยงเหม่ยซึ่งสัญชาตญาณของเซี่ยเหล่ยมีความรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้คงจะมีอายุมากกว่ายุคของเจ้าหญิงหยงเหม่ยและเนื้อหาของหนังสือสำริดส่วนใหญ่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับอัลลอยโบราณพอสมควร
เซี่ยเหล่ยส่งกระดาษให้หนิงจิงก่อนจะพูดขึ้นว่า “คุณสามารถเขียนตัวอย่างตัวหนังสือเหล่านั้นให้ผมดูได้มั้ย ?”
หนิงจิงไม่ได้ปฏิเสธคำขอของเซี่ยเหล่ย เธอลงมือเขียนตัวหนังสือบางอย่างลงบนกระดาษทันที
เซี่ยเหล่ยหยิบกระดาษขึ้นมาดู เขารู้สึกแปลกใจมากตัวหนังสือพวกนี้คล้ายกับรูปร่างของคนกำลังโพสท่าต่างๆ เขาไม่เคยเห็นตัวหนังสือแบบนี้มาก่อนเลย
หลังจากเห็นเรียบร้อยแล้ว เซี่ยเหล่ยก็หยิบกระดาษและเดินเข้าห้องน้ำจากนั้นก็ฉีดน้ำใส่ก่อนจะฉีกมันเป็นชิ้นๆพร้อมทิ้งลงโถส้วมไปแน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องเก็บกระดาษแผ่นนี้ไว้เนื่องจากสมองของเขาได้บันทึกรูปร่างของตัวหนังสือไว้เรียบร้อยแล้วและที่สำคัญคือจะให้ใครรู้เรื่องที่หนิงจิงเขียนตัวหนังสือให้เซี่ยเหล่ยดูได้เป็นอันขาด
เซี่ยเหล่ยเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามอีกว่า “คุณยังรู้อะไรอีกไหม?”
หนิงจิงเข้าไปใกล้กับเซี่ยเหล่ยก่อนจะกระซิบว่า “จนถึงตอนนี้กลุ่มผู้เชี่ยวชาญก็ไม่ได้พบอะไรเพิ่มเติม ” จากนั้นก็พูดต่ออีกว่า “แต่ตอนนี้ฉันเพิ่งได้ยินมาว่ามีกลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลุ่มอื่นได้นำเข็มทิศออกตามหาสมบัติชิ้นต่อไป”
เซี่ยเหล่ยสนใจเป็นอย่างมากจึงรีบถามออกไปว่า “พวกเขาไปที่ไหน?”
หนิงจิงตอบกลับไปว่า “ไม่รู้เหมือนกัน แม้ว่าฉันจะแอบถามหวางเหล่ยแล้วแต่เขาก็ไม่ยอมบอกเลย ”
”อย่าไปถามเขาเลย” เซี่ยเหล่ยพูดต่ออีกว่า “คุณต้องระวังตัวเองให้ดีด้วย ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ทางที่ดีที่สุดคืออย่าไปยุ่งหรือสัมผัสกับอัลลอยโบราณเลยจะดีกว่าเพราะตอนนี้ที่แน่ใจได้ก็คือสองนักวิทยาศาสตร์ที่เพิ่งตายไป พวกเขาได้สัมผัสกับอัลลอยโบราณโดยตรง”
”อืม…” หนิงจิงยิ้มกว้างมากจากนั้นก็พูดขึ้นอีกว่า “คุณยังคงห่วงใยฉันเสมอ มันรู้สึกอบอุ่นจริงๆ”
เซี่ยเหล่ยยิ้มก่อนจะพูดว่า “เดี๋ยวนี้ แม่ของคุณยังหาคู่ให้คุณอีกรึปล่าว?”
ใบหน้าที่มียิ้มแย้มของหนิงจิงค่อยๆหายไปก่อนจะพูดขึ้นอย่างเรียบง่ายว่า “ฉันย้ายออกมาอยู่ข้างนอกแล้วและฉันก็ไม่ได้กลับไปเยี่ยมที่บ้านมานานแล้วด้วย” Aileen-novel
”เอ่อ ผมขอโทษ…… ” เซี่ยเหล่ยพูด
”ทำไมต้องขอโทษ?” หนิงจิงพูดต่ออีกว่า “ก็คุณเองไงที่บอกว่าฉันไม่ใช่สินค้าและให้ฉันใช้ชีวิตในแบบที่ฉันต้องการ ส่วนพ่อแม่ของฉันเมื่อพวกเขาคิดได้ถึงเวลานั้นฉันก็ค่อยกลับไปหาพวกเขา ”
”อืม…คุณต้องเลือกทางเดินของตัวเอง” เซี่ยเหล่ยพูด
แต่ในขณะที่กำลังพูดกันอยู่นี้จู่ๆริมฝีปากที่นุ่มนวลและชุ่มชื้นของเธอได้สัมผัสเข้ากับใบหูของเซี่ยเหล่ย
เซี่ยเหล่ยตัวแข็งทื่อทันที
”…… ” ใบหน้าของหนิงจิงเปลี่ยนเป็นสีแดงและเธอก็รีบพูดขึ้นว่า”ขอโทษ พอดีจู่ๆฉันก็นึกอะไรขึ้นมาได้แล้วอยากจะบอกคุณแต่พลาดไปหน่อย”
”เยี่ยมเลย คุณนึกอะไรได้งั้นเหรอ? รีบบอกผมมาเลย…” เซี่ยเหล่ยรีบพูดขึ้นทันทีตอนนี้เขาไม่สนใจเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้นี้แล้ว
หนิงจิงถอนหายใจข้างๆหูของเซี่ยเหล่ยก่อนจะกระซิบว่า “ก่อนหน้านี้ฉันได้ยินนักวิชาการหวางพูดโทรศัพท์กับผู้บริหารฉือ พวกเขาพูดถึงคุณด้วย ”
เซี่ยเหล่ยรีบถามกลับด้วยความอยากรู้ทันทีว่า “พวกเขาพูดถึงผมว่ายังไงบ้าง?”
หนิงจิงตอบกลับไปว่า “ฉันไม่ได้ยินคำพูดของผู้บริหารฉือแต่ได้ยินคำพูดของนักวิชาการหวางดูเหมือนเขาจะไม่ต้องการให้คุณมีส่วนร่วมในโครงการวิจัยนี้ เขาบอกว่าไม่อยากให้คุณมีส่วนร่วมในการค้นหาสมบัติชิ้นต่อไป เขาบอกว่าคุณรู้ความลับมากเกินไปแล้ว”
เซี่ยเหล่ยเข้าใจในทันทีก่อนหน้านี้ฉือโบเหยิยนเคยต้องการให้เซี่ยเหล่ยรับผิดชอบในการหาสมบัติชิ้นต่อไป เขาต้องการให้เซี่ยเหล่ยร่วมงานกับหวางเหล่ย แต่หวางเหล่ยกลับปฏิเสธเพราะเขาคิดว่าไม่ควรเปิดเผยความลับของอัลลอยโบราณให้คนอื่นได้รู้มากไปกว่านี้แล้ว
”อืม เข้าใจแล้ว ขอบคุณคุณมาก” เซี่ยเหล่ยพูดพร้อมยิ้มก่อนจะคิดในใจว่า “นักวิชาการหวาง เขาคงคิดว่าผมจะไปขโมยข้อมูลเกี่ยวกับอัลลอยโบราณแน่ๆ เขาไม่รู้จักผม เขาคิดว่าผมไม่มีประโยชน์ในความเป็นจริงมันก็ไม่แปลกที่เขาจะคิดแบบนั้น แต่ถ้าเกิดผมมีประโยชน์ขึ้นมาหล่ะ เขาจะว่ายังไงหล่ะ?”
อันที่จริงการที่เซี่ยเหล่ยสามารถผลิตเครื่องจักรอัจฉริยะและทันสมัยที่สุดขึ้นมาได้นี่ถือเป็นเครติดที่ยิ่งใหญ่ให้กับเขาได้นอกจากนี้เขายังสามารถผลิตปืนไรเฟิลที่ยอดเยี่ยมและทันสมัยที่สุดในโลกได้ นี่ก็เป็นเครดิตที่ยิ่งใหญ่ให้กับเขาได้เช่นกันแต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาได้รับในตอนนี้แม้ว่าจะมีประโยชน์อยู่บ้างแต่ก็ต้องแลกมาด้วยปัญหาจำนวนมากแน่นอนว่าหวางเหล่ยเองก็รู้เครดิตที่เซี่ยเหล่ยมี เขาเพียงแค่ไม่สนใจก็เท่านั้น
ในเวลานี้หนิงจิงก็ได้ขยับริมฝีปากไปชนกับใบหูของเซี่ยเหล่ยอีกครั้งและครั้งนี้เธอจ่ออยู่เป็นเวลานานพอสมควร
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เธอจงใจ
การกระทำดังกล่าวของหนิงจิงทำให้เซี่ยเหล่ยประหลาดใจอย่างมากโดยปกติแล้วเธอเป็นคนที่อ่อนโยนและขี้อาย มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่!
ตอนนี้พวกเขารีบแยกตัวออกจากกันซึ่งถ้าสังเกตดีๆก็จะพบว่าตอนนี้ใบหน้าของพวกเขาเรี่มเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว พวกเขาหันมาสบตากันหนึ่งครั้งแต่เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นเพราะหลังจากนั้นหนิงจิงก็ยืนหลับตาพร้อมกับแสดงท่าทางเหมือนกำลังรอใครบางคนให้ทำอะไรเธออยู่
นี่คือภาษาของผู้หญิงเป็นท่าทางของเธอที่กำลังรอให้ผู้ชายเป็นฝ่ายจูบ แน่นอนว่าเซี่ยเหล่ยรู้ว่าเธอส่งสัญญาณมา เขารู้ว่าเธอกำลังรออยู่แต่เซี่ยเหล่ยไม่อยากทำ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเธอจึงต้องการให้เขาจูบ
จังหวะนี้เองก็มีเรื่องราวๆตลกๆเกิดขึ้น หนิงจิงที่รออยู่นานพอสมควรแล้วและเห็นว่าเซี่ยเหล่ยยังไม่จูบเสียที เธอจึงได้เปิดตาข้างนึงขึ้นมาและเห็นว่าเซี่ยเหล่ยกำลังมองมาที่เธออยู่ มันทำให้เธอรีบปิดตาลงอย่างรวดเร็วเพื่อรอให้เขาจูบเหมือนเดิม
เซี่ยเหล่ยรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีแต่จู่ๆก็มีคนมาเคาะประตูห้องของเซี่ยเหล่ย
”ใคร?” เซี่ยเหล่ยถามออกไปในตอนนี้เขากลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก เขารีบไปเปิดประตูทันที
สัญชาตญาณของหนิงจิงในครั้งนี้ยอดเยี่ยมมาก เธอคิดว่าคนที่มาเคาะประตูจะต้องเป็นหวางเหล่ยแน่ๆ เธอจึงเล่นละครโดยพูดขึ้นมาว่า “เหอะ ฉันไม่มีอะไรจะบอกคุณหรอกนะ!”
เซี่ยเหล่ยได้ยินคำพูดของเธอก็ยิ้มออกมาทันที
แน่นอนว่าคนที่เคาะประตูคือหวางเหล่ยจริงๆ
”นักวิชาการหวางมีอะไรงั้นเหรอ?” เซี่ยเหล่ยถามอย่างสุภาพ
หวางเหล่ยมองไปที่หนิงจิงที่ยืนอยู่ภายในห้องของเซี่ยเหล่ยจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “คุณมาทำอะไรที่นี่?”
เซี่ยเหล่ยตอบกลับไปว่า “ผมและหนิงจิงเป็นเพื่อนกัน เธอแค่เข้ามาคุยกับผมเพราะเธอกลัวและเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้”
หวางเหล่ยมองไปที่หนิงจิงและถามออกไปว่า “เป็นแบบที่เขาพูดหรือเปล่า?”
หนิงจิงพยักหน้าพร้อมตอบไปว่า “ใช่”
เซี่ยเหล่ยในตอนนี้รีบพูดแซวหวางเหล่ยทันทีว่า “นักวิชาการหวาง คุณสบายใจได้ ผมไม่ได้พูดคุยเกี่ยวกับโครงการวิจัยอะไรพวกนี้หรอกนะ”
”ตอนนี้มีบุคลาการทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญพิเศษมาที่นี่แล้ว เราทุกคนต้องได้รับการตรวจร่างกายอย่างระเอียดและคุณเป็นแรกคุณเซี่ยมากับผมเดี๋ยวนี้”
”ผมเป็นคนแรกงั้นเหรอ?” เซี่ยเหล่ยรู้สึกแปลกใจมากและถามต่ออีกว่า “ทำไมหล่ะ?”
หวางเหล่ยพูดว่า “คนแรกกับคนสุดท้ายแตกต่างกันยังไง ไปกับผมเดี๋ยวนี้”
”ได้” เซี่ยเหล่ยพูดพร้อมเดินตามหวางเหล่ยไป…..
ติดตามตอนต่อไป…….