Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - ตอนที่– 388 การพบกันของพ่อและลูกชาย
ตลอดทั้งเช้าวันนี้ เซี่ยเหล่ยไม่มีอะไรให้ทำเลยได้แต่เดินวนไปเวียนมาอยู่ในสถานทูตเทียบกันแล้วหลิงฮั่นคือคนที่ยุ่งที่สุดตอนนี้เขาเริ่มจัดการงานส่วนสุดท้ายของโรงงานทางทหารอาชาสายฟ้าในงานนิทรรศการอาวุธเบานานาชาติแล้ว ส่วนถ่างหยู่เหยี่ยและหู่ฮั่วก็คอยช่วยเหลือเขาอยู่ตลอดแต่สถานการณ์นี้แบบเองที่ทำให้เซี่ยเหล่ยไม่โอเคเพราะถ้าถ่างหยู่เหยี่ยคอยอยู่ใกล้ๆเขา เซี่ยเหล่ยก็คงหาโอกาสแอบออกไปนอกสถานทูตเพื่อไปหาพ่อของเขาไม่ได้เลย
ฝ่ายบริษัทฮั่นเองก็ดูปกติเรียบร้อยดี พนักงานหลายคนกำลังวุ่นอยู่กับงานของบริษัทในนิทรรศการ เย่คุนก็ต้องคุยโทรศัพท์นับครั้งไม่ถ้วนโดยมีเซี่ยเหล่ยที่ใช้พลังของตาซ้ายอ่านปากของเขาเพื่อตามสถานการณ์ให้ทันอยู่
ซึ่งในสายจำนวนมากมายนั่นมีอยู่สองสายจากภายในประเทศที่ถามถึงความสามารถของโรงงานทางทหารอาชาสายฟ้ารวมไปถึงการไปดูเวิร์คช็อปด้วย อีกสายหนึ่งถูกส่งต่อให้มู๋เจียนเฟิง บทสนทนาในสายนั้นก็ยังคงเกี่ยวข้องกับโรงงานทางทหารอาชาสายฟ้าอยู่และอีกหนึ่งสายที่ดูเหมือนจะต่อตรงไปยังคนในแผนกอุปกรณ์ ถามถึงเรื่องการอนุมัติปืน Xl2500 ชุดแรก
โทรศัพท์หลายสายนั่นทำให้เซี่ยเหล่ยพบความจริงว่าบริษัทฮั่นที่มีเย่คุนเป็นผู้นำและพยายามกันท่าและโรงงานทางทหารอาชาสายฟ้าคงไม่มีทางพ่ายแพ้ง่ายๆแน่ นอกจากนั้นเขายังเข้าใจอีกอย่างว่า การจะสู้กับบริษัทนี้มีแต่จะทำให้เขาหมดเงินไปเปล่าๆ หรือไม่ก็อาจจะต้องมาอยู่หน้าปากกระบอกปืนของพวกเย่คุนก็ได้
เซี่ยเหล่ยคิดว่าเย่คุนน่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับอันซูฮยอนแต่เขาก็เป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยมพอสมควร จึงอาจจะยังไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นก็ได้
หลังจากช่วงเช้าใกล้เวลามื้อเที่ยง เซี่ยเหล่ยก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูทางเข้าสถานทูต
”ขอโทษครับคุณเซี่ย” การ์ดทหารที่ประตูพูดพร้อมกับขวางทางเขาไว้ก่อน “คุณหลิงบอกว่าห้ามไม่ให้คุณออกไปไหนครับ”
เซี่ยเหล่ยขมวดคิ้วทันที “ทำไมผมออกไปไม่ได้ล่ะ?”
”นี่เป็นคำสั่งของคุณหลิงครับ คุณคงต้องถามคุณหลิงเองนะครับ” การ์ดทหารตอบโดยไม่ได้หยิ่งยะโสหรืออ่อนน้อมถ่อมตน “พวกเราต้องทำตามหน้าที่ ขออภัยด้วยครับ”
ไม่เพียงแต่สั่งห้ามถ่างหยู่เหยี่ยออกไปไหนเท่านั้นแต่ยังมีคำสั่งตรงต่อการ์ดในสถานทูตอีกด้วย ตัวตนของหลิงฮั่นต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ!
”โอเค คือผมแค่อยากออกไปซื้อของข้างนอกน่ะครับแต่ถ้าคำสั่งมาแบบนี้งั้นผมไม่ไปก็ได้” เซี่ยเหล่ยพยายามพูดต่อด้วยท่าทีนิ่งๆก่อนจะเดินออกไปจากประตู
รถบรรทุกตู้สินค้าขนาดเล็กที่บรรทุกผัก ธัญพืชและน้ำมันเคลื่อนตัวมาจอดลงหน้าประตูก่อนที่คนขับจะเดินลงมาจากรถเป็นผู้หญิงวัยกลางคนชาวรัสเซีย รูปร่างอ้วนแต่กลับพูดภาษาจีนอย่างคาดไม่ถึงแม้ว่าจะไม่คล่องแคล่วมากแต่ก็ถือว่าน่าชื่นชม
การ์ดหน้าประตูขอดูบัตรของคุณป้าชาวรัสเซียคนนั้นและขอให้เธอเปิดตู้เก็บของดูแต่ไม่ได้ตรวจสอบบนรถ ก่อนจะปล่อยให้เธอผ่านไป
รถบรรทุกเคลื่อนตัวไปยังจุดลงของด้านหลังห้องอาหารเมื่อผ่านเซี่ยเหล่ย เธอก็รีบปรี่ตรงไปที่เขาแล้วบีบแตรใส่
หลังจากที่มองรถบรรทุกคันเล็กผ่านไปแล้ว เซี่ยเหล่ยก็คิดอะไรบางอย่างได้ทันที
เวลาของมื้อเที่ยงใกล้เข้ามาแล้ว เซี่ยเหล่ยเป็นคนแรกที่ไปยังห้องอาหารเพื่อทานมื้อเที่ยง เขารับมื้อเที่ยงมาและนั่งลงทานที่โต๊ะช้าๆ ระหว่างนั้นก็มองไปยังด้านข้างของห้องอาหาร ใช้ตาซ้ายมองทะลุไปยังรถบรรทุกคันเดิมด้านนอก
พนักงานในห้องอาหารกำลังช่วยกันขนถ่ายของลงรถด้วยความเร็วไม่มากนัก อาจจะใช้เวลาประมาณ 10 นาทีจึงเสร็จเรียบร้อย
แต่ดูเหมือนคุณป้ารัสเซียจะไม่ค่อยพอใจกับความเร็วของพนักงานเท่าไหร่ เธอบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเดินไปทางห้องน้ำ
เซี่ยเหล่ยดึงสายตากลับมาเป็นจังหวะเดียวกับที่ถ่างหยู่เหยี่ยและหลิงฮั่นเดินเข้ามาในห้องอาหารพอดี
”เหล่ย คุณขี้เกียจไปหน่อยมั้ยเนี่ย?” ถ่างหยู่เหยี่ยเริ่มบ่น “พวกเราหัวหมุนกันตั้งครึ่งวัน แต่คุณมานั่งกินอยู่ตรงนี้ซะงั้น”
เซี่ยเหล่ยยกยิ้ม “งานพวกนี้เป็นความรับผิดชอบของคุณหลิง แต่งานของผมคือนิทรรศการนะดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่ใช่เวลาที่ผมจะยุ่งหนิ ?”
ถ่างหยู่เหยี่ยเบ้ปาก “ฉันว่าแล้วว่าคุณต้องพูดแบบนี้แต่ยังไงก็ช่างหลังจากงานนี้จบคุณต้องไปกับฉันนะ ถือเป็นการชดเชย”
เซี่ยเหล่ยตอบรับอย่างร่าเริง “ไม่มีปัญหา หลังจากงานนี้ ผมจะไปกับคุณทุกที่ที่คุณอยากไปเลย”
ทั้งสองคนคุยกันและหัวเราะสนุกสนานเว้นแต่หลิงฮั่นที่ปลีกตัวไปทานมื้อเที่ยงคนเดียวที่โต๊ะอีกตัว
เซี่ยเหล่ยคิดในใจ “หลิงฮั่นนี่ชอบเก็บตัวจริงๆ เขามีเพื่อนบ้างรึเปล่านะ?”
ถ่างหยู่เหยี่ยขยิบตากลมโตของเธอให้เซี่ยเหล่ยแล้วกระซิบเบาๆ “ตอนบ่ายคุณจะทำอะไรเหรอ?”
เขาถามกลับ “แล้วคุณอยากทำอะไรล่ะ?”
”งั้นไปเล่นเกมกันเป็นไง?”
”ตามสบายเลย ผมง่วงแล้ว อยากนอนมากกว่าน่ะ” เซี่ยเหล่ยพูดแล้วลุกขึ้นยืน “ห้ามกวนล่ะ อ้อ ผมคงไม่เล่นเกมนะ” ถ่างหยู่เหยี่ยกลอกตาใส่เขาเพราะคำตอบที่ได้พึมพำเบาๆ “ใจร้าย”
เซี่ยเหล่ยเดินออกมาจากห้องอาหารแล้วอ้อมไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
พนักงานของห้องอาหารขนถ่ายของต่างๆลงเสร็จพอดีแต่คุณป้าชาวรัสเซียยังไม่ออกมาจากห้องน้ำซึ่งนี่คือโอกาสทองที่เซี่ยเหล่ยต้องการ เขาปีนขึ้นไปอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์แล้วจึงปิดประตูลง ภายในนั้นมีกล่องพลาสติกเปล่าๆอยู่มากมาย นั่นทำให้เขาได้ที่ซ่อนชั้นดีเลยทีเดียว
เพียงไม่ถึง 2 นาทีที่เซี่ยเหล่ยขึ้นมาซ่อนตัวบนรถ คนขับก็กลับมาจากห้องน้ำ เธอมองไปยังประตูตู้เก็บของที่ปิดอยู่แต่ไม่ได้เปิดเช็กดูภายใน ก่อนจะเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป
ขั้นตอนการออกจากสถานทูตเองก็แสนง่าย การ์ดทหารที่ประตูไม่ได้ตรวจดูด้านในเช่นกัน พวกเขาเพียงแต่คุยกับคนขับรถบรรทุก 2-3 ประโยคจากนั้นจึงปล่อยเธอผ่านไป คุณป้าคนขับนำทางตู้สินค้าเข้าสู่ถนนเล็กๆสายหนึ่งมุ่งหน้าตรงไปทางทิศเหนือ ด้านในตู้สินค้า เซี่ยเหล่ยกำลังแกะแบตเตอรี่และซิมการ์ดออกจากโทรศัพท์ ในขณะเดียวกันก็ใช้ตาซ้ายมองทะลุออกไปสังเกตการณ์ด้านนอกและรอโอกาสเหมาะๆที่จะออกจากรถด้วย
ทันใดนั้นก็มีเสียงดนตรีดังขึ้นภายในตู้คอนเทนเนอร์ มันดังมาจากลำโพงตัวเล็กๆในตู้เซี่ยเหล่ยจำได้ว่ามันคือเพลง “Moscow Nights” ที่โด่งดังในรัสเซีย
แต่เมื่อเซี่ยเหล่ยออกมาจากที่ซ่อนและพร้อมจะเปิดประตูตู้แล้ว เสียงของคุณป้าคนขับก็ดังขัดขึ้นผ่านลำโพงนั่นด้วยเช่นกัน “อย่าเพิ่งลงจากรถนะ เราใกล้ถึงที่แล้ว”
เซี่ยเหล่ยชะงักนิ่งตัวแข็งทื่อทันที เขาแปลกใจมากที่คุณป้ารัสเซียคนนั้นพูดออกมาตรงๆว่าใกล้ถึงแล้วพร้อมกับสงสัยในใจว่าเธอเป็นใครกันแน่? ไอรีนโนเวล
เธอพูดผ่านลำโพงมาอีกครั้ง “ไม่ต้องกังวล เราพวกเดียวกัน”
เซี่ยเหล่ยแค่นยิ้มแห้งๆและยกเลิกความคิดที่จะกระโจนลงจากรถไป เขาพยายามนึกเหตุการณ์ก่อนหน้าอย่างละเอียดตั้งแต่ที่คุณป้าคนนี้ขับรถเข้าไปในสถานทูต ขนถ่ายของ และขับออกมาตอนนั้นนับว่าไม่มีอะไรเป็นพิรุธเลยแม้แต่เซี่ยเหล่ยเองก็ยังไม่ทันสังเกต ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงการ์ดทหารหน้าประตูเลย
ในทางกลับกันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะอย่างน้อยหลิงฮั่นและถ่างหยู่เหยี่ยก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ด้วย
รถบรรทุกสินค้าคันเล็กเคลื่อนตัวตรงไปทางเหนือเรื่อยๆ ก่อนจะจอดลงในครึ่งชั่วโมงต่อมา เซี่ยเหล่ยใช้ตาซ้ายสำรวจรอบนอกอีกครั้งและพบว่าที่นั่นไม่ใช่ใจกลางเมืองมอสโกแต่เป็นแถบชานเมืองแทน ตัวรถบรรทุกจอดอยู่หน้าโกดังสินค้าแห่งหนึ่ง นอกจากจะห่างไกลตัวเมืองมากแล้ว รอบๆนี้ยังไม่มีคนเดินเท้าผ่านไปมาเลยอีกด้วย
ฝั่งคนขับบีบแตรรถสามครั้งประตูโกดังที่ปิดสนิทก็ค่อยๆเลื่อนเปิดขึ้นจนกระทั่งระดับความสูงใกล้เคียงกับรถ คุณป้ารัสเซียก็ขับเข้าไป
ในที่สุดรถบรรทุกคันเล็กก็จอดสนิท คนขับคนเดิมเดินออกมาเปิดประตูตู้คอนเทนเนอร์ที่เกือบว่างเปล่าออก
เซี่ยเหล่ยกระโดดลงมาจากรถ มีเนื้อหมูและปลาแช่แข็งมากมายอยู่ในโกดังแห่งนั้น ลมเย็นยะเยือกพัดอวลอยู่ภายในอุณหภูมิก็ต่ำมากแต่ที่นั่นกลับไร้วี่แววของเยลเลน่าและพ่อของเขา เซี่ยฉางห่าย เซี่ยเหล่ยอยากจะใช้ตาซ้ายมองรอบๆ แต่ไม่นานเขาก็ต้องยอมแพ้ เพราะสายตาเขาแทรกซึมเนื้อหมูเย็นเฉียบจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นไปไม่ไหว
คุณป้าคนขับจ้องมองเซี่ยเหล่ยแล้วพูดขึ้น “แล้วปืนล่ะ?”
เซี่ยเหล่ยตอบ “ผมเกรงว่ามันจะมีแค่โอกาสเดียวตอนที่นิทรรศการจบแล้วเท่านั้น เพราะงั้นตอนนี้ผมคงเอามันมาให้คุณไม่ได้หรอกครับ” คนฟังขมวดคิ้ว “ปืนที่คุณทำเองนี่ปัญหาเยอะจริงๆเลยนะ”
เซี่ยเหล่ยถามต่อ “คุณเป็นใคร?”
คุณป้ารัสเซียยกยิ้ม เธอส่งมือขึ้นลูบเนื้อใต้คาง 2-3 ครั้งก่อนจะค่อยๆจับและดึงลอกมันขึ้นมาเพียงเท่านั้น ใบหน้าริ้วรอยของคุณป้าวัยกลางคนก็หายไปเหลือเพียงใบหน้าอ่อนเยาว์และงดงามของตัวจริง เธอคือเยลเลน่า หน้ากากผิวมนุษย์ในมือเธอมันดูสมจริงและน่าทึ่งจนเหลือเชื่อ
ทันใดนั้นเซี่ยเหล่ยก็เข้าใจทุกอย่างทันที ไม่น่าแปลกใจเลยที่มีคุณป้าคนหนึ่งไปส่งของในเวลาที่เซี่ยเหล่ยกำลังหาทางหนีอยู่พอดิบพอดีเพียงแต่เขาไม่คิดเลยว่าคุณป้าคนนั้นจะเป็นเยลเลน่าและเธอยังไปที่นั่นเพื่อไปรับเขาโดยเฉพาะอีกด้วย
”แล้วถ้าผมไม่ขึ้นรถมากับคุณล่ะ คุณจะทำยังไง?” เซี่ยเหล่ยถาม
เยลเลน่ายิ้ม “ก็ถ้าคุณไม่ยอมใช้โอกาสนั้น ฉันคงไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะ อีกอย่างตอนนั้นฉันตั้งใจไปเข้าห้องน้ำเพื่อเปิดโอกาสให้คุณขึ้นรถไง”
เซี่ยเหล่ยไหวไหล่ “แล้วพ่อผมล่ะ?”
เยลเลน่ายื่นมือเข้าไปในรถแล้วบีบแตรสองครั้ง
สิ้นเสียงแตรก็ตามด้วยเสียงฝีเท้าดังตามมา ภาพของชายวัยกลางคนคนหนึ่งปรากฏแก่สายตาเซี่ยเหล่ย เขาอยู่ในชุดสีเทารองเท้าหนังสีดำคู่ใหญ่และหมวก duckbill สีเทาแม้ว่าหมวกนั่นจะบังใบหน้าเขาไปกว่าครึ่ง แต่เซี่ยเหล่ยมองเพียงครั้งเดียวก็รู้ได้เลยว่านั่นคือพ่อของเขา เซี่ยฉางห่าย
เซี่ยเหล่ยอ้าปากค้าง เขาอยากจะเรียกชายคนนั้นว่า “พ่อ” แต่ริมฝีปากกลับส่งเสียงใดๆออกมาไม่ได้เลยเมื่อเขาได้เห็นเซี่ยฉางห่ายในสมองเขามันขาวโพลนไปหมด ความรู้สึกในใจผสมปนเปกันซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายได้
”พวกคุณคุยกันเถอะ ฉันจะออกไปดูข้างนอกหน่อย” เยลเลน่ากล่าวแล้วปลีกตัวออกไป
เซี่ยฉางห่ายค่อยๆเดินเข้าไปหาเซี่ยเหล่ยช้าๆ มองเขาเงียบๆ ใบหน้ายิ้มแย้ม ในใจเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและดีใจ
เซี่ยเหล่ยจ้องตรงไปยังคนเป็นพ่อแต่ตอนนี้ในหัวเขาไม่ขาวโพลนอีกแล้ว เรื่องราวเก่าๆในอดีตสาดย้อนเข้ามาราวกับม้วนฟิล์มที่กรอกลับ ภาพวัยเด็กของเขาที่มีพ่อแบกเขาขึ้นหลังเดินทอดน่องไปตามถนนซึ่งรถราขับผ่านไปมาและมีพ่อที่ทำซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานให้เขากับน้องสาวทานเป็นมื้อเย็น……
ดวงตาของเขาค่อยๆมีน้ำใสๆรื้นขึ้นมา จนในที่สุดเซี่ยเหล่ยก็เรียกเขาได้เต็มเสียง “พ่อ!”
เซี่ยฉางห่ายยืดแขนออกไปจนสุดรับลูกชายเข้ามากอด “เหล่ย” เพียงสิ้นเสียงเรียกน้ำตาของเซี่ยฉางห่ายก็ไหลลงมาเช่นกัน
ก่อนจะมาเจอพ่อ เซี่ยเหล่ยยังบ่นเขาอยู่ในใจแต่พอได้เจอกันจริงๆแล้ว เซี่ยเหล่ยก็พบว่าเขาเกลียดพ่อคนนี้ไม่ลงจริงๆ
”เหล่ย หลายปีที่ผ่านมานี้มันคงยากสำหรับลูกมากเลยสินะ” เซี่ยฉางห่ายกล่าว
เซี่ยเหล่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ “พ่อ ทำไมล่ะ? พ่อรู้มั้ยครับว่าผมผ่านอะไรมาบ้าง? บางครั้งผมก็ต้องร้องไห้อยู่เงียบๆคนเดียวเพราะผมคงให้เซี่ยเสวียรู้ไม่ได้ว่าผมร้องไห้ ผมคิดถึงพ่อมากเลยนะ ผมคิดว่าพ่อจะอยู่กับผมแต่พ่อหายไปตั้ง 6 ปี ไม่มีแม้แต่ข่าวคราวอะไรเลย”
แม้ว่าใจจะเกลียดพ่อไม่ลงแต่คำพูดเหล่านี้มันอัดแน่นอยู่ในความรู้สึกเขามานานหลายปี เซี่ยเหล่ยจึงจำต้องพูดมันออกไป
เซี่ยฉางห่ายถอนหายใจ “พ่อรู้ว่าพ่อทำให้ลูกและเซี่ยเสวียต้องรู้สึกแย่ พ่อไม่หวังให้ลูกให้อภัยพ่อหรอกนะแต่ถึงอย่างนั้นลูกต้องเชื่อในตัวพ่อ พ่อจำเป็นต้องทำแบบนี้จริงๆ เพราะถ้าพ่อกลับมา มันไม่ใช่แค่พ่อจะช่วยอะไรลูกไม่ได้แต่ยังทำให้ลูกตกอยู่ในอันตรายอีกด้วย ถ้าพ่อหายไปจากโลกนี้ซะพวกลูกก็จะปลอดภัยที่สุดและที่สำคัญกว่านั้น พ่อต้องสู้เพื่อให้เวลากับลูก”
เซี่ยเหล่ยนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ “พ่อ……รู้อะไรเหรอครับ?”
เซี่ยฉางห่ายปล่อยเซี่ยเหล่ยออกจากกอดแล้วพูดต่อ “มากับพ่อสิ ที่นี่ไม่เหมาะจะคุยเท่าไหร่”
เซี่ยเหล่ยพยักหน้าก่อนจะเดินลึกเข้าไปในโกดังสินค้าตามเซี่ยฉางห่ายผู้เป็นพ่อไป
ติดตามตอนต่อไป……….