Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - 407 ผลจากสิ่งเร้นลับ !
ตอนที่– 407 ผลจากสิ่งเร้นลับ !
รถออฟโรดขับขึ้นไปบนทางลาดชันเพื่อจะไปให้ถึงยังฐานทัพที่อยู่บนเขา
ที่นี่มีทิวทัศน์ที่งดงามราวกับภาพวาดแต่เซี่ยเหล่ยไม่มีเวลาดื่มด่ำกับธรรมชาติเหล่านี้ซักเท่าไหร่เพราะยิ่งเข้าใกล้ฐานทัพเท่าไหร่เขายิ่งกังวลมากขึ้น
สุดท้ายความกังวลใจที่สะสมมามากทำให้เขาเลือกที่จะถามอีกว่า ”บอกผมมาหนิงจิงตอนนี้เป็นอย่างไร?”
นี่เป็นครั้งที่สามที่เขาถามคำถามนี้
ในครั้งแรกคำตอบของหลงบิงบอกว่าดูเหมือนเธอจะมีปัญหานิดหน่อย
ครั้งที่สองคำตอบของหลงบิงคือฉันคิดว่าคุณเองก็พอจะเดาได้
ครั้งที่สามซึ่งก็คือครั้งนี้หลงบิงมองไปที่เซี่ยเหล่ยก่อนจะถอนหายใจแล้วตอบว่า “เอาหล่ะ ฉันจะบอกคุณ เธอเสียสติไปแล้ว”
“ว่าไงนะ?” เซียเหล่ยรู้สึกตกใจจนตัวแข็งทื่อ เขายังจำได้อยู่เลยครั้งล่าสุดก่อนที่จะลาจากกัน เขากำชับให้เธอระวังอย่าแตะต้องอัลลอยโบราณอย่างเด็ดขาด เขาไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเลยทั้งที่เคยเตือนไปแล้ว
“จริง ๆแล้ว ตอนที่ได้รับแจ้งครั้งแรกฉันก็ไม่เชื่อหรอกนะแต่อย่างไรก็ตามฉันได้เห็นกับตาของตัวเอง พวกเขาทั้งหมดเสียสติกันไปแล้ว เรื่องนี้ได้รับการตรวจสอบที่แน่ชัดแล้วเช่นกันแต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังไม่สามารถหาสาเหตุได้ โรคนี้มันทั้งน่าทึ่งและแปลกประหลาดมากจริงๆ”
ทันทีที่หลงบิงพูดจบ ภาพของอัลลอยโบราณกับหนังสือสำริดลอยเข้ามาในหัวทันที
ไม่คิดมาก่อนเลยว่าชะตาชีวิตของเธอจะต้องพบเจอกับโชคชะตาที่ลำบากและยุ่งยากขนาดนี้
ภาพในอดีตระหว่างเขาและหนิงจิงลอยเข้ามาในหัว มันทำให้หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและโศกเศร้า เขาเห็นหนิงจิงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เขาไม่อยากที่จะยอมรับความเป็นจริงที่ว่าหนิงจิงเสียสติไปแล้วได้เลย
หลงบิงถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “ฉันรู้ว่าคุณและดอกเตอร์หนิงจิงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างมาก เธอเป็นคนดี ฉันเองอยากให้คุณคิดในแง่ดีเข้าไปเสมอว่าโรคที่เป็นอยู่นี้จะสามารถรักษาให้หายขาดได้”
เซี่ยเหล่ยพูดว่า “ผมสงสารเธอจริงๆ”
“เธออาจจะอาการดีขึ้นก็ได้หากได้เจอคุณ” หลงบิงพูด
เซี่ยเหล่ยยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะพูดว่า “เป็นอย่างนั้นได้ก็ดี” พูดเสร็จก็หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่ออีกว่า “ก่อนอื่นเลย บอกผมมาเดี๋ยวนี้…เรื่องนี้คุณต้องการให้ผมมาดูด้วยตัวเองหรือมีใครต้องการให้ผมมาหรือเปล่า?”
หลงบิงเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ผู้ที่เข้าร่วมรวมถึงมีส่วนร่วมในการวิจัยไม่เสียสติก็ตายไปหมดแล้ว ถ้าฉันเป็นคนตัดสินใจฉันจะให้คุณมาที่นี่อีกงั้นเหรอ?”
“งั้นผู้บริหารฉืองั้นเหรอ?” เซี่ยเหล่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
“เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่รู้รายละเอียดมากนักถึงแม้ว่านี่จะเป็นคำสั่งที่มาจากเขาแต่ฉันก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะมีอำนาจมากพอในการตัดสินใจหรอกนะ ฉันคิดว่าเป็นคนอื่น แต่เป็นใครนั้นฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” หลงบิงตอบ
ที่หลงบิงพูดมาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องด้วยวัสดุทีอาจจะยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศให้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้แบบนี้ มันอยู่นอกเหนือขอบเขตการตัดสินใจของฉือโบเหยิยนแน่นอนอยู่แล้ว
เซี่ยเหล่ยคิดว่า ”แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องการให้ผมมาหล่ะ? ความเสี่ยงมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ผมอาจจะเสียสติหรือตายไปเลยก็ได้นี่”
หลงบิงตอบว่า “ฉันเองก็ไม่รู้แต่จากการวิเคราะห์ของฉัน ฉันคิดว่าพวกเขาอาจจะมองว่าคุณเป็นคนขุดมันขึ้นมาได้แถมตอนนี้คุณยังสบายดีและไม่มีผลข้างเคียงอะไรเลย พวกเขาจึงต้องการให้คุณมา”
เซี่ยเหล่ยยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า ”ก่อนหน้านี้พวกเขาพยายามกันผมออกจากเรื่องนี้เพราะกลัวว่าผมจะรู้ความลับแต่ตอนนี้เมื่อพวกเขามีปัญหากลับต้องการความช่วยเหลือจากผม พวกเขาคิดว่าผมเป็นตัวอะไรงั้นเหรอ? เป็นคนที่ต้องการตัวเมื่อไหร่ก็ค่อยเรียกมาอย่างนั้นเหรอ?”
หลงบิงมองไปที่เซี่ยเหล่ยก่อนพูดว่า “พวกเขาต้องการความสามารถซึ่งฉันเองก็คิดว่าสมเหตุสมผล ฉันคิดว่าคุณไม่ควรจะคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้หรอกนะ เพราะนี่ถือเป็นการทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ”
เซี่ยเหล่ยเงียบและไม่ตอบอะไร ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความไม่พอใจแต่อย่างไรก็ตามในใจของเขากลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเนื่องจากว่าเขารอโอกาสนี้มานานแล้ว เขาต้องการที่จะสืบและไขความลับของอัลลอยโบราณรวมถึงหนังสือสำริดอยู่ตลอดเวลา!
แม้ว่าจากการวิจัยเรื่องอัลลอยโบราณจะทำให้นักวิจัยตายไปหลายคนหรือแม้แต่เสียสติไปหลายคนแล้วก็ตามแต่เซี่ยเหล่ยก็พร้อมจะยอมรับความเสี่ยงนี้ เขาไม่สนใจว่าอุตสาหกรรมจะพัฒนาไปได้มากน้อยแค่ไหน เขาเพียงต้องการรู้ความลับของมันเพื่อตัวเองก็เท่านั้น
รถออฟโร้ดได้มาถึงฐานทัพแล้วทั้งเซี่ยเหล่ยและหลงบิงลงจากรถ
เมื่อลงจากรถหลงบิงได้มอบบัตรให้กับเซี่ยเหล่ย
เซี่ยเหล่ยรับบัตรมาพร้อมกับตรวจสอบดู ตรงบัตรมีแถบแม่เหล็กพร้อมกับตัวหนังสือเขียนเอาไว้ว่า “เจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานพิเศษ” เซี่ยเหล่ยถามทันทีเลยว่า “ เจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานพิเศษงั้นเหรอ? หมายความว่ายังไงกัน?”
หลงบิงตอบว่า “หมายความว่าคุณมีอำนาจเทียบเท่ากับหวางเหล่ย คุณสามารถเข้าออกฐานทัพนี้ได้อย่างอิสระยิ่งไปกว่านั้นหากคุณปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องและถูกระเบียบแล้วคุณจะสามารถได้เกือบทุกอย่างตามที่คุณต้องการเลยทีเดียว มันรวมถึงอำนาจในการสั่งการระดับหนึ่งด้วยเลยนะ”
เซี่ยเหล่ยมองไปที่หลงบิงก่อนจะพูดว่า “รวมคุณด้วยหรือไม่?”
หลงบิงมองกลับไปที่เซี่ยเหล่ย “แม้ว่าฉันจะไม่ต้องการแต่คำตอบก็คือใช่” Aileen-novel
เป็นผู้ที่สามารถสั่งการหลงบิงได้? เซี่ยเหล่ยค่อนข้างรู้สีกไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกนี้เป็นอย่างมาก
ด้วยบัตรนี้ทำให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างสิทธิพิเศษกับสิทธิธรรมดาอย่างสิ้นเชิงในขณะที่เดินไปตามทางเรื่อยๆนี้ พวกเขาก็ถูกตรวจสอบ เซี่ยเหล่ยเองถึงแม้ว่าจะมีบัตรอยู่แต่ก็ขัดขืนการกระทำนี้ไม่ได้ อย่างไรก็ตามแม้ว่าเซี่ยเหล่ยจะมีบัตรแล้วแต่เมื่อเขาต้องการเข้าไปยังสถานที่วิจัย ตัวเขาเองก็ต้องฝากโทรศัพท์มือถือไว้กับเจ้าหน้าที่ตรงทางเข้าอยู่ดี หลังจากเซี่ยเหล่ยทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ เขาก็ได้เข้าไปในเขตพื้นที่วิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ซึ่งเป็นสถานที่ในการศึกษาและวิจัยอัลลอยโบราณ
พื้นที่นี้ถูกปิดเป็นเขตต้องห้ามและมีทหารเฝ้าตามตำแหน่งหลายจุดแม้ว่าจะมีแสงสว่างอยู่ภายในห้องแต่บรรยากาศภายในกลับดูอึมครึมและมืดมนอย่างบอกไม่ถูก
หลงบิงพูดว่า “คุณจะไปดูห้องปฏิบัติการก่อนหรือไปดูเหล่านักวิจัยก่อน?”
เซียวเหล่ยถามว่า “หนิงจิงกับนักวิจัยคนอื่นๆไม่ได้อยู่ข้างในเขตพื้นที่วิจัยทางวิทยาศาสตร์อย่างงั้นเหรอ?”
หลงบิงตอบ “หนิงจิงและนักวิจัยคนอื่นๆไม่ได้อยู่ข้างใน พวกเขาถูกย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว”
เซี่ยเหล่ยตอบว่า “งั้นเราจะไปหาพวกเขากันก่อน”
ไม่กี่นาทีต่อมา หลงบิงได้พาเซี่ยเหล่ยมายังที่ที่หนึ่งซึ่งมีเจ้าหน้าที่ถือปืนคอยเฝ้าประตูทางเข้าเอาไว้อยู่ อย่างไรก็ตามในขณะที่เซี่ยเหล่ยแสดงบัตรให้เจ้าหน้าที่คนนั้นดู พวกเขาก็ปล่อยให้เซี่ยเหล่ยและหลงบิงผ่านเข้าไปได้ง่ายๆ
ไม่นานพวกเขาก็เจอเข้ากับแพทย์ที่ดูแลความเรียบร้อยของที่นี่ จากนั้นเขาก็พาทั้งเซี่ยเหล่ยและหลงบิงเข้าไปยังห้องขนาดใหญ่ภายในห้อง…เซี่ยเหล่ยเห็นนักวิจัยที่คุ้นหน้าคุ้นตาหลายคน นี่รวมทั้งหวางเหล่ยและนักวิจัยคนอื่นๆ ที่ทำงานกับหนิงจิงด้วยเช่นกัน
ในขณะนี้หวางเหล่ยพูดพึมพัมกับตัวเองว่า ”บรึ้น บรึ้น …… รถบรรทุกกำลังมารถบรรทุกกำลังมารถบรรทุก …… บรึ้น บรึ้น …… ”
นักวิชาการวิทยาศาสตร์แนวหน้าของประเทศได้กลายเป็นแบบนี้ไปซะแล้วนี่ถือว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้
สถานการณ์ของนักวิจัยคนอื่นๆก็ไม่ได้ดีไปกว่าหวางเหล่ยเลยเพราะนักวิจัยบางคนก็เอาแต่เหม่ยลอย บางคนก็เอาผ้าเช็ดตัวมาคลุมตัว บางคนก็เอากระดาษมาพร้อมกับทำโจทย์คณิตศาสตร์ของเด็กประถมพร้อมกับเขียนคำตอบในกระดาษแผ่นนั้นว่า “1+1 = 11”
ความสามารถของผู้ที่เรียกตัวเองว่านักวิจัยนั้น พวกเขาจะต้องมี IQ ที่สูงมากกว่าที่คนทั่วไปแน่ๆ แต่ดูเหมือนตอนนี้ IQ ของพวกเขาดูเหมือนเหลือน้อยเทียบกับเท่ากับเด็กประถมได้เลย
เซี่ยเหล่ยจ้องมองไปที่หนิงจิงโดยไม่ได้พูดอะไร
หนิงจิงในตอนนี้เธอชุดผู้ป่วยสีขาว เธอถือกระจกพร้อมกับเครื่องสำอางค์ในมือทั้งสองข้าง เธอมองไปในกระจกพร้อมกับทาลิปสติกอย่างเงียบๆ อย่างไรก็ตามด้วย IQ ที่ถดถอยของเธอทำให้ปากของเธอเต็มไปด้วยลิปสติกที่เปือนเลอะเต็มใบหน้าดูคล้ายกับเธอเพิ่งจะดื่มเลือดมา
หมอที่พาพวกเขาเข้ามาได้พูดขึ้นว่า ”IQ ของพวกเขามีความสามารถเท่ากับเด็กอายุห้าขวบอย่างไรก็ตามดอกเตอร์หนิงจิงถือว่ามีอาการดีขึ้นเร็วที่สุด แต่ก็มากกว่านักวิจัยคนอื่นๆเล็กน้อยเท่านั้นแต่อย่างไรก็ตามพวกเราก็พยายามรักษาเขตแดนเอาไว้เท่าที่พวกเราจะทำได้”
“เข้าใจแล้ว ผมต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ” เซี่ยเหล่ยพูดจากนั้นก็เดินเข้าไปหาหนิงจิง
หนิงจิงไม่ได้ตระหนักเลยว่าตอนนี้เซี่ยเหล่ยกำลังเดินเข้ามาหา เธอยังคงมองไปที่กระจกพร้อมกับทาลิปสติกอยู่เหมือนเดิมแต่ครั้งนี้เธอทาอยู่ที่หน้าผากของตัวเอง ไม่ใช่ปากของเธอแล้ว….
“หนิงจิง ที่ผมเอง” เซี่ยเหล่ยพูดพร้อมเดินไปนั่งข้างๆกับหนิงจิงก่อนจะพูดต่ออีกว่า “คุณยังจำผมได้ไหม?”
หนิงจิงจ้องไปที่เซี่ยเหล่ยก่อนจะพูดอย่างตื่นเต้นว่า “น้องหมิง คุณมาแล้ว คุณมาสายนะ แบบนี้ไม่ดีเลยเดี๋ยวครูอนุบาลจะดุเธอหรอกนะ แต่ไม่ต้องกลัวไปฉันไม่บอกครูหรอกว่าเธอมาสาย”
เซี่ยเหล่ยไม่รู้ว่าจะตอบเธอกลับไปเลยในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำพูดและคำถามมากมาย
ไม่ทันไรหนิงจิงก็ขยับเข้ามาก่อนจะจูบไปที่หน้าผากของเซี่ยเหล่ย
เซี่ยเหล่ยตัวแข็งทื่อ พร้อมกับหน้าผากมีรอยประทับเป็นรูปปากสีแดงระเรื่อ
“น้องหมิง เรามาเล่นพ่อแม่ลูกกัน เธอเป็นพ่อ ฉันเป็นแม่” พูดเสร็จก็ดึงลูกปัดออกมาจากชุดชั้นในก่อนจะพูดต่ออีกว่า “นี่คือลูกของเรา”
เซี่ยเหล่ย ”…. ”
“เซี่ยเหล่ย เราไปกันเถอะ” หลงบิงพูดพร้อมกับเดินเข้ามาก่อนจะขมวดคิ้วและพูดต่ออีกว่า “ตอนนี้คุณไม่สามารถช่วยเธอได้ ปล่อยเรื่องของเธอให้เป็นเรื่องของหน้าที่หมอดีกว่านะ”
เซี่ยเหล่ยตอบว่า “ขอเวลาให้ผมครู่นึง” เซี่ยเหล่ยปลุกความสามารถของตาซ้ายก่อนจะมองทะลุเข้าไปในหัวของหนิงจิง
ภายในสมองของหนิงจิงไม่มีความผิดปกติใดๆทั้งสิ้นนี่เป็นผลที่ออกมาจากการมองทั้งในเชิงลึกและเชิงซ้อนทุกอย่างยังคงปกติดี ต่อมาเซี่ยเหล่ยก็มองเข้าไปในร่างกายของหนิงจิง ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ยังคงเป็นปกติเช่นกัน ผลสรุปที่ออกมา…เธอก็ยังคงเป็นเธอ เพียงแต่สภาพจิตใจกลับไปเป็นเด็กก็เท่านั้น
“หนิงจิง ตอนนี้คุณอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ ผมจะมาหาใหม่” เซี่ยเหล่ยพูดพร้อมลูบหัวหนิงจิงเบาๆก่อนจะลุกขึ้นยืนและกำลังจะเดินออกไป
“ไม่ น้องหมิงถ้าเธอหนีเรียน ฉันจะบอกคุณครูแล้วให้คุณครูตีเธอ!” หนิงจิงพูดอย่างไม่แยแส
เซี่ยเหล่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่หนึ่งครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องนั่นก็เพราะแม้ว่าเขาจะยังอยู่ที่นี่ เขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้ในทางกลับกันหากเขาคิดวิธีที่จะหาทางแก้ไขจากเรื่องนี้ได้ก็คือการหาความลับที่ซ่อนอยู่ของ AE!
เมื่อออกไปจากห้องเซี่ยเหล่ยได้หันไปถามหมอว่า “พวกเขากลายเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หมอตอบว่า “หนึ่งสัปดาห์ที่แล้วเวลาประมาณ 21.00 น. จู่ๆพวกเขาก็เริ่มมีอาการ มันแย่ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดพวกเขาก็กลายเป็นแบบนี้แถมตอนนี้ก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดเหมือนกัน”
“เอาหล่ะ ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณคุณมาก โปรดดูแลดอกเตอร์หนิงจิงด้วย เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม” เซี่ยเหล่ยพูดกับหมอ
หมอพยักหน้าพร้อมตอบว่า “ไม่มีปัญหา คุณสบายใจได้ ผมจะพยายามให้ถึงที่สุด”
พูดจบเซี่ยเหล่ยก็ขอตัวพร้อมเดินออกจากห้องไป….
ติดตามตอนต่อไป……….