Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - 417 ว่าที่ลูกเขย !
TXV– 417 ว่าที่ลูกเขย !
ท่ามกลางม่านหมอกแห่งความมืดมิดในยามค่ำคืน บนถนนเต็มไปด้วยรถยนต์มากมายขับผ่านไปและผ่านมา รอบข้างถนนก็เต็มไปด้วยร้านคาราโอเกะและร้านเหล้าที่มีไฟกระพริบระยิบระยับที่นี่ดูมีชีวิตชีวาอย่างมากในเวลากลางคืน
เซี่ยเหล่ยในตอนนี้มีสถานะใหม่เพิ่มเข้ามานั่นก็คือการเป็นคู่หมั้นของเฉินตูเทียนหยินซึ่งถือเป็นลูกเขยของเฉินตูเหยิยน โดยปกติเขามีทักษะในการทำอาหารอยู่แล้ว ในครั้งนี้เขาจึงลงมือปรุงอาหารให้พวกเขาได้รับประทานอีกครั้ง
เซี่ยเหล่ยกำลังยุ่งอยู่ในครัวส่วนเฉินตูเทียนหยินและเฉินตูเหยิยนนั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่น
“ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นแบบนี้…… ” เฉินตูเหยิยนพูดพร้อมกับแสร้งทำว่าไม่มีความสุขก่อนจะพูดต่ออีกว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่ไม่ได้บอกอะไรกับญาติเลยงั้นเหรอ? แม้แต่พ่อเองก็ไม่บอกก่อนเลยด้วยซ้ำ”
“พ่อ” เฉินตูเทียนหยินพูดอย่างจริงจังก่อนจะพูดต่อว่า ”แต่ตอนนี้พ่อก็รู้แล้วนี่ ฉันมองหาลูกเขยที่ดีที่สุดมาให้แล้ว อย่าคิดมากสิ สิ่งสำคัญคือพ่อควรจะชมลูกที่ฉลาดเลือกในการเลือกคู่ครองมากกว่าสิ”
“ฮ่าฮ่า…พ่อล้อเล่น” เฉินตูเหยิยนยิ้มก่อนจะพูดอีกว่า “อย่างไรก็ตาม พ่อมีเรือ่งที่อยากจะบอกลูกซักหน่อยหากเป็นในเวลางาน ลูกสามารถจัดการทุกอย่างได้ตามที่ต้องการนั่นก็เพราะสถานะของลูกคือผู้บริหารแต่หากอยู่ในบ้านลูกต้องอ่อนโยนกับเขาให้มากๆหล่ะ นั่นคือสิ่งที่ลูกควรจะทำเพราะลูกอยู่ในสถานะของคู่หมั้นของเขา”
เฉินตูเทียนหยินจับมือของเฉินตูเหยิยนก่อนจะกระซิบเบาๆว่า “พ่อไม่ต้องห่วงไปหรอกนะ ลูกรู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรกับผู้ชายที่จะเป็นสามีในอนาคต ฉันจะทำให้ดีที่สุดและไม่ปล่อยให้ใครมาแย่งเขาไปได้แน่นอน”
“เขาเป็นคนดีมาก ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีใครหมายตาเขาเอาไว้เช่นกัน อีกอย่างตอนนี้ลูกเองก็ยังไม่ได้แต่งงานกับเขา ลูกเพียงแค่หมั้นไว้เท่านั้นเองฉะนั้นลูกต้องระวังเรื่องนี้เอาไว้ให้ดีด้วยหล่ะ” เฉินตูเหยิยนพูด
“เข้าใจแล้ว วันนี้ถือเป็นวันที่ดีของลูกนะ เราอย่ามาพูดเรื่องอะไรแบบนี้กันก่อนเลยดีกว่านะ” เฉินตูเทียนหยินร้องขอเนื่องจากเธอไม่อยากให้ทำลายบรรยากาศที่มีในตอนนี้
เฉินตูเหยิยนตอบกลับว่า “ที่พ่อบอกพ่อเตือนนี่ก็เพื่อลูกนะ หากลูกยังไม่แต่งงาน พ่อก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี”
เฉินตูเทียนหยินยิ้มก่อนจะพูดว่า “ลูกเป็นคนแต่งงานนะ ไม่ใช่พ่อซักหน่อย ดูเหมือนพ่อจะกังวลมากกว่าลูกอีกนะ?”
“ก็แน่อยู่แล้วสิ อายุของพ่อตอนนี้ก็ไม่ใช่น้อยๆแล้วนะ บนโลกนี้พ่อเหลือเพื่อนอยู่ไม่กี่คนแล้วด้วยซ้ำดังนั้นก่อนจะตาย พ่ออยากอุ้มหลานเหลือเกิน” เฉินตูเหยิยนพูดจบก็หัวเราะก่อนจะพูดต่อว่า “เรื่องนี้คงไม่ยากเกินไปสำหรับลูกหรอกนะ”
ใบหน้าของเฉินตูเทียนหยินเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เขินอายแม้ว่าเธอจะใกล้ชิดกับเซี่ยเหล่ยมากก็ตามแต่เธอก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลย
เฉินตูเหยิยนตบไหล่ของเฉินตูเทียนหยินเบาๆก่อนจะถอนหายใจและพูดว่า “ถ้าแม่ของลูกยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอจะรู้สีกมีความสุขมากขนาดไหน”
เฉินตูเทียนหยินพิงตัวไปซบไหล่ของเฉินตูเหยิยนอย่างเงียบๆ เธอรู้สึกมีความสุขและเศร้าในเวลาเดียวกันเมื่อนึกถึงแม่ของเธอเอง
“อาหารมาเสิร์ฟแล้ว อาหารมาเสิร์ฟแล้ว” เซี่ยเหล่ยพูดพร้อมกับเดินออกมาจากห้องครัวโดยที่ทั้งสองมือถือถาดอาหารที่ภายในมีอาหารอยู่หลายชนิด โดยตอนนี้เขากำลังมุ่งหน้าไปยังห้องอาหาร
“ยังไม่ไปช่วยอีกงั้นเหรอ?” เฉินตูเหยิยนพูดพร้อมมองตาโตไปที่เฉินตูเทียนหยิน
“เข้าใจแล้วหน่า” เฉินตูเทียนหยินพูดพร้อมเดินออกไปช่วยเซี่ยเหล่ยถือถาดอาหาร
เฉินตูเหยิยนมองตามหลังในขณะที่เฉินตูเทียนหยินเดินออกไปหลังจากนั้นก็หันไปมองท้องฟ้าภายนอกหน้าต่างก่อนจะพูดเบาๆกับตัวเองว่า “ที่รัก คุณเห็นมั้ย ? ตอนนี้ลูกสาวของเราได้เจอกับผู้ชายที่พร้อมจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแล้ว เซี่ยเหล่ยเป็นคนดีมาก ผมคิดว่าคุณจะต้องชอบเขาเหมือนกับที่ผมชอบแน่ๆเลย คุณคิดเหมือนกับผมใช่ไหม?”
ทันใดนั้นก็มีลมพัดผ่านเข้ามาจากภายนอกหน้าต่างและกระทบเข้าใบหน้าของเฉินตูเหยิยน มันให้ความรู้สึกเย็นสบายดูเหมือนว่านี่อาจจะเป็นคำตอบของภรรยาผู้ล่วงลับของเขา
เฉินตูเหยิยนยิ้มและเช็ดน้ำตาที่คลอเบ้าก่อนจะเดินไปยังห้องอาหาร
เซี่ยเหล่ยได้ทำอาหารหกอย่างด้วยกันมีทั้งซุปเนื้อแกะ ซุปหอยเป่าฮื้อ หอยเชลล์นึ่งซอส นอกจากนี้ยังมีอาหารมังสวิรัติอีกสองจานและตบท้ายด้วยหมูสับครีมซอสสไตล์เยอรมัน เมนูที่เซี่ยเหล่ยทำมานี้มีทั้งจีนและตะวันตกผสมกัน มันส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอเป็นอย่างมาก
เฉินตูเหยิยนที่เข้ามาในห้องอาหารแล้ว เขาตรงไปนั่งพร้อมกับรินไวน์แดงซึ่งเตรียมไว้ก่อนหน้านี้แล้วลงในแก้ว ก่อนจะเขย่าแก้วไปมาเล็กน้อย
ด้านเซี่ยเหล่ยที่เห็นขวดไวน์แดงขวดนี้ค่อนข้างจะแปลกตาก็นึกสงสัยด้วยความอยากรู้จึงถามออกไปว่า ”ลุงเหยิยน นี่คือไวน์อะไรงั้นเหรอ? ผมไม่เคยเห็นไวน์ในลักษณะนี้มาก่อนเลย”
เฉินตูเหยิยนหัวเราะก่อนจะพูดว่า ”นี่คือหนึ่งในคอลเลคชั่นไวน์แดงของผม ที่เห็นมันแปลกตาก็ไม่แปลกหรอกนะ เพราะมันถูกผลิตขึ้นเมื่อสิบปีก่อนและมีเพียงยี่สิบขวดในโลกเท่านั้น ผมซื้อมันมาในราคาหนึ่งแสนดอลล่าเลยนะ”
เซี่ยเหล่ยพูดอย่างตื่นตระหนกว่า “ลุงเหยิยน ไวน์แดงขวดนี้มีราคาหนึ่งแสนดอลล่าเลยงั้นเหรอ? มันเทียบได้กับหกแสนหยวนเลยนะ ทำไมถึงเลือกที่จะเปิดมันในการรับประทานอาหารครั้งนี้หล่ะ?”
เพียงแค่งานเลี้ยงสังสรรค์ภายในครอบครัวแต่เฉินตูเหยิยนเลือกที่จะเปิดไวน์แดงขวดนี้ที่มีราคาแพงมาก เซี่ยเหล่ยรู้สึกว่าเขาค่อนข้างที่จะฟุ่มเฟือยเกินไปหน่อย เพราะด้วยราคาขนาดนี้ ประชากรในประเทศจีนหลายคนซึ่งเป็นส่วนใหญ่ อาจต้องทำงานไม่รู้ตั้งกี่ปีหรืออาจจะต้องใช้ทั้งชีวิตเพื่อที่จะหาเงินจำนวนมากขนาดนี้เลยก็ว่าได้!
อย่างไรก็ตาม เฉินตูเหยิยนยังไม่ได้ตอบคำถามของเซี่ยเหล่ยดูเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ก่อน เขาจึงแสร้งทำเป็นเศร้าพร้อมกับพูดว่า “เซี่ยเหล่ย ทำไมยังเรียกผมว่าลุงอีกหล่ะ?”
เฉินตูเทียนหยินรีบเตะเท้าที่อยู่ใต้โต๊ะของเซี่ยเหล่ยเบาๆทันที
เซี่ยเหล่ยรีบเปลี่ยนคำพูดทันทีว่า “อ้อใช่ ต้องเรียกว่าพ่อนี่”
“ฮ่าฮ่า… ถูกแล้ว!” เฉินตูเหยิยนหัวเราะก่อนจะพูดว่า “เอาหล่ะ เมื่อกี้คุณถามว่าทำไมผมถึงเปิดไวน์ขวดนี้ใช่ไหม คำตอบก็ง่ายมากนั่นก็เพราะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณจะเริ่มเรียกผมว่าพ่อยังไงหล่ะ ฮ่าฮ่า.. วันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขมาก มันมากจนทำให้ผมไม่เสียดายแม้แต่น้อยที่ต้องเปิดไวน์ขวดนี้เพื่อเฉลิมฉลอง”
เฉินตูเทียนหยินพึมพำกับเซี่ยเหล่ยเบาๆว่า “นี่ถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเราจะเปิดมันอีกครั้งในวันแต่งงานด้วย”
เฉินตูเหยิยนที่ได้ยินเฉินตูเทียนหยินพูด เขาจึงมองไปที่เธอก่อนจะพูดเสริมว่า “ไม่ใช่หรอก สำหรับในวันแต่งงานพ่อก็มีแยกเอาไว้ต่างหากด้วย นอกจากนี้ในวันที่หลานลืมตาขึ้นมาดูโลก พ่อก็มีไวน์ดีๆไว้สำหรับต้อนรับขวัญหลานเช่นกัน!”
ใบหน้าของเฉินตูเทียนหยินเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมกับพูดว่า “นี่พ่อคิดว่าการมีลูกมันจะง่ายขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ? มันไม่ใช่การปิ้งขนมปังหรอกนะ?”
เซี่ยเหล่ย “ …… ” ไอรีนโนเวล
ทั้งสามกินอาหารมื้อนี้กันอย่างมีความสุขแต่มีสิ่งหนึ่งที่เซี่ยเหล่ยติดใจอยู่ก็คือไวน์แดงที่มีมูลค่าถึงหกแสนหยวนขวดนี้ เขารู้สึกแปลกใจนิดหน่อยเพราะเขาไม่ได้รู้สึกถึงความพิเศษอะไรจากไวน์แดงขวดนี้เลย
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้อาจจะเข้าใจได้เฉพาะกลุ่มคนที่รวยระดับมหาเศรษฐีก็เป็นได้
หลังจากเวลาผ่านไปทั้งหมดก็รับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย เฉินตูเทียนหยินได้แยกตัวออกไปล้างจาน เซี่ยเหล่ยต้องการที่จะช่วยแต่เธอก็ยืนกรานว่าไม่จำต้องช่วย แม้ว่าพวกเขาจะมีคนรับใช้อยู่มากมายที่สามารถเรียกใช้ได้ตลอดเวลาแต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันพิเศษ เธอจึงไม่ได้เรียกพวกเขามาเพื่อทำความสะอาดเพราะเธออยากแสดงความเป็นแม่บ้านแม่ศรีเรือนให้เซี่ยเหล่ยได้เห็น
ด้านเซี่ยเหล่ยเมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เขาจึงขึ้นไปยังห้องหนังสือ
เมื่อเข้าไปแล้ว เขาก็ใช้คอมพิวเตอร์ของเฉินตูเทียนหยิน เขาเปิดอินเตอร์เน็ตเพื่อค้นหาคำว่า “Kingdom of the Holy Land” หลังจากการค้นหามีผลลัพธ์ออกมามากมาย
จากผลลัพธ์ที่ได้จากการค้นหามันทำให้เซี่ยเหล่ยคิดเล่นๆขึ้นมาว่า ถ้าตอนนี้ เจ้าหญิงหยงเหม่ยปรากฏตัวขึ้น เธอจะทำอะไร?
เฉินตูเทียนหยินเมื่อล้างจานเสร็จก็เดินมาที่ห้องหนังสือเพื่อมาหาเซี่ยเหล่ย เธอเห็นว่าห้องไม่ได้ล็อคจึงเดินเข้าไปเงียบๆ ก่อนจะใช้ส้นเท้าเตะประตูเบาๆเพื่อให้มันปิดลง
อย่างไรก็ตามเธอเตะเบาเกินไปจนทำให้ประตูยังปิดไม่สนิท
“คุณกำลังหาอะไรอยู่งั้นเหรอ?” เฉินตูเทียนหยินพูดพร้อมกับเดินเข้าไปหาเซี่ยเหล่ยก่อนจะมองที่หน้าจอคอมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่ออีกว่า “กำลังหาข้อมูลอยู่งั้นเหรอ? ฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสร้อคอเส้นนั้นจะเป็นขององค์หญิงผู้งดงามแต่อย่างไรก็ตาม ฉันจะถือว่ามันคือมรดกที่จะสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นก็แล้วกัน”
เซี่ยเหล่ยยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ถ้าคุณมีลูกสาวกับลูกชายคุณ คุณจะมอบให้กับใคร?”
เฉินตูเทียนหยินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบไปว่า ”แน่นอนว่ามันจะต้องถูกส่งต่อไปยังลูกชายนั่นก็เพราะฉันต้องการให้เขาใช้มันเพื่อส่งต่อให้กับลูกของเขาเองอีกทีเหมือนกัน”
เซี่ยเหล่ยจับมือที่เรียวยาวของเฉินตูเทียนหยินก่อนจะพูดว่า “ ถ้าคุณมีลูกชายสองคน กับลูกสาวหนึ่งคน คุณจะมอบมันให้กับใคร?”
“หืม? นี่คุณต้องการให้ฉันมีลูกสามคนเลยงั้นเหรอ?” เฉินตูเทียนหยินพูดพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “ฉันไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีลูกมากขนาดนั้นหรอกนะ อีกอย่างในช่วงเวลานั้นมันก็เจ็บและลำบากไม่น้อยเลย”
“คุณยังไม่เคยมีลูกเลยนี่แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่ามันเจ็บมาก” เซี่ยเหล่ยถาม
“อย่าลืมสิว่าฉันเป็นผู้หญิง เรื่องนี้ฉันสามารถรู้ได้แม้ว่าจะยังไม่เกิดขึ้นก็ตาม มันก็เหมือนกับสัญชาตญาณนั่นแหละ” เฉินตูเทียนหยินพูดพร้อมกับเอนตัวไปซบไหล่ของเซี่ยเหล่ย
เซี่ยเหล่ยมองไปที่ดวงตาของเธอ จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าตัวเองถูกแรงดึงดูดอะไรบางอย่างจากตัวของเธอที่ตัวเขาเองไม่สามารถควบคุมได้ มันทำให้ริมฝีปากของเขาค่อยๆขยับเข้าไปใกล้กับริมฝีปากของเธออย่างช้าๆ
ด้านเฉินตูเทียนหยินเองไม่มีท่าทีว่าจะถอยหนี เธอหลับตาก่อนที่จะขยับริมฝีปากเข้าไปใกล้เซี่ยเหล่ยด้วยเช่นกัน ไม่นานริมฝีปากของทั้งคู่ก็ประกบเข้าด้วยกัน ในจังหวะนั้นลิ้นของทั้งสองคนที่เปรียบเทียบได้กับปลาสองตัวกำลังต่อสู้กันในสระน้ำขนาดเล็กเพื่อเอาชนะซึ่งกันและกัน
แม้ว่าพวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันแต่ตอนนี้ก็มีเสียงที่ดูเหมือนจะไม่เป็นคำพูดออกมาจากลำคอของทั้งสองคน ท่าทางของพวกเขาดูมีความสุขกันมาก
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ ตรงทางเดินมีชายชราคนหนึ่งเดินถือถ้วยกาแฟสองถ้วยอย่างช้าๆ โดยมีเป้าหมายไปยังห้องหนังสือ
เขาก็คือเฉินตูเหยิยน เขากำลังเดินไปที่ห้องหนังสือ
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเดินไปไม่ถึงหน้าห้อง แต่เขาก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างออกมาจากภายในห้องที่ฟังดูไม่ค่อยจะเป็นคำซักเท่าไหร่
“ไม่ไม่ …… คุณเป็นคนใจแคบ …… ” นี่คือเสียงของเฉินตูเทียนหยินที่ดังผ่านออกมาจากภายในห้อง
เฉินตูเหยิยนเดินไปจนถึงหน้าห้องเนื่องจากประตูห้องปิดไม่สนิท เขาจึงมองเห็นภายในห้องอย่างชัดเจน จังหวะเดียวกันนี้ตัวเขาก็แข็งทื่อด้วยความตะลึงในทันที ก่อนที่จะรีบดึงสติตัวเองกลับมาและเดินหายไป ในตอนแรกเขาต้องการจะยกน้ำชาขึ้นมาเพื่อนำมาดื่มกับว่าที่ลูกเขยและพูดคุยเรื่องราวต่างๆ แต่อย่างไรก็ตามด้วยภาพที่เห็นทำให้เขาหยุดความคิดเรื่องนี้เอาไว้ก่อน และรีบเดินหายไปแทน
สถานการณ์ในห้องหนังสือยังคงดำเนินต่อไป
เฉินตูเทียนหยินกัดริมฝีปากของเซี่ยเหล่ยพร้อมใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นก็ใช้มือลูบไปที่หน้าท้องส่วนล่างของเซี่ยเหล่ย
“เอ่อ …… ” เซี่ยเหล่ยพูดจากนั้นก็ผละตัวออกมาพร้อมกับพูดด้วยท่าทางที่ยังตื่นเต้นว่า ”ข่าวของเราจะออกมาว่าอย่างไรบ้างนะ?”
ทันใดนั้นเฉินตูเทียนหยินได้หยุดทุกอย่างก่อนที่จะเอี้ยวตัวไปและใช้ปากกัดเข้าที่หูของเซี่ยเหล่ยหนึ่งครั้งก่อนจะพูดข้างหูของเขาว่า “ถึงแม้คุณจะเป็นคนดีมาก แต่ก็ไม่คิดว่าคุณจะทำให้ฉันรู้สึกแย่ได้ขนาดนี้” (ไม่คิดว่าจะหยุดจูบและเปลี่ยนเรื่องพูดไปเลยอะไรประมานนั้น)
เซี่ยเหล่ยใช้มือทั้งสองข้างจับไหล่ของเฉินตูเทียนหยินก่อนจะพูดว่า “แล้วผมจะให้คุณได้ลิ้มรสความเผ็ดร้อนของผม!”
เฉินตูเทียนหยินพูดว่า “ฉันหล่ะยากที่จะลิ้มรสความเผ็ดร้อนของคุณเหลือเกิน!”
ตรงบันไดเฉินตูเหยิยนได้ยินทุกอย่าง เขารู้สึกมือไม้อ่อนจนทำให้ถ้วยน้ำชาที่กำลังถืออยู่ในมือตกลงบนไปเท้าของตัวเองแม้ว่าเขาจะเจ็บแต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมา…..
ติดตามตอนต่อไป……..