Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - 431 ปลอมตัว !
TXV– 431 ปลอมตัว !
เซี่ยเหล่ยต้องคิดให้รอบคอบสำหรับคำพูดที่จะเขียนลงไปในรายงาน ดังนั้นเขาจึงใช้เวลานานเกือบหนึ่งชั่วโมงสำหรับการเขียนมัน เขาเขียนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งที่เขาได้รับโทรศัพท์จากหมอจนถึงการต่อสู้ทั้งหมดอย่างไรก็ตามเขาไม่ได้เขียนเรื่องการฉีดยาชาเรื่องที่เขาซักถามแลนด์เบริกรวมถึงเรื่อง AE อย่างแน่นอน แต่เขาก็เขียนเกี่ยวกับแลนด์เบริก ไปคร่าวๆว่ากู๋เค่อเหวินนั้นเป็นสายลับให้กับซีไอเอ และอันซูฮยอนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องในการลักพาตัวเฉินตูเทียนหยิน
แลนด์เบริกนั้นตายไปแล้ว ลูกน้องของเขาก็เช่นกัน คนตายไม่สามารถพูดอะไรได้ ดังนั้นความลับที่เขาต้องการจะปกปิดก็จะยังเป็นความลับอยู่
เมื่อเขียนเสร็จ เซี่ยเหล่ยและหลงบิงก็เดินกลับมาพร้อมนำรายงานให้ฉือโบเหยิยนและหลิงฮั่นได้อ่าน
“บ้าที่สุด!” ฉือโบเหยิยนตะโกนด้วยความโกรธก่อนจะพูดอย่างไม่พอใจต่ออีกว่า “ซีไอเอต้องการจะก่อสงครามสินะ! พวกเขาดูถูกพวกเรา คุณทำดีมากที่ฆ่าพวกเขาทั้งหมด! นั่นเป็นสิ่งที่คุณควรจะทำ! ทีนี้ก็มาคอยดูกันว่าพวกเขาจะทำอย่างไรต่อไป!”
จีนเป็นประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยดังนั้นการที่ซีไอเอลักลอบเข้ามาภายในประเทศเพื่อลักพาตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามแม้แต่พลเมืองธรรมดาก็เท่ากับว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจ สามารถเป็นเหตุให้เรื่องบานปลายจนกลายเป็นสงครามได้
“ผู้บริหารฉือโปรดใจเย็นลงก่อนยังไงพวกเขาก็ตายไปหมดแล้วและเรื่องนี้ก็จะถูกเสนอต่อเบื้องบนเพื่อให้พวกเขาตัดสินใจดังนั้นตอนนี้เราอย่ามาพูดถึงเรื่องนี้กันก่อนดีกว่า” หลิงฮั่นพูด
ฉือโบเหยิยนถามกลับทันทีว่า “เบื้องบนจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงหล่ะ? เห็นได้อย่างชัดเลยว่าถ้าเราไปถามหาความจริงจากพวกเขา พวกเขาก็จะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง พวกเขาไม่มีทางยอมรับตัวตนของเจ้าหน้าที่ซีไอเอที่ทำงานพลาดและตายอย่างแน่นอน”
เซี่ยเหล่ยกำลังดูการสนทนาระหว่างฉือโบเหยิยนและหลิงฮั่น โชคดีที่พวกเขาไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรเพิ่มเติมจากรายงานที่เขียนไปอย่างไรก็ตามเซี่ยเหล่ยเคยคิดเอาไว้แล้วว่าซักวันเรื่องราวมันจะต้องมาถึงจุดๆนี้ เขาไม่สนใจว่าจีนจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรหรือฝั่งอเมริกาจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร เขาไม่มีความจำเป็นจะต้องกังวลในเรื่องนี้
จังหวะนี้ถ่างหยู่เหยี่ยก็เดินเข้ามาพร้อมกับพูดขึ้นทันทีว่า “กู๋เค่อเหวิน ตอนนี้เธออยู่ที่นิวยอร์ก ส่วนอันซูฮยอนก็เพิ่งกลับเกาหลีใต้ไปเมื่อคืนนี้”
“สองคนนี้ สองคนนี้!” ฉือโบเหยิยนพูดพร้อมแสดงสีหน้าเย็นชา
“เอาหล่ะ..ผมว่าเบื้องต้นเราควรจะหยุดคิดในเรื่องนี้กันได้แล้วถ้าหากกู๋เค่อเหวินกลับมาหรืออันซูฮยอนกลับมาที่จีนอีกครั้ง ผมจะหาหลักฐานมาจัดการกับพวกเขาเอง คุณคิดว่ายังไงผู้บริหารฉือ? คุณเห็นด้วยไหม? ผมแค่เสนอแนะ” หลิงฮั่นพูด
“เมื่อถึงเวลานั้นเราจะทำอะไรได้อีก? เจ้าหน้าที่ซีไอเอก็ตายไปหมดแล้ว เราไม่มีหลักฐานอะไรเลย เอาหล่ะให้เรื่องนี้มันจบที่นี่ตอนนี้เลยและกัน เอาเป็นว่าถ้ามีโอกาสเราค่อยจัดการกับทั้งกู๋เค่อเหวินและและอันซูฮยอน!” ฉือโบเหยิยนพูด
“โอเค ดี” หลิงฮั่นพูดก่อนที่จะหันไปหาเซี่ยเหล่ยและพูดต่อว่า “เอาหล่ะ เซี่ยเหล่ย เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการไปเมืองเยรูซาเล็ม”
“เราจะไปกันเมื่อไร?” เซี่ยเหล่ยถาม
“ยิ่งเร็วได้เท่าไหร่ยิ่งดี” หลิงฮั่นพูดและพูดต่ออีกว่า “ซึ่งผมมองว่าถ้าจะให้ดีที่สุดเราควรจะเริ่มออกเดินทางในอีกสามวัน”
“ทำไมถึงเร็วอย่างนี้หล่ะ?” เซียเหล่ยแกล้งทำเป็นประหลาดใจ
“เรารู้ว่าคุณยุ่งมาก แต่จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้อเมริกาก็สนใจเช่นกัน ดังนั้นเราจึงต้องเร่งจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด” หลิงฮั่นอธิบาย
“เอาหล่ะ โอเค อีกสามวัน” เซี่ยเหล่ยพูด
“ตอนนี้ก็ได้เวลาแล้ว ผมขอตัวก่อน เซี่ยเหล่ย ผมขอให้คุณเดินทางปลอดภัย ทำภารกิจสำเร็จและกลับมาอย่างรวดเร็วและปลอดภัยนะ” หลิงฮั่นพูดเมื่อพูดเสร็จเขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากออฟฟิศของฉือโบเหยิยนไปทันที
ฉือโบเหยิยนมองไปที่ถ่างหยู่เหยี่ยก่อนจะพูดว่า “หยู่เหยี่ย เตรียมตัวให้พร้อมไว้ด้วยหล่ะ”
“แน่นอน ฉันไม่ได้มีของที่จะต้องเตรียมมากมายและอีกอย่างฉันพร้อมทุกเวลาเลยหล่ะ” ถ่างหยู่เหยี่ยตอบ
หลงบิงจ้องไปที่เซี่ยเหล่ยก่อนจะพยายามส่งซิกทางสายตาให้กับเขา
เซี่ยเหล่ยสังเกตได้ เขาบังคับตัวเองให้ยิ้มและพูดว่า “ผู้บริหารฉือ ผมว่าแค่สองคนมันคงไม่พอหรอกนะ ด้วยเมืองเยรูซาเล็มเป็นเมืองที่วุ่นวาย แถมมีหน่วยข่าวกรองมอสสาดและกลุ่มหัวรุนแรงอีกดังนั้นผมอยากให้หลงบิงเดินทางไปกับพวกเราได้นั่นพอจะเป็นไปได้ไหม?”
ฉือโบเหยิยนหันไปมองเซี่ยเหล่ย ก่อนที่จะหันไปมองหลงบิง
หลงบิงเองก็มองไปที่เซี่ยเหล่ยพร้อมกับแสร้งพูดว่า “นี่คุณกำลังจะเพิ่มภาระให้กับฉันใช่ไหม คุณไม่กล้าไปเมืองเยรูซาเล็มโดยไม่มีฉันงั้นเหรอ? ฉันไม่ใช่พี่เลี้ยงของคุณนะ”
เซี่ยเหล่ยหันไปมองหลงบิงทันที เขาทำท่าทางเหมือนกับว่าจะพูดอะไรก็มาแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด ก่อนหน้านี้เธอเป็นคนขอให้เขาลองถามฉือโบเหยิยนว่าสามารถรวมเธอไปในภารกิจครั้งนี้ได้ด้วยหรือไม่? แต่ตอนนี้เธอกลับแสดงละครทำเหมือนกับว่าตัวเองไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้อง
บางทีผู้หญิงก็ทำอะไรโดยไร้เหตุผล!
“เอาหล่ะ ไม่ต้องแสดงไปมากกว่านี้แล้ว” ฉือโบเหยิยนพูดพร้อมกับโบกมือให้ทุกคนออกไปและพูดต่อว่า “ไปกันให้หมดทั้งสามคนนั่นแหละ”
หลงบิงยิ้มก่อนจะพูดว่า “เอาหล่ะ ฉันจะไปกรุงเยรูซาเล็มด้วย”
ฉือโบเหยิยนจ้องไปที่หลงบิงก่อนจะพูดว่า “คุณก็เริ่มที่จะทำอะไรตามใจตัวเองมากขึ้นแล้วนะ” พูดเสร็จก็หันไปหาเซี่ยเหล่ยและพูดต่อทันทีว่า “คุณเองก็เหมือนกัน ตอนนี้คุณได้เจ้าหน้าที่ที่สวยที่สุดสองคนจากสำนักงานลับ101ไปด้วยแล้ว ดังนั้นผมไม่ต้องบอกหรอกนะว่าถ้าคุณนำของกลับมาไม่ได้ คุณจะต้องเจอกับอะไร!”
เซี่ยเหล่ยถึงกับพูดไม่ออก
ไม่นานเซียเหล่ยก็เดินออกจากสำนักลับ 101 และไปที่โรงงานผลิตอาวุธต่อทันที
เขาจะต้องไปกรุงเยรูซาเล็มในอีกสามวันข้างหน้า ดังนั้นเขาจึงต้องจัดการงานทุกอย่างให้เรียบร้อยที่สุดภายในสามวันนี้
กรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองศูนย์กลางของความขัดแย้งระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอลและเขาจะต้องจัดการกับความยุ่งยากของหน่วยข่าวกรองมอสสาดของอิสราเอลและกลุ่มหัวรุนแรงแต่สิ่งที่ทำให้เขากังวลมากที่สุดก็คือซีไอเอเพราะอิสราเอลเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา รวมถึงตะวันออกกลางด้วย พวกเขามักจะแบ่งปันข่าวกรองกัน รวมถึงการปฏิบัติการในต่างแดนด้วยเช่นกัน
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่เขาจะต้องเตรียมปลอมตัวโดยการสวมหน้ากากเป็นคนอื่นเพื่อปฏิบัติภารกิจนี้ที่เมืองเยรูซาเล็ม
อย่างไรก็ตามปัญหาเดียวในตอนนี้คือจะอธิบายเรื่องหน้ากากอย่างไรให้หลงบิงและถ่างหยู่เหยี่ยเข้าใจ เขาคิดแล้วคิดอีกเพื่อจะหาข้ออ้างมาอธิบายกับพวกเธอ
ในตอนนี้เขามุ่งมั่นวิเคราะห์องค์ประกอบของหน้ากากและค้นหาวิธีการทำหน้ากากแปลงโฉมบนอินเทอร์เน็ต เขาใช้เวลาไม่นานก็ได้วิธีการทำจากนั้นเขาก็ไปเตรียมการ เขาแกะสลักแม่พิมพ์และซื้อซิลิกาเจลรวมถึงวัสดุอื่นๆที่จำเป็นจากนั้นก็ทำหน้ากากตัวเองขึ้นมาหนึ่งอัน ขั้นตอนและวิธีการทำในตอนนี้ทั้งหมดค่อนข้างที่จะละเอียดอ่อนและพิถีพิถัน เขาจึงต้องใช้ความพยายามและสมาธิอย่างมาก
จุดประสงค์ตั้งแต่แรกของเขาในการทำก็เพื่ออธิบายที่มาของหน้ากากที่พ่อเขาให้มาและเพื่อหลีกเลี่ยงจากความสงสัยของหยู่เหยี่ยและหลงบิง อย่างไรก็ตามเขาพบว่าหน้ากากที่เขาทำขึ้นใหม่นั้นดีกว่าของเดิมมาก มันมีรายละเอียดที่ครอบคลุม นั่นก็เพราะตาซ้ายของเขานั่นเองที่เป็นตัวช่วยชั้นดี หน้ากากที่เขาทำขึ้นใหม่นั้นมีลายละเอียดที่มากกว่าของเดิมหลายเท่า จึงทำให้แทบจะแยกไม่ออกด้วยตาแปล่าเลยว่านี่เป็นหน้าคนจริงๆหรือหน้าคนที่กำลังสวมหน้ากากอยู่
เมื่อเขาได้หน้ากากอันใหม่ที่ดีกว่าอันเก่าแล้ว เขาก็หยิบอันเก่าขึ้นมาและจัดการนำมันไปเผาไฟทันทีเหตุผลก็ง่ายๆเพราะเขามีหน้ากากที่ดีกว่าแล้วไม่จำเป็นจะต้องใช้อันที่แย่กว่า และอีกอย่างเขาจะได้ไม่ต้องอธิบายที่มาของหน้ากากอันเก่ากับพวกเธอด้วย ไอลีนโนเวล
หลังจากชื่นชมกับผลงานตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง เซี่ยเหล่ยก็ได้สวมหน้ากากที่เพิ่งทำขึ้นมาใหม่และหันไปมองใบหน้าของตัวเองในกระจก เขาพบว่าตัวเองกลายเป็นคนอื่นไปโดยสิ้นเชิง เขาเหมือนกับผู้ชายชาวเอเชียทั่วไปที่มีอายุราวๆสามสิบต้นๆ เขาดูธรรมดามากแถมยังคล้ายกรรมกรอีกต่างหากด้วย
‘สงสัยจริงๆว่าถ้าอเลน่าและฉิงเสวียงเห็นเราในสภาพนี้ พวกเธอจะมีปฏิกิริยายังไงนะ?’ เซี่ยเหล่ยคิดเล่นๆในใจ
เขาเดินออกจากเวิร์คช้อปและตรงไปที่ออฟฟิศของอเลน่าทันที
ภายในออฟฟิศของอเลน่า เธอไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลย เธอมีสมาธิในการทำงานอย่างมาก เธอกำลังออกแบบสายการผลิตปืนไรเฟิลจู่โจมอยู่ซึ่งตามแผนของเซี่ยเหล่ยปืนไรเฟิลจู่โจมจะเข้าสู่การผลิตทันทีเมื่อคำสั่งซื้อทั้งหมดของปืนไรเฟิลซุ่มยิง XL2500 แล้วเสร็จไป 70%
เซี่ยเหล่ยปรากฏตัวที่ประตูทางเข้าออฟฟิศและเคาะประตูห้องสามครั้งก่อนจะเดินเข้าไปเอง
อเลน่าเห็นเซี่ยเหล่ยที่สวมหน้ากากกำลังเดินเข้ามาก็พูดขึ้นว่า “คุณเป็นใคร?”
เซียวเหล่ยไม่ตอบ เขายังคงเดินเข้ามาเรื่อยๆ
อเลน่าขมวดคิ้วก่อนจะพูดอีกครั้งว่า “คุณมาจากที่ไหน? และมาทำอะไร?”
เซี่ยเหล่ยไม่ตอบ เขาแสดงสีหน้าเคร่งขรึมก่อนจะยิ้มที่มุมปากและพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับตัวโกงในละครว่า “มาเล่นกันเถอะน้องสาว”
“หยุดนะ!” อเลน่าพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมกับเตรียมตัวที่จะโทรเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
แต่ไม่ทันการเซี่ยเหล่ยรวดเร็วกว่า เขาใช้มือกดหูโทรศัพท์ที่เธอกำลังจะยกขึ้นมาลงไปอยู่ในตำแหน่งเดิม
จังหวะเดียวกันนี้อเลน่าก็ได้ยกหมัดขึ้นมาและปล่อยออกไปอย่างรวดเร็วโดยมีหวังวจะชกให้โดนตาของเซี่ยเหล่ย
แต่ด้วยทักษะของเซี่ยเหล่ย เขาเพียงแค่ขยับหัวหลบนิดเดียวก็สามารถหลบหมัดของอเลน่าได้อย่างง่ายดายแล้วจากนั้นเขาก็จับข้อมือของเธอพร้อมกับดึงเธอเข้ามากอด อเลน่าไม่ยอมแพ้ เธออ้าปากและกัดไปที่มือของเขา ด้วยความเจ็บเซี่ยเหล่ยก็ปล่อยมือออก จังหวะเดียวกันนี้อเลน่าก็ถอยหลังออกมาเล็กน้อยพร้อมกับใช้เท้าเตะไปที่เป้าของเซี่ยเหล่ยอย่างเต็มแรง
อย่างไรก็ตาม การโจมตีของเธอก็ไม่โดนเซี่ยเหล่ยอีกครั้งเนื่องจากเขากระโดดถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็วจากนั้นเขาก็ถอยไปอีกหนึ่งก้าวพร้อมกับหัวเราะและรีบพูดขึ้นทันทีว่า “นี่ผมเอง”
อเลน่าหยุดนิ่งทันทีด้วยความตกใจ พร้อมกับเธอลองถามออกไปว่า “ลูคัส…? นั่นคุณงั้นเหรอ?”
เซี่ยเหล่ยเอื้อมมือไปที่คอและคลำอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะและดึงหน้ากากออก บนหน้าของเขามีรอยยิ้มที่พอใจกับความสำเร็จของตัวเองมาก ก่อนจะพูดออกมาว่า “ดูเหมือนว่าคุณจะจำผมไม่ได้ ถือว่าประสบความสำเร็จ”
อเลน่าเอื้อมมือไปหยิบหน้ากากจากมือของเซี่ยเหล่ยมาดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนจะพูดยกย่องมันว่า “มันมีรายละเอียดที่ละเอียดมากจริงๆ มันยอดเยี่ยมมาก นี่คือสิ่งที่คุณพยายามทำในเวิร์คช้อปของคุณงั้นเหรอ?”
เซี่ยเหล่ยพยักหน้าก่อนจะพูดว่า “ใช่แล้ว และผมจะนำมันไปเมืองเยรูซาเล็มด้วย”
“คุณกำลังจะไปเมืองเยรูซาเล็มงั้นเหรอ?” อเลน่าถามด้วยความประหลาดใจ
“ช่วงที่ผมไม่อยู่คุณและฉิงเสวียงก็ดูแลตัวเองดีๆด้วยหล่ะ” เซี่ยเหล่ยพูด
”เข้าใจละ ฉันรู้ว่าคุณมีภารกิจใหม่ดังนั้นฉันจะไม่ถามอะไรเพิ่มเติม” อเลน่าพูดพร้อมกับยิ้มก่อนจะพูดอีกว่า “แต่คุณต้องทำหน้ากากแบบนี้ให้ฉันด้วย ฉันอยากเป็นมารีลีน มอนโรและริฮานน่า!”
เซี่ยเหล่ยรู้สึกปวดหัวกับความต้องการของเธอทันทีแต่อย่างไรก็ตามเขาก็ตอบเธอไปว่า “เอาล่ะ ผมจะช่วยเปลี่ยนคุณเป็นมารีลีนมอนโรและริฮานน่าเมื่อผมกลับมาก็แล้วกัน”
“เยี่ยม…” อเลน่าพูดก่อนจะเดินเข้าไปใกล้กับเซี่ยเหล่ยก่อนจะพูดอย่างแผ่วเบาว่า “คืนนี้คุณอยู่กับฉันได้ไหม?”
เซี่ยเหล่ยชะงักไปชั่วขณะก่อนจะตอบว่า “อเลน่า ตอนนี้ผมมีคู่หมั้นแล้ว เรา…เรื่องของเราไม่สามารถเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้แล้วนะ”
ก่อนหน้านี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไรเพราะมันเป็นความต้องการของทั้งคู่แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ เขาหมั้นกับเฉินตูเทียนหยินแล้วอีกอย่างเขาเป็นผู้ชายที่รู้จักผิดชอบชั่วดี เขาจึงไม่สามารถนอนกับเธอได้อีกต่อไปแล้วเพราะไม่อยากทำผิดต่อเฉินตูเทียนหยิน
แม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะทำลายความรู้สึกของเธอไปบ้างแต่ไม่ช้าหรือเร็วเขาก็ต้องพูดมันอยู่ดี
ดวงตาของอเลน่าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่เธอพยายามแสร้งยิ้มและทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด เธอยักไหล่หนึ่งครั้งก่อนจะพูดว่า “คุณเป็นคนดีจริงๆ คุณสามารถมานอนกับฉันและเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับก็ได้ แต่คุณก็ไม่ทำ เอาหล่ะ…ฉันเคารพการตัดสินใจของคุณ”
“อเลน่าผม…” เซี่ยเหล่ยพูด เขารู้สึกละอายใจและลำบากใจในเวลาเดียวกัน
“ถ้าคุณจะขอโทษ ไม่จำเป็นหรอกนะ คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลยอีกอย่างฉันเองก็เป็นฝ่ายเริ่มมันก่อน ที่ผ่านมาฉันรู้สึกดีจริงๆ ยังไงซะฉันก็ต้องขอบคุณคุณนะ” อเลน่าพูด
เซี่ยเหล่ยเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “อย่างไรก็ตาม ผมยังไม่ลืมเรื่องฝันของคุณนะ ผมจะทำมันให้ได้อย่างแน่นอน”
“อืม แต่กอดฉันหน่อยได้มั้ย?” อเลน่ากล่าวพร้อมรอยยิ้ม
เซี่ยเหล่ยจับเอวของเธอพร้อมกับดึงมาไว้ในอ้อมแขนการกอดของเขาครั้งนี้ไม่มีความรู้สึกอึดอัดใจเพราะเขาได้พูดในสิ่งที่ต้องการแล้วและดูเหมือนว่าเธอเองก็จะยอมรับมันโดยดี…
ติดตามตอนต่อไป…..