Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - 443 เข้าใกล้ความเป็นมนุษย์
TXV– 443 เข้าใกล้ความเป็นมนุษย์
การมองเห็นของเซี่ยเหล่ยเหมือนกับกระแสน้ำวนที่หนาวเหน็บและมืดจนน่ากลัว เขาไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้เลย
เขาคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้ดีเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเกิดขึ้นกับเขา ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับเขาทุกครั้งที่เขาใช้พลังในการมองทะลุมองไปยังชิ้นส่วนอัลลอยโบราณ
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะเคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้หลายครั้งแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่สามารถคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้ได้เลยจริงๆ
สองนาทีต่อมาการมองเห็นของเซี่ยเหล่ยก็กลับสู่สภาวะปกติ ภายในสุสานโบราณมีบางสิ่งบางอย่างปรากฏตัวเพิ่มขึ้น มันทำให้เซี่ยเหล่ยต้องตกตะลึงอีกครั้ง
เนื่องจากสิ่งที่ปรากฏขึ้นมานั้นไม่ใช่ชายชราที่นอนอยู่ในโลงศพคนนั้นแต่เป็นเจ้าหญิงหยงเหม่ย เธอเป็นก้อนพลังงานที่มีผิวราวกับหิมะ เธอยืนอยู่โดยไม่ได้ใส่เสื้อผ้าซึ่งห่างออกไปจากโลงศพ
เซี่ยเหล่ยรู้ว่าเธอในตอนนี้เป็นเพียงแค่ก้อนพลังงานเท่านั้น
เซี่ยเหล่ยมองฝุ่นในโลงศพจากนั้นก็หันไปมองเจ้าหญิงหยงเหม่ยที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา เขาหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามออกไปว่า “ทำไมเป็นคุณหล่ะ? ทำไมถึงไม่ใช่เขา?”
เนื่องจากเป็นสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันกับตอนที่อยู่อัฟกานิสถาน เขานำอัลลอยโบราณออกจากปากของเจ้าหญิงหยงเหม่ย ทันใดนั้นศพของเจ้าหญิงหยงเหม่ยก็สลายหายตัวไป และสุดท้ายเธอก็ปรากฏตัวเป็นก้อนพลังงานแต่ตอนนี้เขานำอัลลอยโบราณออกมาจากชายชราคนนั้นถึงห้าชิ้นด้วยกันแต่เขากลับไม่ปรากฏตัวออกมา กลับกันเป็นเจ้าหญิงหยงเหม่ยที่ออกมาปรากฏตัวอีกครั้ง
“ฉันจำหน้าของคุณได้” เจ้าหญิงหยงเหม่ยพูด
เซี่ยเหล่ยรู้สึกปวดหัวในทันที เขาหัวเราะแห้งๆก่อนจะพูดว่า “ผมรู้ว่าคุณจำหน้าของผมได้ ผมรู้ว่าคุณรอผมมานานแล้วใช่มั้ย?”
“พวกเขาทั้งหมดตายแล้ว” เจ้าหญิงหยงเหม่ยพูด
เซี่ยเหล่ยชะงักตัวแข็งทื่อและอ้าปากค้างในทันที เขาจ้องมองเธออย่างไม่ละสายตายด้วยความตกใจและประหลาดใจไปพร้อมๆกัน
เจ้าหญิงหยงเหม่ยพูดคำที่ไม่เคยพูดมาก่อน!
“พวกเขาทั้งหมดตายแล้ว” เจ้าหญิงหยงเหม่ยพูดย้ำอีกครั้ง
เซี่ยเหล่ยรีบถามกลับทันทีว่า “ใครตายงั้นเหรอ? แล้วคุณรู้อะไรอีกบ้าง? บอกผมมาทั้งหมด!”
เขามีความรู้สึกว่าเจ้าหญิงหยงเหม่ยนั้นมีความสามารถเพิ่มขึ้นจากเมื่อครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด บางทีเธออาจจะพูดอะไรที่เกี่ยวกับเบาะแสออกมาก็ได้!
เจ้าหญิงหยงเหม่ยมองกลับไปที่เซี่ยเหล่ยก่อนจะพูดต่อว่า “พาฉันกลับไปที่บ้าน”
“ได้สิ บ้านคุณอยู่ไหนหล่ะ?” เซี่ยเหล่ยถามเขาคิดถึงพระราชวังต้าหมิงและเมืองต้องห้าม เนื่องจากสถานที่ทั้งสองนี้เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงระดับโลกและพ่อของเธอเป็นผู้สร้างขึ้นมา ดังนั้นทั้งสองที่นี้เธอสามารถเรียกว่าบ้านได้
เจ้าหญิงหยงเหม่ยไม่ได้ตอบคำถามของเซี่ยเหล่ยอย่างไรก็ตามเธอเดินเข้าไปหาเขาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัวว่า “ฉันหนาวมาก. ฉันหนาวมากเหลือเกิน…”
เซี่ยเหล่ยก้าวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว นั่นอาจจะเป็นเพราะเขาคิดเสมอว่าเจ้าหญิงเหยงเหม่ยไม่ใช่ศัตรูของเขา
อย่างไรก็ตามเมื่อทั้งคู่ประชันหน้ากัน เซี่ยเหล่ยก็ค่อยๆกอดเจ้าหญิงหยงเหม่ยอย่างช้าๆ
เซี่ยเหล่ยไม่รู้ว่าการที่เขากอดเธอจะทำให้เธอรู้สึกอุ่นขึ้นหรือไม่แต่ที่แน่ๆตอนนี้เซี่ยเหล่ยรู้สึกราวกับถูกแช่แข็งเลยก็ว่าได้ แม้ว่าเธอจะไม่มีร่างกายจริงและเป็นแค่เพียงก้อนพลังงาน แต่ก้อนพลังงานนี้ก็สามารถแผ่ความเย็นอย่างมากออกมาได้ ความรู้สึกตอนนี้ของเขาเหมือนกับว่ากำลังกอดกระบอกแอมโมเนียเหลวอยู่เลย!
“บะ.. บอกผมที…” เซี่ยเหล่ยพยายามอดทนต่อความเย็นก่อนจะพูดอย่างตะกุกตะกักและพยายามพูดต่อให้จบว่า “บอกผมทีว่าใครตาย ยิ่งไปกว่านั้นชายชราคนนี้คือใคร และคุณต้องการหาอัลลอยโบราณไปเพื่ออะไร?”
เขาถามคำถามหลายข้อและต้องการทราบคำตอบของคำถามทุกข้อ
“พวกเขาทั้งหมดตายแล้ว” เจ้าหญิงหยงเหม่ยพูดอีกครั้ง ท่าทางเธอเหมือนจะรู้สึกอุ่นขึ้นนิดหน่อย
”บอกผม บอกสิ่งที่คุณรู้มา” เซี่ยเหล่ยพยายามถาม
“ฉันอยากกลับบ้าน” เจ้าหญิงหยงเหม่ยพูดอีกครั้ง
แต่เซี่ยเหล่ยก็ไม่ยอมแพ้ เขาพยายามถามคำถามเธอซ้ำอีกหลายครั้งแต่อย่างไรก็ตามเขาก็ได้รับแค่คำตอบเดิมวนไปวนมาอยู่สองประโยคนี้เท่านั้น
แสงแห่งความหวังที่เขาคิดว่าพอจะมองเห็นดับลงไปอีกครั้ง
เจ้าหญิงหยงเหม่ยที่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ดูเหมือนจะสมบูรณ์มากขึ้นกว่าเดิมแต่เธอก็ยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบ เธอสามารถพูดได้หลากหลายขึ้น ดูมีมนุษย์สัมพันธ์มากขึ้น แต่ก็ยังไม่มากพอ
เซี่ยเหล่ยไม่อยากที่จะถามคำถามเธอต่อไปแล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะถามต่อไปก็เปล่าประโยชน์ อีกส่วนก็เพราะทนความหนาวที่เธอปล่อยออกมาไม่ไหว เขาขยับสายตาไปที่อัลลอยโบราณก่อนจะเรียกใช้ความสามารถของตาซ้าย
เจ้าหญิงหยงเหม่ยสลายตัวไปเหมือนกับตอนที่อยู่ในประเทศจีนในทันที
เซี่ยเหล่ยก็ยังยืนนิ่งๆอยู่ที่เดิมเป็นเวลาอีกสองนาที ต่อจากนั้นก็นำอัลลอยโบราณทั้งห้าชิ้นใส่ในภาชนะที่ป้องกันรังสีพิเศษก่อนจะเดินออกจากสุสานไป
“เซี่ยเหล่ย เซี่ยเหล่ย” เสียงเรียกของหลงบิงและถ่างหยู่เหยี่ยจากปากหลุมทางเข้า พวกเธอดูตื่นเต้นอย่างมากที่เห็นแสงไฟตรงปลายทางสว่างขึ้นอีกครั้ง พวกเธอรู้ว่าเซี่ยเหล่ยกำลังเดินกลับขึ้นมา
เซี่ยเหล่ยเดินเข้ามาใกล้ๆเรื่อยๆจนในที่สุดก็กลับมาที่ปากหลุมทางเข้าสุสาน
“คุณกลับมาแล้ว!” ถ่างหยู่เหยี่ยพูดอย่างตื่นเต้น
หลงบิงนอนราบกับพื้นก่อนจะห้อยแขนลงไปเพื่อเตรียมพร้อมจะดึงเซี่ยเหล่ยกลับขึ้นมา
เซี่ยเหล่ยจับมือของหลงบิงก่อนที่ทั้งคู่จะออกแรงจนสุดท้ายเซี่ยเหล่ยก็ขึ้นมาจากหลุมได้
เขานั่งนิ่งตัวแข็งทื่ออยู่ในอุโมงค์หลังจากที่ขึ้นมาจากหลุมได้แล้ว เขาดูเหนื่อยมากแต่นั่นก็ไม่แปลกเนื่องจากเขาต้องใช้ความสามารถในการมองทะลุเป็นระยะเวลานานอย่างต่อเนื่อง แต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นเพราะยังมีเรื่องของความเย็นจากตัวของเจ้าหญิงหยงเหม่ยที่ไปแช่แข็งกล้ามเนื้อและเส้นประสาทของเขาจนทำให้ร่างกายค่อนข้างฝืด มันสร้างความเหนื่อยให้กับร่างกายมากกว่าที่คิด ซึ่งการจะกลับสู่สภาพเดิมต้องใช้เวลา
หลงบิงยื่นมือไปถอดหน้ากากออกซิเจนรวมถึงกระเป๋าที่เขาสะพายออกก่อนจะถามด้วยความกังวลว่า “ดูคุณจะหนาวมาก ที่นั่นเย็นขนาดไหนกัน?”
เซี่ยเหล่ยหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองก่อนจะตอบกลับไปว่า “ มันค่อนข้างเย็นเลยทีเดียว แต่ก็ช่างมันเถอะตอนนี้ผมได้ของแล้ว เรารีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่า”
“คุณได้มาแล้วงั้นเหรอ?” ถ่างหยู่เหยี่ยถามพร้อมกับพยายามถูมือของเซี่ยเหล่ยเบาๆเพื่อทำให้ร่างกายของเขาอบอุ่นขึ้น
เซี่ยเหล่ยไม่ได้ปกปิดอะไรพวกเธอ เขาตอบไปว่า “ใช่ มีเข็มทิศอันใหม่กับอัลลอยโบราณอีกห้าชิ้น”
“สุสานโบราณแห่งนี้ดูเหมือนจะใหญ่นะ ที่นั่นไม่มีสมบัติเลยซักชิ้นเดียวงั้นเหรอ?” ถ่างหยู่เหยี่ยถามอย่างไม่พอใจ
“ผมไม่รู้ว่าที่นี่เป็นสุสานของใคร ไม่มีศพหรือโครงกระดูกของใครเลย มีเพียงรูปปั้นสี่อันเท่านั้น ถ้าคุณไม่เชื่อสามารถเดินลงไปดูได้” เซี่ยเหล่ยตอบ
“ไม่ ฉันไม่ลงไปหรอก” ถ่างหยู่เหยี่ยพูดก่อนจะพูดต่อว่า “แต่ถ้าคุณแอบซ่อนอะไรเอาไว้ก็บอกมาซะตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า ไม่อย่างนั้นถ้าฉันรู้ทีหลังคุณโดนแน่”
เซี่ยเหล่ยยืดแขนออกทั้งสองข้างก่อนจะพูดว่า “ค้นตัวก็ได้นะ ถ้าคุณต้องการ”
เขาไม่ได้มีอัญมณีเพียงเม็ดเดียวแต่มีถึงสองเม็ดซึ่งไม่แน่ใจว่าเธอจะกล้าแตะต้องมันหรือเปล่า
แต่สุดท้ายแล้วถ่างหยู่เหยี่ยก็ไม่ได้ค้นตัวของเซี่ยเหล่ย เธอพูดไปแบบนั้นก็เพื่อต้องการให้เขารู้สึกผ่อนคลายก็เท่านั้นเอง
หลังจากพักอยู่ครู่หนึ่ง เซี่ยเหล่ยก็ลุกขึ้นพร้อมกับโยนอุปกรณ์ที่ไร้ประโยชน์กลับลงไปในกลุมก่อนจะเดินกลับไปตามทางที่พวกเขาเคยเดินมา
ระหว่างทางเดินถ่างหยู่เหยี่ยก็พูดขึ้นมาว่า “ฉันอยากเห็นอัลลอยโบราณที่คุณขุดเจอ”
แม้ว่าหลงบิงจะไม่ได้พูดเสริมอะไร แต่ท่าทางของเธอก็อยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน
สิ่งที่ผู้หญิงทั้งสองคนอยากรู้และอยากเห็นจริงๆแล้วไม่ใช่อัลลอยโบราณพวกนั้น แต่เป็นคำตอบว่าทำไมเซี่ยเหล่ยถึงเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบจากอัลลอยโบราณพวกนั้นเลย เขาไม่ได้เป็นบ้าและไม่ตายทั้งๆที่คนอื่นที่เคยสัมผัสหรือเข้าใกล้มันไม่เป็นบ้าก็ตายโดยไม่ทราบสาเหตุด้วยซ้ำ!
เซี่ยเหล่ยดูเหมือนจะรู้สึกระแคะระคายอะไรบางอย่างจากคำถามของเธอ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบไปว่า “ผมรู้ว่าจริงๆแล้วที่คุณอยากรู้ไม่ใช่แค่เรื่องของอัลลอยโบราณ แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสาเหตุที่ผมมีภูมิคุ้มกันกับมัน ผมจะบอกไว้เลยว่าผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันแต่ถ้าคุณต้องการคำตอบให้ได้หล่ะก็ สิ่งที่ผมพอจะคิดออกก็คงเป็นเพราะผมเคยซ่อมเข็มทิศอันนั้นยังไงหล่ะ ”
หลงบิงและถ่างหยู่เหยี่ยหันมามองหน้ากัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรซึ่งกันและกัน ดูเหมือนพวกเธอจะมีข้อสงสัยเดียวกันว่า มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือเปล่า? ไอลีนโนเวล
อย่างไรก็ตามพวกเธอเองก็ไม่สามารถหาคำตอบอื่นๆมาอธิบายได้
การเดินทางกลับนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นเลย ทั้งสามคนเดินมาจนสุดทางของอุโมงระบายน้ำก่อนจะเปลี่ยนกลับไปเป็นชุดเดิม
เซี่ยเหล่ยไม่ได้หันไปทางอื่นในขณะที่พวกเธอกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า
ถ่างหยู่เหยี่ยเห็นท่าทางและสายตาของเซี่ยเหล่ย เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร เธอพูดอย่างใจกว้างว่า “เซี่ยเหล่ย ฉันขอถามอะไรคุณหน่อยได้ไหม?”
“ถามอะไรงั้นเหรอ?” เซี่ยเหล่ยมองไปที่ต้นขาของเธอก่อนจะยิ้มและพูดต่ออีกว่า “ถามได้ทุกอย่าง ทุกอย่างที่คุณต้องการ”
“ชุดชั้นในของเฉินตูเทียนหยินไซส์เท่าไหร่งั้นเหรอ?” ถ่างหยู่เหยี่ยถาม
เซี่ยเหล่ยถึงกับพูดไม่ออก
“ถ้าพวกคุณสองคนแต่งงานกันจริงๆ ความแตกต่างของสินทรัพย์จะจัดการยังไง? พวกคุณจะรวมบริษัทเข้าด้วยกันหรือไม่?” ถ่างหยู่เหยี่ยถามต่อ
เซี่ยเหล่ยพูดไม่ออกอีกครั้ง
หลงบิงเรียกหลิวเฉียงด้วยโทรศัพท์ดาวเทียม ไม่นานหลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงรถแล่นมาหยุดอยู่บริเวณเหนือหัวของพวกเขา และไม่กี่นาทีต่อมาก็มีเสียงเคาะฝาท่อระบายน้ำเป็นจังหวะ
มันคือสัญญาณของหลิวเฉียง!
เซียเหล่ยเป็นคนแรกที่ปีนขึ้นไป เขาเอื้อมมือออกไปและผลักฝาท่อระบายน้ำที่ปิดอยู่ขึ้น
ฝาครอบท่อระบายน้ำถูกผลักออกไป เซี่ยเหล่ยถ่างหยู่เหยี่ยและหลงบิงรีบปีนขึ้นมาตามละดับ เมื่อขึ้นมาแล้วพวกเขารีบปิดฝาท่อระบายน้ำก่อนจะเดินไปขึ้นรถทันที
เดิมทีหลิวเฉียงสตาร์ทเครื่องยนต์รอไว้อยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อพวกเขาขึ้นรถก็สามารถออกเดินทางได้เลย
“มีความคืบหน้าอะไรบ้างหรือไม่?” หลงบิงถาม
“กลุ่มผู้เชี่ยวชาญเดินทางกลับผ่านช่องทางที่ปลอดภัยแล้ว เจ้าหน้าที่ของอิสราเอลถามคำถามกับเจ้าหน้าที่สถานทูต พวกเขาขอข้อมูลเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานทั้งสามคนของผมอย่างไรก็ตามคำตอบของเจ้าหน้าที่สถานทูตนั้นไม่ชัดเจน มันหมายความว่าเราไม่สามารถระบุตัวตนของพวกเขาให้กับเจ้าหน้าที่ของอิสราเอลได้” หลิวเฉียงพูด
การที่เรื่องราวมันออกมาแบบนี้ไม่ทำให้พวกเขาแปลกใจ พวกอเมริกาเองก็จะไม่ระบุตัวตนของแลนด์เบริกจีนเองก็จะไม่ระบุตัวตนของโต้วหยงและคนอื่นๆเช่นกัน นี่คือโลกของเจ้าหน้าที่สายลับเหมือนกันแม้ว่าพวกเขาจะตายไปแล้วแต่ก็ยังต้องทำหน้าที่เพื่อเสียสละต่อชาติตลอดไป
การเป็นสายลับของประเทศถือเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่!
“พวกเราเองก็ต้องรีบกลับให้เร็วที่สุดด้วย” เซี่ยเหล่ยพูดก่อนจะพูดต่อว่า “ที่นี่ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ของในกระเป๋าของผมมันสำคัญมาก ระหว่างนี้เราต้องปกป้องมันให้ดีที่สุด”
หลงบิงพยักหน้าก่อนจะพูดว่า “เมื่อกลับไปที่สถานีข่าวกรอง เราจะรีบจัดการทุกอย่างที่จำเป็นและเดินทางกลับทันที”
เมื่อสิ้นเสียงพูดของหลงบิง จู่ๆก็มีรถคันหนึ่งปรากฏขึ้นบนถนนทางทิศตะวันออกออกพวกเขา มันกำลังเร่งความเร็วขึ้นมา แต่ก็หยุดลงพร้อมกับล้อที่บดถนนจนมีเสียงกรี๊ดราวกับว่ามีผู้หญิงกำลังกรีดร้อง!
ติดตามตอนต่อไป………