Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - ตอนที่ 238
TXV – 238 น้ำร้อนกับสบู่ !
เมื่อสามวันผ่านไปเหล่าบรรดาคนงานที่ได้หยุดพักผ่อนไปก่อนหน้านี้ได้กลับมาทำงานตามเดิม เซี่ยเหล่ยเองก็ได้กลับมาที่เมืองห่ายจูจากที่ก่อนหน้านี้ได้ไปที่เมืองชู่ เมื่อบรรดาคนงานได้กลับมาทำงานอีกครั้งก็ทำให้บริษัทอุตสาหกรรมอาชาสายฟ้าที่ก่อนหน้านี้เงียบเหงากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ในสามวันที่ผ่านมา เซี่ยเหล่ยได้ใช้เวลาในการตัดสินใจที่จะสร้างโรงงานสาขาย่อยขึ้นที่เมืองชู่ บรรดาพนักงานของบริษัทอุตสาหกรรมอาชาสายฟ้าได้พูดคุยขึ้นอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับเรื่องวัสดุแม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันของอุตสาหกรรมอาชาสายฟ้าจะไม่ได้ผลิตอะไรก็ตามแต่สเก็ตอบร์ดอัตโนมัติก็ได้ถูกโปรโมตออกไปหลายครั้งแล้วดังนั้นจำนวนของคำสั่งซื้อของสเก็ตบอร์ดอัตโนมัติจึงไม่ใช่ปัญหา
สามวันก่อนหน้านี้เซี่ยเหล่ยรู้สึกว่าเขาเหนื่อยทั้งทางร่างกายและจิตใจจากการทำงานแต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้วเขากลับรู้สึกรื่นรมย์และผ่อนคลายอย่างมาก
“ฉันคิดว่าการแสดงออกทางสีหน้าของคุณในตอนนี้ดูดีมากแสดงว่าคุณไปจัดการเรื่องราวต่างๆได้แล้วใช่มั้ย?” ฉิงเสวียงพูดขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของเซี่ยเหล่ยที่กำลังยิ้มแย้ม
เซี่ยเหล่ยตอบว่า “ทุกอย่างเรียบร้อย สาขาใหม่ของเราได้ถูกเลือกที่ตั้งแล้ว ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ” เซี่ยเหล่ยยิ้มแล้วพูดต่อว่า “มันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก รัฐบาลท้องถิ่นได้รับสัมปทานที่ดีแต่เราต้องรออีก3 – 4 เดือนสำหรับบริษัทใหม่ของเรา”
“เยี่ยมไปเลย ผมคิดไว้แล้วว่าสายตาของคุณจะต้องมองไม่พลาดแล้วจูเสี่ยวหง ไม่ได้กลับมาพร้อมคุณเหรอ?”
เซี่ยเหล่ยพูดว่า “เธอยังคงอยู่ที่เมืองชู่และเธอก็เป็นคนในพื้นที่อย่างไรก็ตามผมได้ให้หยินฮ่าวค่อยช่วยเหลือเธอในขณะที่เธอยังอยู่ที่นั่น “
ฉิงเสวียงพยักหน้าจากนั้นก็พูดต่อว่า “จูเสี่ยวหง เป็นคนซื่อสัตย์และซื่อตรง แถมยังเป็นคนในพื้นที่อีกด้วย การที่คุณให้เธอไปสร้างบริษัทใหม่ที่นั่น มันเหมาะสมกับเธออย่างมาก”
เมื่อพูดกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นในความคิดของเซี่ยเหล่ยก็ผุดภาพของเธอขึ้นมาอย่างเงียบๆ มันเป็นภาพร่างกายที่เปลือยเปล่าของจูเสี่ยวหงพร้อมกับบรรยากาศที่บ้านของเธอตอนที่ฝนตกโปรยๆอยู่นอกหน้าต่าง เมื่อคิดไปแบบนั้นมุมปากของเขาก็มีรอยยิ้มเล็กน้อย
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเหล่าพนักงานบริษัทอุตสาหกรรมอาชาสายฟ้าได้ออกจากบริษัท จากนั้นก็ให้พวกเขาเดินขบวนพร้อมสโลแกนว่า “พวกเราจำเป็นต้องกินข้าว” “ลูกของพวกเรายังต้องการเรียนหนังสือ” และคำขวัญอื่น ๆ เพื่อเดินตรงไปยังเทศบาลนี่คือแผนที่เซี่ยเหล่ยวางเอาไว้ เขาได้ส่งคนงานออกไปเกือบ 100 คนและเหลืออีกกว่าหลายคนเอาไว้เพื่อให้เดินไปตามถนนพร้อมพูดสโลแกนอีกทางหนึ่ง เมื่อมีใครที่ผ่านมาเห็นก็จะต้องถ่ายรูปและกระจายภาพพวกเขาออกไปเพื่อให้คนอื่นๆได้รับรู้ต่อๆกันเป็นลูกโซ่
“แล้วต้องให้ฉันทำอะไร?” ฉิงเสวียงถามเซี่ยเหล่ยในขณะที่พวกเขาอยู่ในออฟฟิศ
เซี่ยเหล่ยตอบไปว่า “ซูเปอร์มาร์เก็ตยังคงมีการดำเนินงานอยู่ตามปกติ คุณก็กลับไปจัดการซูเปอร์มาร์เก็ตตามเดิม”
ฉิงเสวียงได้ยิ้มแล้วก็พูดขึ้นว่า “ความหมายของฉันคือการจัดการอะไรเป็นพิเศษ คุณเข้าใจที่ฉันพูดใช่มั้ยเหมือนการเคลื่อนไหวของพวกเราก่อนหน้านี้ แต่จริงๆแล้วฮวงยี่หู่ ……“
เซี่ยเหล่ยเข้าใจความหมายของสิ่งที่ฉิงเสวียงพูด
“ฉิงเสวียง ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณต้องการจะทำแต่ผมว่าเรื่องนี้มันจะเสี่ยงเกินไป ผมคิดว่าคุณไม่จำเป็นที่จะต้องทำโดยใช้ความเสี่ยงขนาดนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง “เซี่ยเหล่ยพูดขึ้น
ฉิงเสวียงยักไหล่จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “โอเค ฉันจะกลับไปจัดการและให้บริการต่อที่ซูเปอร์มาร์เก็ต”
“เดี๋ยวก่อน ” เซี่ยเหล่ยพูดขึ้นเพื่อให้เธอหยุดเดินจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ตอนนี้ไม่มีงานอะไรให้คุณทำและคุณเคยบอกว่าจะสอนทักษะการขโมยให้กับผม ผมคิดว่าเวลานี้มาถึงแล้ว “
“ได้เลย คุณรอซักครู่ ฉันจะไปเตรียมการก่อน” ฉิงเสวียงพูดขึ้นและเดินจากไป
หลังจากนั้นเซี่ยเหล่ยก็เดินตามฉิงเสวียงไปที่ออฟฟิศในตอนนี้มือของเธอกำลังถือน้ำร้อนที่กำลังเดือดพร้อมกับอ่างล่างหน้า
เซี่ยเหล่ยมองไปที่การกระทำของฉิงเสวียงจากนั้นก็พูดขึ้นอย่างกระตือรือร้นว่า “คุณกำลังทำอะไร?”
“สอนคุณไง” ฉิงเสวียงพูดขึ้นจากนั้นเธอก็วางอ่างล้างหน้าไว้บนโต๊ะเทน้ำที่เดือดลงไปแล้วก็หยิบเอาสบู่ที่ยังไม่แกะออกจากห่อขึ้นมาจากนั้นก็โยนมันลงไปในอ่างล้างหน้าที่มีน้ำเดือดอยู่
เซี่ยเหล่ยชะงักไปชั่วขณะแล้วขมวดคิ้วจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ไม่จริงใช่มั้ย?”
ฉิงเสวียงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “นี่จะเป็นการฝึกทักษะพื้นฐานในขั้นแรกโดยการให้คุณใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางคีบสบู่นี้ขึ้นมาโดยต้องฝึกทั้งสองมือจากนั้นทักษะการใช้ทั้งมือซ้ายและมือขวาของคุณก็จะดีขึ้นเอง “
เซี่ยเหล่ยยืนอยู่หน้าอ่างล่างหน้าเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ยื่นมือขวาออกมาใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางทำให้เป็นเหมือนตะเกียบและพยายามที่จะคีบสบู่ขึ้นมา เขาพยายามยื่นมือไปคีบสบู่ในอ่างล่างหน้า แต่เพียงแค่เขาได้สัมผัสไปโดนน้ำเดือดเพียงเล็กน้อยนั้น เขาก็ร้องขึ้นมาพร้อมกับหดมือกลับออกมาจากอ่างล้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ฉิงเสวียงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันจะบอกอะไรให้คุณฟังในอดีต อาจารย์ของฉันได้โยนเหรียญลงไปในน้ำมันที่กำลังเดือดอยู่แต่ฉันก็สามารถนำเหรียญนั้นขึ้นมาได้ “
เมื่อเซี่ยเหล่ยได้ยินเข้าก็ได้หันไปหาเขาและทำตาโตขึ้นจากนั้นก็พูดว่า “ใครจะไปเชื่อคุณ ไหนลองสาธิตให้ผมดูหน่อย”
ฉิงเสวียงไม่ได้พูดอะไรตอบแต่มือของเธอก็เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ความเร็วนี้เปรียบได้กับการกระพริบตาหนึ่งครั้งหลังจากนั้นสบู่ก็ถูกคีบขึ้นมาอยู่ภายในระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลางของเขา
เมื่อเห็นการกระทำดังกล่าวของฉิงเสวียงทำให้เซี่ยเหล่ยสงสัยเล็กน้อยแม้ว่าตาข้างซ้ายของเซี่ยเหล่ยจะเห็นการเคลื่อนไหวของมือของฉิงเสวียงแต่เขาก็ไม่ได้ใช้ทักษะอะไรในการเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้เลย
“คุณเอากระดาษแผ่นนั้นมาให้ฉัน” ฉิงเสวียงพูดขึ้นและชี้ไปที่กระดาษแผ่นหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ
“คุณจะเอากระดาษไปทำอะไร” เซี่ยเหล่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้แต่ในขณะเดียวกันเขาก็หันไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นและหันกลับมาส่งให้ฉิงเสวียง
เซี่ยเหล่ยหันกลับมาและกำลังจะยื่นกระดาษให้กับฉิงเสวียงแต่ก็พบว่าในมือของเขาตอนนี้ไม่ได้มีสบู่ถืออยู่แล้วแต่กลับเป็นกระเป๋าสตางค์ของเซี่ยเหล่ยเองที่อยู่ในมือของเขา
“คุณ …… ทำได้อย่างไร?” เซี่ยเหล่ยพูดขึ้น ในตอนนี้เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
ฉิงเสวียงได้ยิ้มเบาๆแล้วพูดขึ้นว่า “สิ่งสำคัญจากสิ่งที่ทำนี้คือการหันเหความสนใจจากสิ่งที่เราต้องการอย่างเช่นเมื่อกี้ฉันให้คุณหันไปในด้านตรงข้ามเพื่อให้คุณไม่ทันสังเกตเห็นการกระทำของฉันและสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะขาดไม่ได้ก็คือความเร็วและความแม่นยำ ดังนั้นฉันจะให้คุณลองมันอีกครั้งกับน้ำเดือดนี่ “
เซี่ยเหล่ย “…… “
หลังจากหนึ่งชั่วโมง
มือขวาของเซี่ยเหล่ยสามารถผ่านความร้อนของน้ำเดือดลงไปถึงสบู่ได้อย่างแม่นยำแต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงนำสบู่ขึ้นมาไม่ได้เนื่องจากเมื่อสบู่อยู่ในน้ำ มันลื่นมากๆ
“มันยังใช้ไม่ได้” เซี่ยเหล่ยพูดพร้อมกับส่ายหัวและแสดงท่าทางที่ไม่พอใจกับผลงานของเขา
ฉิงเสวียงจ้องไปที่เซี่ยเหล่ยจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “คุณเครียดเกินไปหรือป่าว? คุณรู้ไหมว่ากว่าที่ฉันจะสามารถจับสบู่ขึ้นมาได้นั้นใช้เวลานานขนาดไหน? ฉันต้องใช้เวลาตลอดครึ่งเดือนกว่าจะฝึกจนสำเร็จ แต่นี่คุณใช้เวลาราวๆหนึ่งชั่วโมงก็เกือบที่จะสำเร็จแล้ว คุณจะเครียดไปทำไม? “
ความสามารถในการเรียนรู้ของเซี่ยเหล่ยนั้นถือเป็นเรื่องที่แปลกเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ เพียงแต่ตัวเขาเองยังไม่รู้และไม่ชินกับมันก็เท่านั้น ในสายตาของคนอื่นเขาก็เป็นเหมือนกับสัตว์ประหลาดไปแล้ว……..
ในเวลานี้เสียงโทรศัพท์ของเซี่ยเหล่ยก็ดังขึ้น
ผู้ที่โทรมาก็คือ หู่ฮั่ว เซี่ยเหล่ยรับสายโทรศัพท์จากนั้น หู่ฮั่วก็พูดขึ้นด้วยความโกรธผ่านโทรศัพท์ไปว่า “เซี่ยเหล่ยคุณต้องการจะทำอะไร? คุณบอกความจริงกับผมมาเถอะว่าคุณต้องการที่จะทำอะไรกันแน่? “
ไม่แปลกใจเลยที่หู่ฮั่วจะพูดเช่นนั้นเพราะคนงานหลายร้อยคนได้เดินขบวนภายใต้สโลแกนพวกนั้น มันจะต้องมีผลกระทบกับหู่ฮั่วโดยตรงอย่างแน่นอน
เซี่ยเหล่ยได้พูดขึ้นว่า “นายกเทศมนตรีหู่ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คุณระงับการผลิตของบริษัทผม ผมจึงจำเป็นที่จะต้องแก้ปัญหาโดยให้พวกเขาได้ไปพักผ่อนแต่สุดท้ายแล้วบริษัทก็ถูกระงับเป็นเวลาครึ่งปีดังนั้นผมไม่สามารถที่จะหยุดพวกเขาได้อีกต่อไป “
“เซี่ยเหล่ยทำไมคุณไม่พูดคุยหรือปรึกษากับผมก่อน” หู่ฮั่วพูดขึ้นจากนั้นก็พูดต่อว่า “คุณเรียกคนงานของคุณกลับมาเดี๋ยวนี้และอย่าปล่อยให้พวกเขาไปเดินขบวนบนท้องถนน “
เซี่ยเหล่ยพูดว่า “นายกเทศมนตรีหู่ คุณต้องเข้าใจในเรื่องนี้ พวกเขากำลังโกรธ ผมไปห้ามพวกเขาไม่ได้หรอก พวกเขาต้องกินต้องใช้และบางคนยังมีลูกที่กำลังอยู่ในวัยเรียนดังนั้นพวกเขาต้องการระบายความโกรธออกไปให้คนอื่นได้รับรู้ “
“ยังไงก็ตามคุณต้องควบคุมให้พวกเขาถอยกลับไป!” หู่ฮั่วพูดขึ้น
“นายกเทศมนตรีหู่ สถานการณ์ตอนนี้พวกเขาก็ไม่ฟังผมแล้ว มันไร้ประโยชน์ถึงผมจะเป็นคนพูดเองก็ตาม ดังนั้นคุณควรจะยกเลิกการระงับการผลิตของบริษัทจะดีกว่านะ ” เซี่ยเหล่ยพูดขึ้น
“คุณ …… ” หู่ฮั่วพูดขึ้น จากนั้นก็เงียบไปสักครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้นว่า “เรามาถอยกันคนละก้าวจะดีกว่า คุณบอกให้คนของคุณกลับมา ผมก็จะหาทางช่วยคุณและหลังจากนี้หนึ่งชั่วโมงเราจะไปเจอกันที่ร้านอิมพิเรียลมาร์เกน “
“ตกลง เอาเป็นว่าตามนี้” เซี่ยเหล่ยพูดขึ้น
เมื่อการสนทนาระหว่างหู่ฮั่วและเซี่ยเหล่ยผ่านโทรศัพท์จบลงทำให้เซี่ยเหล่ยโทรศัพท์ไปหากวนหลิงชานทันทีแล้วพูดว่า “หลิงชาน ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน”
เสียงของกวนหลิงชานออกมาจากโทรศัพท์ของเซี่ยเหล่ยว่า”เราเข้าใกล้กับเทศบาลแล้วประธานเซี่ย แต่ตอนนี้ได้มีพวกตำรวจตามเรามาด้วยแล้วบอกว่าจะจับพวกเรา ฉันจะต้องทำอย่างไรต่อ? ฉันรู้สึกกลัว”
เซี่ยเหล่ยตอบไปด้วยรอยยิ้มว่า “อย่ากลัวไปเลย ผมจะรับผิดชอบเองแต่ตอนนี้คุณอย่าให้พวกคนงานแยกตัวกันไปไหน รวมกลุ่มกันไว้ก่อนแล้วรอผมติดต่อไปอีกครั้ง “
“อื้ม” กวนหลิงชา ตอบรับคำพูดของเซี่ยเหล่ย
“นอกจากนี้คุณถามพวกคนงานได้เลยว่าอยากกินอะไรแล้วก็พาพวกเขาไปกินสิ่งที่อยากจะกิน เรื่องค่าใช้จ่ายบริษัทจะเป็นคนออกให้เอง” เซี่ยเหล่ยพูดขึ้น
“ว้าว! ถ้าฉันบอกสิ่งนี้กับพวกเขาไป พวกเขาจะต้องดีใจอย่างแน่นอน ” กวนหลิงชานพูด
เซี่ยเหล่ยได้วางสายโทรศัพท์จากนั้นเขาก็ก้มหน้าก้มตาฝึกคีบสบู่ในน้ำเดือดต่อไป
ฉิงเสวียงได้มองไปที่เซี่ยเหล่ย เขาถอนหายใจและพูดอย่างไม่เต็มใจไปว่า “โฮ่ๆ คุณต้องการที่จะเป็นขโมยให้ได้เลยใช่มั้ย”
เซี่ยเหล่ยยิ้มแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป…..หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดขึ้นว่า “ผมจะไปทำข้อตกลงกับหู่ฮั่วและผมจะให้คุณดูสถานการณ์อยู่ที่นี่ ถ้ามีอะไรก็รีบติดต่อผมทันที “
ฉิงเสวียงพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องกังวล ฉันจะดูแลที่นี่ให้เอง หายห่วงได้ ! “
หลังจากนั้นไม่นานเซี่ยเหล่ยก็ได้เดินไปขึ้นรถ BMW M6 สีดำของเขาหลังจากนั้นก็ได้ป้อนคำว่า “ร้านอิมพิเรียลมาร์เกน” บนเครื่องนำทางหลังจากผลการค้นหาออกมา เขาก็กดเริ่มต้นใช้งานเครื่องนำทางจากนั้นก็ขับรถออกจากอุตสาหกรรมอาชาสายฟ้า
ร้านอิมพิเรียลมาร์เกนเป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงมากโดยปกติแล้วการเจรจาจะขาดเหล้าขาดไวน์ไปไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้สมองของเซี่ยเหล่ยไม่สามารถที่จะหยุดคิดถึงสิ่งที่หู่ฮั่วจะเรียกร้องจากเขาได้เลย……
ติดตามตอนต่อไป………….