Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - ตอนที่ 288
TXV – 288 สถานการณ์เลวร้าย !
ถือเป็นโชคดีอย่างมากที่เซี่ยเหล่ยสามารถเข้าไปหลบหลังกำบังได้ก่อนที่กระสุนปืนจะมาถึง มันเฉือนแค่เสี้ยววินาทีจริงๆ
หลังจากนั้นก็มีกระสุนที่ถูกยิงลงมาตกตรงที่เดิมอีกหลายนัด นั่นทำให้เซี่ยเหล่ยคิดว่านี่คงจะเป็นระยะสูงสุดที่สไนเปอร์ฝั่งตรงข้ามจะสามารถยิงมาได้
“เขาเป็นมนุษย์จริงๆงั้นเหรอ? เขาขึ้นไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไรกันด้วยเวลาแค่นี้มันเป็นไปได้งั้นเหรอ มันไกลมากเลยนะ? ” ถ่างหยู่เหยี่ยพูดกับตัวเองอย่างงงงวย
และในตอนนี้ถ่างหยู่เหยี่ยก็มองไม่เห็นเซี่ยเหล่ยแล้ว เขาวิ่งหายไปไกลจนสุดสายตา
“เห้ย…..นั่นคุณไม่ได้กำลังหนีหรอกใช่มั้ย?” ถ่างหยู่เหยี่ยพูดกับตัวเองอีกครั้ง!
ด้านสไนเปอร์ของฝั่งตรงข้ามเช่นกันที่ตอนนี้ไม่เห็นเซี่ยเหล่ยแล้วก็ทำให้เขาหันลำกล้องไปทางเป้าหมายอื่นแทน
สถานการณ์ตอนนี้เลวร้ายเป็นอย่างมาก พวกเขาทั้งสองฝ่ายไม่รู้เลยว่าสูญเสียกระสุนไปมากแค่ไหนแล้วในตอนนี้ ด้านเจ้าหน้าที่ที่มาจากจีนในตอนนี้ก็รู้สึกว่ามันอยู่ในช่วงที่ยากลำบากมากเพราะพวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกศัตรูเห็นแต่พวกเขากลับยังไม่เห็นตำแหน่งของศัตรู
ในตอนนี้เซี่ยเหล่ยหากำบังที่ใหม่ได้แล้ว นั่นทำให้เขามองกลับไปยังหุบเขาฝั่งตรงข้ามเพื่อที่จะมองหาศัตรูอีกครั้งว่าตอนนี้เคลื่อนที่ไปอยู่ตรงไหนกันแล้วบ้างและถึงแม้ว่าในตอนนี้จะเป็นกลางคืนแต่มันก็ไม่มีผลกับการมองเห็นของเซี่ยเหล่ยเพราะตาซ้ายของเขาเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน
เมื่อเซี่ยเหล่ยเห็นเป้าหมายเขาก็ยกปืนไรเฟิลขึ้นมาเล็ง โดยเขาใช้กล้องมองไปที่หัวของศัตรูจากนั้นก็กลั้นหายใจและลั่นไก
ปัง!! เสียงปืนดัง พร้อมกระสุนที่ถูกปล่อยออกมา มันใช้เวลาเพียงแค่1.587วินาทีก็ไปถึงยังหัวของศัตรู เขาล้มลงทันทีถึงแม้ว่าเขาจะสวมหมวกที่มีความแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษแต่ก็ไม่อาจจะป้องกันความเร็วและแรงของกระสุนปืนไรเฟิลได้!
หลังจากเซี่ยเหล่ยยิงไปแล้วเขาก็ใช้กล้องของปืนไรเฟิลมองให้แน่ใจว่าสไนเปอร์ของฝั่งศัตรูตายแน่แล้ว จากนั้นเขาก็บอกผ่านตัวสื่อสารขนาดเล็กไปว่า”ตอนนี้สไนเปอร์ของฝั่งศัตรูตายไปหนึ่งคนแล้ว พวกคุณยิงกันต่อไป ผมจะรีบจัดการคนอื่นๆต่อ”
“หืมมมม!” เสียงของถ่างหยู่เหยี่ยเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ยิงได้อีกคนแล้วงั้นเหรอ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูด
ปัง !! เสียงปืนไรเฟิลดังขึ้นอีกนัด พร้อมกับกองกำลังไม่ทราบฝ่ายของฝั่งศัตรูที่ล้มลง
กระสุนนัดนั้นตรงเข้าที่หน้าอกของกองกำลังฝั่งศัตรูอย่างจัง กระสุนได้ทะลวงเข้าไปพร้อมกับเปิดหน้าอกของเขาจากการปั่นของกระสุนปืนไรเฟิล เผยให้เห็นอวัยวะภายในร่างกาย
หลังจากที่ได้ฆ่าคนที่ยิงจรวด RPG แล้วเขาก็ยังฆ่าสไนเปอร์ของฝั่งตรงข้ามไปอีกสองสามคน ตอนนี้เขาเริ่มที่จะไม่เกร็งและเริ่มที่จะชินกับสนามรบขึ้นมาบ้างแล้ว นอกจากนี้เขายังไม่ต้องกลัวสไนเปอร์ของฝั่งตรงข้ามที่เหลืออยู่เลยเพราะตอนนี้เขาอยู่นอกเหนือระยะยิงของกองกำลังฝั่งศัตรูแล้ว!
หลังจากเวลาผ่านไปหลายนาทีเซี่ยเหล่ยก็สามารถสังหารศัตรูไปได้หลายคนโดยใช้ปืนไรเฟิลของเขา นั่นทำให้กองกำลังฝั่งตรงข้ามนั้นเหลือน้อยกว่า15คนแล้ว!
ด้วยจำนวนของกองกำลังฝั่งตรงข้ามที่เหลือแค่นี้ทำให้พวกเขาได้วิ่งหนีเพื่อที่จะล่าถอยกลับและเอาชีวิตรอด
ตอนนี้เซี่ยเหล่ยได้ฆ่าคนไปแล้วเป็นจำนวนเลขสองหลัก…..
ในเวลานี้เซี่ยเหล่ยไม่รู้สึกขยะแขยงในขณะที่สังหารใครแล้วหลังจากที่เขาเคยพูดเรื่องนี้กับหลงบิงว่ารู้สึกผิดรวมไปถึงขยะแขยงเวลาฆ่าคนตาย…..
แต่ถึงจะไม่มีความรู้สึกที่น่าขยะแขยงเวลาฆ่าคนแล้วก็ตาม แต่ในวันนี้เซี่ยเหล่ยได้ฆ่าคนไปมากกว่าสิบคนแล้ว ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ฆ่าคนมากขนาดนี้ มันจึงทำให้สมองของเขาในตอนนี้ว่างเปล่า……
“เหล่ย คุณต้องกลับมาให้เร็วที่สุด พวกเราจะได้รีบออกไปจากที่นี่กัน “เสียงของถ่างหยู่เหยี่ยพูดออกผ่านเครื่องสื่อสารขนาดเล็ก
เซี่ยเหล่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่หนึ่งครั้งจากนั้นก็รีบเดินลงไปรวมกลุ่มกับถ่างหยู่เหยี่ย ความรู้สึกของเซี่ยเหล่ยหลังจากที่การสู้รบจริงในสนามรบสิ้นสุดลง เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างมากแต่อยู่ๆก็ไม่รู้ว่าทำไมขาของเขาก็สั่นอย่างไม่มีเหตุผล
‘นี่เราจะกลายเป็นคนแบบหลงบิงหรือถ่างหยู่เหยี่ยอย่างนั้นเหรอ’ เซี่ยเหล่ยคิดในใจพร้อมยิ้มอย่างขมขื่นที่มุมปากนี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ขาของเขาสั่น
บทสรุปของการสู้รบในครั้งนี้ฝั่งกองกำลังของศัตรูถูกฆ่าไปสิบเจ็ดคนในจำนวนนั้นถูกเซี่ยเหล่ยฆ่าไปสิบสองคน และเจ้าหน้าที่ของฝั่งสำนักงานลับ 101 ก็ถูกฆ่าไปสามคนถึงแม้ว่าการสูญเสียพรรคพวกเดียวกันจะถือเป็นเรื่องที่เลวร้ายแต่ที่แย่ที่สุดในครั้งนี้คือการที่คาลาถูกฆ่าตาย
การที่เซี่ยเหล่ยฆ่ากองกำลังไม่ทราบฝ่ายของฝั่งตรงข้ามได้สิบสองคนในการสู้รบครั้งนี้ ทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนตกตะลึงกันอย่างมากเพราะเขาคิดว่าที่ปรึกษาในความหมายที่พวกเขาเข้าใจคือเป็นเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคเช่นอาจจะเป็นแฮกเกอร์หรือไม่ก็เป็นโปรแกรมเมอร์ พวกเขาไม่ได้คิดแม้แต่น้อยเลยว่าที่ปรึกษาที่พูดถึงก่อนหน้านี้จะเป็นคนที่ยิงปืนได้แม่นขนาดนี้!
ในขณะที่กำลังรอให้เซี่ยเหล่ยกลับมารวมตัวกันนั้น เหล่าเจ้าหน้าที่ก็ได้ไปค้นหาข้อมูลจากตัวของกองกำลังไม่ทราบฝ่ายแต่ก็ไม่พบหลักฐานอะไรที่จะระบุตัวตนหรือสังกัดได้เลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ข้อมูลอะไรเลยซะทีเดียว เพราะที่กระเป๋าของพวกเขาพอจะมีเบาะแสอยู่บ้าง
ภายในกระเป๋าของกองกำลังคนหนึ่ง มีหมากฝรั่ง ช็อกโกแลตแท่ง นิตยสารเพลย์บอย พร้อมรูปภาพจำนวนหนึ่งโดยหนึ่งในรูปภาพเหล่านั้นถ่ายติดเมืองนิวยอร์ค และยังติดประตูของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งโดยภาพทั้งสองมีคู่ชายหญิงคู่หนึ่งที่ถ่ายอย่างสนิทสนมกัน…..
ถ่างหยู่เหยี่ยชี้ไปที่พื้นตรงบริเวณที่นำเบาะแสออกมาวางพร้อมพูดขึ้นว่า “ด้วยเบาะแสพวกนี้ พวกคุณมีความเห็นว่าอย่างไร?”
เซี่ยเหล่ยที่ในขณะนี้มาถึงและได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจึงพูดขึ้นว่า “ภาพเหล่านี้ก็ค่อนข้างที่จะชัดเจนอยู่แล้วว่าพวกเขามาจากที่ไหนและผมคิดว่าเรื่องนี้คุณควรจะรู้ดีกว่าผมนะ “
กองกำลังไม่ระบุสัญชาติพวกนี้เป็นชาวอเมริกันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ่างหยู่เหยี่ยไม่ได้พูดออกมาให้ชัดเจน เธอก็ยังคงสงสัยอยู่บ้างเหมือนกันว่าพวกนี้อาจจะเป็นกองกำลังหน่วยรบพิเศษของสหรัฐอเมริกาและไม่น่าจะใช่ CIA เพราะพวก CIA จะไม่ทำงานเป็นกลุ่มกันเยอะขนาดนี้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าในกลุ่มคนพวกนี้จะมี CIA อยู่ซักหนึ่งหรือสองคนเพื่อคอยควบคุมกองกำลังหน่วยรบพิเศษแต่ที่สุดแล้วก็ไม่สามารถยืนยันตัวตนได้ว่าใครที่เป็น CIA ในกลุ่ม เพราะไม่พบหลักฐานเพิ่มเติมแล้ว
ถ่างหยู่เหยี่ยเงียบอยู่ครู่หนึ่งเหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่จากนั้นก็พูดขึ้นว่า”เหล่ย คุณคิดว่า….คนพวกนี้มาเพราะคุณหรือเปล่า?
เซี่ยเหล่ยเปลี่ยนท่าทีเล็กน้อยก่อนที่จะพูดว่า “คุณคิดว่าเป็นผมเพราะตอนที่ผมและหลงบิงไปทำภารกิจที่เยอรมันอย่างนั้นเหรอ มันก็อาจจะเป็นไปได้นะ “
เมื่อพูดไปเช่นนี้ เซี่ยเหล่ยก็เหมือนที่จะนึกอะไรออกมาได้ จู่ๆเขาก็คิดไปถึงผู้หญิงคนหนึ่งและพ่อของเขาที่เขียนโน้ตลงในกระดาษเมื่อนานมาแล้วในความเป็นจริงเขาอยากที่จะเจอคนเหล่านี้เพื่อต้องการข้อมูลที่มากขึ้น
ถ่างหยู่เหยี่ยพูดว่า “อืม…ถ้าเป็นแบบนี้กองกำลังเหล่านี้จะต้องมาหาคุณอีกแน่ ฉันคิดว่าหลังจากนี้ถ้าเป็นไปได้คุณอาจจะต้องจับเป็นพวกเขาแบบเป็นๆไว้ให้ได้ ฉันจะได้นำตัวไปสอบปากคำเพิ่มเติม”
เซี่ยเหล่ยพูดอย่างกังวลไปว่า “เรื่องนี้เอาไว้ก่อน เพราะว่าตอนนี้คนนำทางของเราตายแล้ว เราจะทำอย่างไรต่อดี?”
“ถึงแม้จะไม่มีคนนำทางแล้ว แต่เราก็ต้องไปต่อ” ถ่างหยู่เหยี่ยพูดกับเซี่ยเหล่ย ก่อนที่จะหันไปสั่งการกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเธอเองว่า “ไปตรวจดูความเรียบร้อยทุกอย่างเพื่อเตรียมออกเดินทางต่อให้เสร็จภายในครึ่งชั่วโมง”
เมื่อได้ยินคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาเหล่าเจ้าหน้าที่ต่างก็แยกย้ายไปจัดการเรื่องต่างๆตามหน้าที่ บางส่วนก็ขุดหลุมฝังศพให้กับสหายร่วมรบ บางส่วนก็ตรวจสอบอาวุธพร้อมกับรถเพื่อให้สามารถเดินทางได้อีกไกลส่วนสุดท้ายก็จัดการเคลียร์ศพของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย โดยการนำมากองรวมกันไว้เพื่อให้กลายเป็นอาหารของพวกสัตว์หรือแบคทีเรีย
นี่เป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะถูกโจมตี รวมถึงเรื่องที่ต้องเสียเจ้าหน้าที่ ไปถึงสามคน ถ้าเป็นไปได้ศพของพวกเขาควรที่จะถูกส่งกลับไปที่ประเทศจีนและจัดงานให้สมเกียรติแต่เพราะภารกิจในครั้งนี้ยังไม่สำเร็จลุล่วง ทำให้ต้องฝังพวกเขาไว้ตรงนี้
หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป ทุกอย่างก็ถูกจัดการอย่างเรียบร้อยและเตรียมพร้อมสำหรับออกเดินทาง รถฟอร์ดสามคันก็ได้ออกตัวไปตามทางเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ต่างออกไปเพราะไม่มีผู้นำทาง
คราวนี้คนขับรถได้เปลี่ยนไปเพราะเซี่ยเหล่ยเป็นคนขับแทนถ่างหยู่เหยี่ยเพราะถ่างหยู่เหยี่ยในตอนนี้กำลังใช้โทรศัพท์ดาวเทียมเพื่อที่จะส่งข้อมูลกลับไปยังสำนักงานใหญ่ของสำนักงานลับ 101
ถ่างหยู่เหยี่ยกำลังส่งคำพูดผ่านโทรศัพท์ดาวเทียมออกไปทีละคำเป็นภาษาจีนโบราณโดยการที่เธอทำเช่นนี้เพราะเธอป้องการกันดักฟังจากผู้ไม่หวังดีและการที่พูดเป็นภาษาจีนโบราณก็เพื่อไม่ให้คนที่อาจจะแอบฟังสามารถตีความข้อความที่ถูกส่งออกไปได้ เพราะภาษาจีนโบราณเป็นภาษาที่ยากที่สุดที่จะแปลความหมายได้
เมื่อถ่างหยู่เหยี่ยพูดผ่านโทรศัพท์ดาวเทียมเสร็จฝั่งสำนักงานใหญ่ก็พูดตอบกลับมาเป็นภาษาจีนโบราณทีละคำเหมือนกัน ถ่างหยู่เหยี่ยใช้เวลาตีความอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็วางสาย เมื่อถ่างหยู่เหยี่ยวางสายแล้วเซี่ยเหล่ยก็ถามเธอออกไปว่า “แล้วเราจะเป็นอย่างไรกันต่อ?”
“ภารกิจของเราจะยังคงดำเนินต่อไป ในอีกไม่ช้าพวกเขาจะส่งเจ้าหน้าที่คนใหม่มานำเราผ่านพื้นที่แห่งนี้ “ถ่างหยู่เหยี่ยตอบ
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?” เซี่ยเหล่ยถาม
“เราจะผ่านชนเผ่าไบซีพรุ่งนี้เช้า ฉันคิดว่าเราน่าจะได้เจอกับเขาก่อนที่จะถึง ชนเผ่าไบซี ” ถ่างหยู่เหยี่ยตอบ
“เขตภูเขาบาร์เมียนที่เราจะต้องไปมีชนเผ่าไหนควบคุมอยู่งั้นเหรอ? และจะว่าไปทำไมเราถึงต้องการคนนำทางของที่นี่หล่ะ? ในเมื่อเราสามารถไปเองตามแผนที่ก็ได้” เซี่ยเหล่ยถามเพื่อต้องการที่จะเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น
ถ่างหยู่เหยี่ยยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะพูดว่า “อัฟกานิสถานมีชนเผ่าหลายร้อยชนเผ่า แต่ที่ฉันรู้จักนั้นมีเพียงไม่กี่ชนเผ่าและที่ฉันรู้คือแต่ละชนเผ่าจะมีวิธีการจัดการเรื่องราวๆต่างๆที่ไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่พวกเขาจะอยู่ตามเทือกเขา บางชนเผ่าก็อยู่ในที่ลับตา บางชนเผ่ามีขนาดใหญ่ บางชนเผ่ามีขนาดเล็ก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องมีผู้นำทางนอกจากนี้ประโยชน์ของผู้นำทางคือสามารถที่จะพูดคุยหรือเจรจาภาษาถิ่นของแต่ละชนเผ่าได้ มันจะทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้นเพราะบางชนเผ่าก็มีนิสัยดุร้ายและไม่ชอบให้ใครมายุ่มยามกับชนเผ่าของตัวเอง “
“งั้นเผ่าไบซีที่คุณพูดถึงเป็นชนเผ่าใหญ่หรือเล็กงั้นหรอ?” เซี่ยเหล่ยถาม
“มันก็ไม่ได้ใหญ่จนเกินไปแต่ถ้าจะให้ประมาณประชากรก็จะอยู่ที่ราวๆหนึ่งพันคน” ถ่างหยู่เหยี่ยพูดและพูดต่อทันทีว่า “เพราะฉะนั้นเราต้องระวังตัวที่จะผ่านแต่ละชนเผ่า ไม่อย่างนั้นถ้าหากเราเกิดไปมีเรื่องกับชนเผ่าเหล่านี้เข้า มันจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นได้”
เซี่ยเหล่ยเงียบอยู่ครุ่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นความจริงเราควรที่จะไปด้วยเครื่องบินไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าต้องผ่านพื้นที่ที่อาจจะทำให้เกิดปัญหาได้แบบนี้”
ถ่างหยู่เหยี่ยตอบว่า “ที่นี่คืออัฟกานิสถานที่ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา นั่นทำให้ไม่เหมาะกับการขึ้นบินของเครื่องบิน หรือถ้าจะเป็นเฮลิคอปเตอร์ก็ไม่เหมาะเหมือนกัน เพราะมันเคลื่อนที่ได้ช้าเกินไป มันสามารถถูกยิงโดย RPG หรือจรวดชนิดอื่นๆได้อย่างง่ายดายและอีกอย่างน่านฟ้าของอัฟกานิสถานถูกควบคุมโดยสหรัฐอเมริกาอยู่แล้ว ถ้าหากมีเครื่องบินขึ้นบินโดยไม่ได้รับอนุญาติ ก็จะถูกเรดาห์จับได้และพวกเขาจะโจมตีเราทันที”
“นั่นสิ ผมลืมเรื่องนี้ไปเลย ว่าแต่คุณจะสอนเรื่องอาวุธลับของตระกูลถ่างให้กับผมได้มั้ย?” เซี่ยเหล่ยถามออกไป
“เฮ้เฮ้… ฉันจะบอกคุณอีกครั้งก็แล้วกันว่าวิชาของตระกูลถ่างของพวกเรานี้จะไม่ถ่ายทอดให้กับคนนอก “
ในระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่ก็กินเวลานานพอดูนั่นทำให้พวกเขาขับรถผ่านภูเขามาหลายลูกแล้ว
ติดตามตอนต่อไป…………