Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - ตอนที่ 311
ในความเป็นจริงกองกําลังสหรัฐในอัฟกานิสถาน พวกเขาต้องการที่จะหาในภาคนี้ นดินด้วยแต่มันคงไม่เหมาะซักเท่าไหร่เนื่องจากที่ภาคพื้นดินมีทั้งกองกําลังซานไอดร้าหรือไม่ก็เป็นกองกําลังติดอาวุธของแต่ละชนเผ่ามากมาย ดังนั้นพื้นที่เหล่านี้ซีไอเอมีความเห็นว่าจะทําการค้านหาเฉพาะทางอากาศเท่านั้นเพราะไม่อยากที่จะไปเพิ่มความยุ่งยากด้วยการค้นหาทางภาคพื้นดิน
ภายใต้การนําของที่น่าทั้งสามคนได้ใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์สําหรับเดินทางจากพื้นที่ภู เขาไปจนถึงเวิคส์ฮานคอร์เด่อโดยผ่านคนของชนเผ่าพุชเทิลและวันนี้ทั้งสามคนก็พบแค่เพียงโดรนและเครื่องบินรบเท่านั้น พวกเขาไม่เจอกองกําลังติดอาวุธของภาคพื้นดินเลย
ในเรื่องของ CIA พวกเขาเสียโอกาสที่ดีที่สุดในการจับกุมตัวของเชี่ยเหล่ยไปแล้วหลังจากที่พวกเขาคว้าน้ำเหลวจากการกระทําในคืนนั้น ทําให้เชี่ยเหล่ยสามารถหนีไปได้อีกครั้งแถมตอนนี้เชี่ยเหล่ยยังอยู่กับทีน่าอีกด้วย เธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลายชนเผ่าซึ่งตอนนี้สามารถเปรียบเทียบได้ว่าเชี่ยเหล่ยเป็นปลาที่ไหลไปตามแม่น้ำจนลงไปสู่ทะเลได้แล้วนั่นก็เพราะจะไม่มีใครสามารถจับเขาได้อีก
แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่า CIA จะล้มเหลวไปแล้วหลายครั้งแล้วแต่ดูเหมือนว่าพวกเขา จะไม่ยอมแพ้ในการจับกุมตัวเชี่ยเหล่ยอย่างเห็นได้ชัด นั่นก็เพราะในขณะนี้ยังคงมีทั้งโดรนและเครื่องบินรบบินอยู่พอประมานที่คอยบินค้นหาทางอากาศอยู่
ในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เชี่ยเหล่ยก็ได้เดินทางผ่านเวิคส์ฮานคอร์เด่อจนตอนนี้ได้เดิน ทางเข้าสู่พรหมแดนของประเทศจีนแล้ว
“คิดว่าปลอดภัยแล้ว” หลังจากที่เชี่ยเหล่ยเดินทางข้ามพรหมแดนประเทศจีนเข้าไป ดูเหมือนว่าเชี่ยเหล่ยจะผ่อนคลายลงมาก เขาเดินออกไปด้านข้างจากนั้นก็ตระโกนเสียงดังขึ้นฟ้าออกไปว่า “กลับมาแล้วววว..!”
การเดินทางในครั้งนี้ของเชี่ยเหล่ย ตัวเขาเองคิดว่าคงจะไม่ได้กลับมาที่ประเทศของตัวเองเสียแล้วเนื่องจากการตามล่าเพื่อจับกุมตัวของพวก CIA นั้นน่ากลัวเป็นอย่างมาก
ในการเดินทางไปอัฟกานิสถานในครั้งนี้ทําให้เขาต้องเจอเรื่องเสี่ยงอันรายเป็นอย่าง มากถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยงมากแค่ไหนก็ตาม นั่นก็ทําให้เขาได้ประสบการณ์ที่มีค่าอย่างมากกลับมาด้วยไม่เพียงแค่รู้ข้อมูลเพิ่มมากขึ้นแต่ประสบการณ์การต่อสู้ การรบจริงในสนามรบไม่สามารถหาได้จากที่ไหนอีกแล้ว จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาทําให้เขาเติบโตขึ้นมากจริงๆ
“ที่นี่คือประเทศจีนแล้วงั้นเหรอ? ทําไมมันค่อนข้างที่จะว่างเปล่า” แคนลามี่พูดขึ้นอ ย่างผิดหวังเพราะตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเธอไม่เคยลืมเรื่องที่จะไปซื้อเสื้อผ้าที่ประเทศจีนเลย แต่มาถึงตอนนี้ในสายตาของเธอกลับเห็นแต่ความว่างเปล่า ไม่มีเสื้อผ้าสวยๆให้เธอเลือกเลย
เชี่ยเหล่ยยิ้มก่อนที่จะพูดว่า “ใจเย็นก่อนสิ ที่นี่ยังเป็นเขตชายแดนรอให้คุณไปถึง เมืองหลวงของเราก่อน คุณจะเจอเสื้อผ้ามากมายและคุณจะต้องทึ่งกับความเร็วในการพัฒนาของประเทศของเราในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน”
“เชี่ยเหล่ย ทําไมคุณถึงบอกว่าเราปลอดภัยแล้วหล่ะ?” ทีน่าใช้กล้องส่องทางไกลเพื่ อมองดูไปรอบๆในขณะที่ถามเชี่ยเหล่ย
ในทิศทางที่ที่น่ามองไปนั้น เธอพบเข้ากับฝุ่นที่กระจายอยู่ตามถนนลูกรังและเจอเข้า กับลมที่พัดค่อนข้างเร็วมาก
สิ่งที่ที่น่าเห็นนั้นมันไม่ใช่พายุทราย ในความเป็นจริงมันคือขบวนยานพาหนะของกองทัพที่พวกเขาใช้กันอยู่ในปัจจุบัน บนรถเหล่านั้นมีทหารนั่งอยู่เต็มที่นั่งในรถ เพราะนี่เป็นเขตชายแดน มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยว่าจะเจอเข้ากับเจ้าหน้าที่ทหารอยู่ในพื้นที่แห่งนี้……….
เชี่ยเหล่ยยังไม่ทันจะได้พูดอธิบายอะไร จู่ๆตอนนี้แคนลามี่ก็ได้ยกปืน AK-47 ขี้ นมาเตรียมพร้อมสําหรับยิง
เชี่ยเหล่ยได้กดมือของเธอเพื่อให้เธอลดปืนลงจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “อย่าทําอะไรโง่ๆ เด็ดขาด ผมจะไปจัดการเรื่องนี้เองก่อนอื่นส่งปืนของคุณมา”
แคนลามี่มองไปที่ทีน่าโดยไม่รู้ตัวเธอไม่มีท่าที่จะออกคําสั่งใดๆ แคนลามี่จึงได้ลด ปืนลงและส่งมันให้กับเชี่ยเหล่ย
เชี่ยเหล่ยเองก็มองไปที่ที่น่าเหมือนกันแล้วพูดไปว่า “ของคุณก็ด้วย ส่งปืนและหอก
มาให้ผม”
ทีน่าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะปลดอาวุธของเธอให้กับเชี่ยเหล่ยจนหมดจากนั้นก็พู ดอย่างขึงขังไปว่า “คุณต้องจําไว้ให้ดีว่าตอนนี้คนของคุณยังอยู่ในมือของเรา ถ้าฉันและแคนลามี่เป็นอะไรไป คนของคุณก็จะตายอยู่ที่ชนเผ่าของเราทันที”
นี่คือคําเตือนของที่น่า
เชี่ยเหล่ยยิ้มแล้วพูดขึ้นอย่างเรียบง่ายว่า “เราผ่านเรื่องราวต่างๆมาด้วยกันตั้งมากมายแถมยังเป็นเรื่องคอขาดบาดตายด้วยซ้ำ คุณยังไม่เชื่อใจผมอีกงั้นเหรอ? คุณยังคิดว่าผมจะทําร้ายคุณอีกงั้นเหรอ? “
แคนลามี่ยกกําปั้นขึ้นมาแบบหลวมๆ แล้วชกไปที่ไหล่ของเชี่ยเหล่ยจากนั้นก็พูดขึ้นพ ร้อมรอยยิ้มไปว่า “ฉันเชื่อใจคุณ”
หมัดของเธอค่อนข้างหนักแสดงให้เห็นว่าเธอเองก็มีความไม่สบายใจและกังวลอย่าง มากเช่นกัน เชี่ยเหล่ยเองก็สามารถรับรู้ได้เพราะน้ำหนักหมัดของเธอแต่เขาก็ไม่คิดจะโกรธอะไรเธอเลย
แต่ถึงแม้ว่าเชี่ยเหล่ยจะไม่โกรธเธอแต่เขาก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อยเนื่องจากช่วงเวลาที่ผ่านมาครึ่งเดือนนี้ พวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันตลอดแถมยังผ่านเรื่องราวเสี่ยงตายมาตั้งมากมาย
จังหวะนี้ขบวนรถก็ได้มาหยุดอยู่ตรงหน้าเชี่ยเหล่ย แคนลามี่และทีน่า
หลังจากขบวนรถหยุดแล้วก็ได้มีทหารคนหนึ่งกระโดดลงจากกระบะรถ เขาใช้ปืนชี้ ไปที่ทั้งสามคนจากนั้นก็ตะโกนออกไปว่า “ตอนนี้คุณได้เข้ามาในเขตชายแดนของประเทศจีน วางอาวุธลงแล้วแสดงตัวตนของคุณมาเดี๋ยวนี้!”
เชี่ยเหล่ยวางปืนและหอกลงทั้งหมดจากนั้นก็ตะโกนออกไปว่า ” พันเอก…ผมต้อ งการที่จะพูดกับคุณ!”
เชี่ยเหล่ยพูดขึ้นพร้อมชี้ไปยังคนที่นั่งอยู่ในรถนั่นก็เพราะเชี่ยเหล่ยเห็นแถบสัญลักษณ์ที่อยู่บนไหล่ของเขาซึ่งการกระทําของเชี่ยเหล่ยในตอนนี้ทําให้ทหารทุกคนที่ได้ยินรู้ สึกประหลาดใจอย่างมากและจากการพูดของเชี่ยเหล่ยในความเป็นจริงพันเอกคนนี้ไม่จําเป็นที่จะต้องตอบอะไรเชี่ยเหล่ยไปและสามารถทําการควบคุมตัวเชี่ยเหล่ย แคนลามี่และทีน่าในทันทีเลยก็ได้ แต่เขาก็ไม่ทําและพูดตอบกลับเชี่ยเหล่ยไปว่า “คุณเป็นใคร?”
เชี่ยเหล่ยตอบกลับไปทันทีว่า “ผมเป็นสมาชิกของเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงแห่งชาติคุณมีอํานาจมากพอที่จะยืนยันตัวของผมได้ ผมต้องการพูดคุยกับคุณเพิ่มเติม ขอผมเข้าไปคุยได้มั้ย”
นายพันคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าในที่สุดพร้อมพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นให้สองคนนั้นยืนอยู่กับที่และห้ามขยับไปไหน ส่วนคุณก็เดินช้าๆเข้ามาผม”
เชี่ยเหล่ยเดินไปอย่างช้าๆตามคําสั่งจากนั้นก็ไปยืนอยู่ข้างประตูรถพร้อมพูดขึ้นว่า “ผมต้องการใช้โทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อโทรออกไปหาใครบางคน หลังจากนั้นเขาคนนั้นจะอธิบายสถานการณ์คร่าวๆและยืนยันตนของผมให้กับคุณได้”
“ก็ได้…หวังว่าคุณคงจะไม่ได้โกหกผมหรอกนะ ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้จบไม่สวยแน่” พัน เอกคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้นพร้อมหยิบโทรศัพท์แล้วส่งให้กับเชี่ยเหล่ยไป
ในความเป็นจริงตอนนี้ที่ตัวของเชี่ยเหล่ย เขาพกโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมมาด้วย แต่ ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้เขาไม่กล้าเปิดใช้งานแต่อย่างใดเนื่องจากกลัวว่าหากใช้งานไปอาจจะทําให้ CIA รู้ตําแหน่งของพวกเขาแต่เนื่องจากยังอยู่ในเขตชายแดนทําให้เขาไม่อยากที่จะตกเป็นเป้าสายตาเช่นกันเพราะมันอาจจะมีเรื่องยุ่งยากอื่นๆเพิ่มเขามาก็ได้ไม่มีใครสามารถรู้เหตุการณ์ได้ล่วงหน้า…..
เชี่ยเหล่ยกดเบอร์โทรของหลงบิงแล้วโทรออกไป เบอร์โทรศัพท์ของหลงบิงนี้น้อยคนที่จะรู้ดังนั้นตอนนี้เมื่อมีเบอร์แปลกโทรเข้ามาหาเธอ ทําให้เธอพอจะเดาเหตุการณ์ได้ เธอรับโทรศัพท์ทันทีแต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไร เชี่ยเหล่ยก็ชิงพูดขึ้นก่อนทันที่ว่า “ผม..ผมกลับมาแล้ว”
หลงบิงเงียบหยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้นว่า “ถูกจับอยู่ใช่มั้ย?”
เชี่ยเหล่ยตะลึงเล็กน้อย
หลงบิงเดาสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง
การที่หลงบิงรับรู้สถานการณ์ของเชี่ยเหล่ยในตอนนี้ทําให้เขาค่อนข้างที่จะอับอาย เขาหัวเราะแห้งๆก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “คุณรู้ได้อย่างไร? แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ข้างๆผมมีผู้พันอยู่คนหนึ่งนี่เป็นโทรศัพท์ของเขา ผมอยากให้คุณอธิบายเรื่องราวและยืนยันตัวตนให้กับผมหน่อย ”
“แล้วถ่างหยู่เหยี่ยหล่ะ?” หลงบิงถาม
“ตอนนี้เธอยังคงอยู่ในอัฟกานิสถาน สถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างสลับซับซ้อน ผมจะ อธิบายให้คุณฟังในภายหลัง” เชี่ยเหล่ยตอบ
“อืม…งั้นก็ส่งโทรศัพท์ให้กับพันเอก ฉันจะอธิบายให้เขาฟังเอง” หลงบิงพูด
เชี่ยเหล่ยยื่นโทรศัพท์กลับไปให้พันเอก จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “พันเอก มีใครบางคนจะ พูดสายกับคุณ”
พันเอกรับโทรศัพท์กลับแล้วจากนั้นก็พูดผ่านโทรศัพท์อย่างเคร่งขรึมไปว่า “สวัสดี…คุณคือ… “
ทีน่าและแคนลามี่ ตอนนี้กําลังมองไปที่เชี่ยเหล่ยและพันเอกในขณะที่พวกเขากําลัง คุยกันนั้น สถานการณ์โดยรอบตอนนี้ค่อนข้างที่จะตึงเครียดอยู่เหมือนกัน เนื่องจากตอนนี้มีกําลังทหารหลายสิบคนได้ล้อมพวกเธอไว้จนหมด
“หัวหน้า เชี่ยเหล่ยปพูดอะไรกับเขางั้นเหรอ หัวหน้าเข้าใจหรือไม่?” แคนลามี่ถา มด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ทีน่าตอบไปว่า “เชี่ยเหล่ยกําลังให้ใครบางคนอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและให้เขา คนนั้นยืนยันตัวตนให้ดูเหมือนว่าเขาคงจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจีน”
“หัวหน้าคุณ …. เข้าใจภาษาจีนด้วยงั้นเหรอ?” แคนลามี่ถามออกไปอย่างประหลาดใจ
ทีน่ามองไปที่แคนลามี่พร้อมพูดขึ้นว่า “ภาษาฮั่นโบราณมีรากฐานมาจากภาษาจีน และภาษาทิเบตมันมีความคล้ายกันมาก มันทําให้ฉันพอที่จะเข้าใจแต่เรื่องนี้ฉันไม่ได้บอกเชี่ยเหล่ยไปหรอกนะ”
“นี่ไม่ถือว่าเป็นการหลอกลวงงั้นเหรอ?” แคนลามี่ถาม
ทีน่าใช้ข้อมือเขกไปที่หัวของแคนลามี่หนึ่งครั้งแล้วพูดว่า “อย่าโง่ไปหน่อยเลย เงียบ
ชะ”
แคนลามี่มองกลับไปที่ที่น่าอย่างไม่พอใจ แต่เธอก็เงียบลงจริงๆ
ในเวลานี้ที่พันเอกได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับหลงบิงเสร็จแล้ว ตอนนี้ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปมากจากตอนที่เจอกันในตอนแรก เขายิ้มเล็กน้อยในขณะที่พูดออกมาว่า “ตอนนี้ผมเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ เพียงแค่รอให้เอกสารยืนยันตนมาถึงก็เท่านั้น ส่วนตอนนี้ผมจะพาพวกคุณกลับค่ายกันก่อน หลังจากเอกสารถูกส่งมาทางแฟ็กซ์เรียบร้อยแล้ว ผมจะไปส่งพวกคุณที่สนามบินทันที”
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากๆ” เชี่ยเหล่ยยังคงพูดอย่างสุภาพ
หลังจากผ่านเรื่องนี้ไปตอนนี้ทั้งเชี่ยเหล่ย ทีน่าและแคนลามี่ก็ได้ขึ้นมานั่งอยู่บนรถท หารแต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าพวกเขาจะถูกจัดให้นั่งอยู่บนรถแล้วแต่อาวุธของพวกเขาก็ยังคงถูกยึดเอาไว้อยู่
ทั้งสามคนถูกพาตัวกลับไปที่ฐานทัพของกองกําลังทหารตระเวนชายแดน หลังจากเว ลาผ่านไปเอกสารก็ถูกส่งมายังฐานทัพแห่งนี้นั่นทําให้การยืนยันตัวตนผ่านไปได้อย่างราบรื่น ทําให้ตอนนี้ทั้งสามคนถูกพาตัวไปยังสนามบินที่ใกล้ที่สุดเรื่องของตัวเครื่องบินก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะดูเหมือนว่าหลงบิงจะจัดการไว้ให้เรียบร้อยหมดแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องทําก็คือไปขึ้นเครื่องบินก็เท่านั้น
“คุณเชี่ย ปืนของคุณได้รับการดูแลเป็นอย่างดีในตอนนี้ มันสามารถพาขึ้นไปได้ด้วยเพียงแค่ตอนนี้มันถูกจัดการเป็นพิเศษเอาไว้อยู่ ซึ่งหลังจากคุณลงจากเครื่องแล้ว จะมีคนนํามันมาส่งให้กับคุณ ส่วนเรื่องปืนของเพื่อนคุณสองคนนั้นผมเสียใจด้วย มันไม่สามาถพาขึ้นเครื่องบินไปได้” พันเอกพูดกับเชี่ยเหล่ย
เชี่ยเหล่ยยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา สําหรับตอนนี้พวกเราไม่จําเป็นที่จะต้องใช้มันแล้ว ผมขอขอบคุณพวกคุณเป็นอย่างมาก”
“คุณเชี่ย…ยินดีต้อนรับกลับ” พันเอกพูดพร้อมทําความเคารพให้กับเชี่ยเหล่ย
เชี่ยเหล่ยที่เห็นนั้นก็ตะลึงอยู่ครู่หนึ่งที่เห็นทหารยศนายพันทําความเคารพให้กับเขา แต่อย่างไรก็ตามที่นี่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยจึงไม่มีใครเห็นเหตุการณ์นี้ อย่างไรก็ตามนี้เป็นครั้งแรกที่เชี่ยเหล่ยรู้สึกได้รับการยกย่องจากทหารนั่นทําให้เขารู้สึกได้ถึงความรับผิดชอบและเกียรติยศของเขา มันให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่กับเชี่ยเหล่ยเป็นอย่างมาก
ตั๋วที่หลงบิงจัดไว้ให้นั้นคือตั๋วของผู้โดยสารชั้นหนึ่ง แอร์โฮสเตสพาพวกเขาไปส่งถึงที่ แต่ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าสู่โซนผู้โดยสารชั้นหนึ่งนั้น ทุกคนก็หันมาให้ความสนใจกับพวกเขาอย่างมากเนื่องจากชุดที่พวกเขาใส่อยู่นี้เป็นชุดของชนเผ่าเฮ็ปตาไลท์ แถมตามเนื้อตัวของพวกเขาก็มอมแมมและเต็มไปด้วยเลือดหลายๆคนมองที่น่าและแคนลามี่เหมือนกับว่าพวกเธอเป็นคนเถื่อน
“มองอะไรกัน? ไม่เคยเห็นผู้หญิงอย่างงั้นเหรอ? หันกลับไปเดี๋ยวนี้ไม่อย่างนั้นฉันจะ ควักลูกตาซะให้หมด!” แคนลามี่พูดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดแต่ภาษาที่เธอใช้พูดคือภาษาพาสโตนั่นทําให้ไม่มีใครเข้าใจเธอนอกจากเชี่ยเหล่ยและทีน่า
ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดสูทสีดํา เขาหัวเราะอย่างหยาบคายก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “นั่นคุณพูดภาษาอะไรของคุณ? คุณมาจากชนเผ่าโบราณงั้นเหรอ? ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกคุณจะมานั่งโซนผู้โดยสารชั้นหนึ่งแต่จะว่าไปพวกคุณควรจะเรียนรู้หน่อยว่าควรอาบน้ำก่อนที่จะขึ้นเครื่องบินและที่ที่พวกคุณควรจะนั่งจริงๆควรจะเป็นชั้นประหยัดมากกว่าที่จะเป็นโซนชั้นหนึ่ง มันจะดูเหมาะสมมากกว่า”
“คุณพูดอะไรของคุณ” แคนลามี่พูดออกมาเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ชายชุดสูทพูด
ที่น่าขมวดคิ้วและแสดงหน้าตาที่เคร่งเครียด ในความเป็นจริงถ้าเธอและผู้ชายคนนี้อ ยู่ที่อัฟกานิสถานแล้วละก็ เธอจะไม่ลังเลที่จะฆ่าผู้ชายชุดสูทคนนี้เลยแต่ย่างไรก็ตามที่น่าก็ต้องสงบจิตสงบใจเอาไว้เพราะเธอไม่อยากให้เชี่ยเหล่ยรู้ว่าเธอเข้าใจภาษาจีนและอีกอย่างที่เธอไม่ลงมือ ทําอะไรเลยก็เพราะว่าเธอไม่อยากที่จะสร้างปัญหาในประเทศจีน
เชี่ยเหล่ยเดินผ่านไปและไม่พูดอะไร แต่ในขณะที่เดินผ่านเขาก็เอามีดกรีดไปแขนขอ งผู้ชายคนนั้นนั่นทําให้เลือดของผู้ชายคนนนั้นค่อยๆซึมออกมาทีละนิด
ตํารวจอากาศที่อยู่บนเครื่องบินเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแต่เขาได้รับแจ้งข้อมูลบางอ ย่างมาก่อนหน้านี้แล้ว ทําให้เขาเลือกที่จะหันหน้าไปทางอื่นและแกล้งทําเป็นไม่รู้ไม่เห็น
ที่จริงเชี่ยเหล่ยไม่ต้องการที่จะทําแบบนี้แต่เขาก็ไม่อยากพลาดโอกาสที่จะสร้าง ความสัมพันธ์ที่ดีกับที่น่านั่นก็เพื่อถ่างหยู่เหยี่ย หนิงจิง และนักวิจัยอีกหลายคนรวมไปถึงเข็มทิศล้ํำค่าด้วย