Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - ตอนที่ 318
TXV – 318 ของจริง ? ของปลอม ?
สถานที่สวยงามแห่งนี้เป็นทรัพย์สินและเป็นที่อยู่ของอันกวนซอซูจินรวมไปถึงอันซู ฮยอนด้วยที่นี่เหมาะที่จะเป็นที่พักให้กับแขกผู้มีเกียรติหรือเป็นแขกคนสําคัญที่พวกเขายินดีที่จะต้อนรับซึ่งแขกที่หมายถึงนี้คงจะไม่ใช่เซี่ยเหลียอย่างแน่นอนเพราะพวกเขาไม่อยากที่จะต้อนรับเซี่ยเหลีย พวกเขาถือว่าเซี่ยเหลียเป็นแค่เพียงผู้ติดตามที่ต่ําต้อยของเฉินตูเทียนหยินเท่านั้น
จากการเดินไปทั่วในขณะนี้ เซี่ยเหลียไม่พลาดที่จะคอยสังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลา เขาคอยมองหากล้องวงจรปิดและคอยดูตําแหน่งของบอดี้การ์ดที่คอยเฝ้าอยู่ตามจุดต่างๆ รวมไปถึงคอยหาเส้นทางที่พอจะเป็นเส้นทางหลบนี้ไว้ด้วย
การตกแต่งภายในของที่นี่ทําให้เซี่ยเหลี่ยตกใจอยู่พอสมควร เนื่องจากเฟอร์นิ เจอร์และเครื่องประดับของที่นี่เป็นไม้เกือบทั้งหมดแม้ว่าจะดูค่อนข้างเก่าแต่ก็รู้สึกได้ว่ามันไม่ ใช่ของเก่าที่ไร้คุณภาพแต่เป็นวัสดุที่ดีถูกทําให้ดูเหมือนเก่าก็เท่านั้นแต่แค่นั้นยังไม่พอพื้นของที่นี่ยังถูกปูด้วยกระเบื้องหินอ่อนสีขาวสวยงามช่วยเพิ่มความหรูหราให้กับคฤหาสหลังนี้เข้าไปอีกขั้น
ด้วยสิ่งที่เซี่ยเหลียเห็นอยู่ด้วยตาตัวเองในตอนนี้ ทําให้เขารู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ขณะ เดียวกันก็รู้สึกต่ําต้อยด้วยเช่นกัน
ในดวงตาของอันซูฮยอนเต็มไปด้วยความรังเกียจและเหยียดหยาม เขารู้สึกสะใจที่ เห็นสายตาของเซี่ยเหลี่ยในตอนนี้ เขายิ้มขึ้นก่อนที่จะพูดว่า”จริงๆที่นี่ยังเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเป็นส่วนเล็กๆน้อยๆที่พ่อของผมได้แสวงหามาแล้วนํามันมาตกแต่งและประดับไว้ตามที่ต่างๆตามฮวงจุ้ยก็เท่านั้น”
เฉินตูเทียนหยินที่เห็นเซี่ยเหล่ยในตอนนี้ เธอรู้สึกผิดหวังอย่างมากในความจริงเธอห วังว่าเซี่ยเหลี่ยจะแสดงความแตกต่างจากคนอื่นๆแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แล้วแม้ว่าในความเป็นจริงเซี่ยเหลียเป็นคนที่เฉินตูเทียนหยินต้องการมากที่สุดแต่ตอนนี้ท่าทางของเซี่ยเหล่ยกลับทําให้เฉินตูเทียนหยินรู้สึกผิดหวังและรู้สึกเหมือนกับว่าเซี่ยเหลี่ยไม่เหมือนคนที่เธอคิดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
ในความเป็นจริงสิ่งที่เซี่ยเหลียแสดงออกมานั้น เขาแสร้างทําขึ้นมาเพื่อให้ง่ายต่อ การสอดส่ายสายตาไปมาและเพื่อให้ง่ายต่อการสังเกตการณ์รอบข้างโดยที่ไม่มีคนสงสัยและคอยระแวง ตอนนี้เซี่ยเหลียทําเลือกที่จะทําเป็นว่ามองไม่เห็นปฏิกิริยาของอันซูฮยอนและเฉินตูเทียนหยินเขายังคงมองไปรอบๆอย่างละเอียดด้วยตาซ้ายของเขา
แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ในตอนนี้เซี่ยเหล่ยก็ยังมองหาห้องเก็บสะสมของโบ ราณของอันกวนไม่เจอเลยนั่นทําให้เซี่ยเหลี่ยรู้สึกแปลกใจอย่างมาก
ตอนนี้ทั้งสามคนได้เดินผ่านห้องนั่งเล่นมาจนถึงห้องหนังสือแต่ยังไม่ทันจะได้เปิดป ระตูเข้าไปเซี่ยเหล่ยก็ใช้ตาซ้ายของเขามองส่องเข้าไปในห้องก่อนแล้ว เขาพบว่าภายในห้องมีโต๊ะทํางาน ชั้นวางหนังสือ โซฟา พร้อมกับโต๊ะกาแฟที่ทําจากไม้จามจุรี เมื่อดูรวมๆแล้วเซียเหล่ยก็มองว่าห้องนี้เป็นแค่เพียงห้องสมุดธรรมดาก็เท่านั้น
หน้าห้องข้างบานประตูมีเครื่องสแกนลายนิ้วมืออยู่ อันซูฮยอนเดินเข้าไปและ เริ่มสแกนลายนิ้วมือจากนั้นประตูก็ปลดล็อค อันซูฮยอนก็เปิดประตูทันที
หลังจากเห็นสิ่งที่อันซูฮยอนเพิ่งจะทําไปก็ทําให้เซี่ยเหลี่ยมีลางสังหรณ์บางอย่างเพ ราะห้องนี้ต้องถึงขั้นสแกนลายนิ้วมือทําให้เขารีบถอดเครื่องสื่อสารที่ติดอยู่ที่เสื้อและหูฟังขนาดเล็กที่ติดอยู่ที่หูของเขาออกทันที แล้วก็โยนมันออกไปให้ห่างตัวเพราะกลัวว่าจะมีเครื่องตรวจจับสัญญาณหรือตรวจจับโลหะถูกติดอยู่ที่ประตูทางเข้า จากนั้นเขาก็มองเข้าไปยังภายในห้องอีกครั้งความรู้สึกครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งแรกเขาพบว่ามีประตูอีกบานซ่อนอยู่ เซี่ยเหลียรู้ สึกแปลกใจเล็กน้อยว่าทําไมประตูบานนี้ถึงมองไม่เห็นในครั้งแรกแต่ไม่นานเขาก็เลิกสนใจแต่นั่นทําให้เขาคิดไปทันทีว่านี่จะต้องเป็นห้องที่เก็บสะสมของโบราณอย่างแน่นอน
หลังจากประตูเปิดเรียบร้อย ทั้งหมดก็เดินเข้าห้องไปโดยมีอันซูฮยอนเดินนําด้านห น้าเมื่อเข้าไปแล้วอันซูฮยอนได้เดินตรงไปที่ชั้นวางหนังสือจากนั้นเขาก็มองหาหนังสือเล่มหนึ่งและหยิบมันออกมาหลังจากนั้นก็มีเสียงเหมือนกับกลไกกําลังทํางานพร้อมกับชิ้นวางหนังสือได้ ถูกเลื่อนออกไปเผยให้เห็นประตูโลหะที่ถูกซ่อนไว้อยู่ด้านหลังนี่คือประตูที่เซี่ยเหลี่ยเห็นเมื่อมอง เข้ามาครั้งที่สองด้วยตาซ้ายเมื่อถึงตอนนี้อันซูฮยอนได้เดินไปหน้าประตูที่มีการป้องกันไว้หลายชั้นมันจําเป็นจะต้องสแกนลายนิ้วมือทั้งห้านิ้วพร้อมกับหมุนวงล้อล็อคเพื่อใส่รหัสผ่านด้วยถึงจะสามารถเปิดประตูโลหะบานนี้ได้
จังหวะที่ต้องหมุนวงล้อล็อคและใส่รหัสผ่านนี้ อันซูฮยอนได้ใช้ตัวของเขาเองในการบังเพื่อไม่ให้ทั้งเฉินตูเทียนหยินและเซี่ยเหล่ยสามารถมองเห็นได้ทําให้ท่าทางของเขาตอนนี้ ค่อนข้างที่จะตลกแต่ในความเป็นจริงแม้ว่าเขาจะพยายามใช้ตัวเองบังไม่ให้เซี่ยเหลียและเฉินตูเทียนหยินเห็นรหัสผ่านที่เขาใส่นั้นแต่อันซูฮอนคงจะไม่คาดคิดว่าทุกการกระทําของเขาที่ทําไปถูกจับตามองโดยสายตาของเซียเหลี่ยอยู่ตลอดเวลา
หลังจากใส่รหัสผ่านเรียบร้อย ประตูโลหะก็ได้เปิดออกอย่างช้าๆเผยให้เห็นความห นาของประตูมันเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างมากประตูบานนี้มีความหนาขนาดหนึ่งฟุตและดูจะมี น้ําหนักอย่างน้อยหนึ่งตัน!
หลังจากประตูเปิดออก เซี่ยเหล่ยก็มองเข้าไปภายใน ห้องนี้มีพื้นที่ประมาน 50 ตา รางเมตรมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมภายในห้องมีชั้นสําหรับวางสิ่งของมากมาย มีกรอบไม้นิทรรศ การและเครื่องควบคุมอุณหภูมิอยู่มากมายตามจุดต่างๆภายในห้องมีวัตถุโบราณมากมายถูกวางอยู่บนชั้นวาง พวกมันดูเป็นของที่หายากและมีราคาไม่น้อยเลย ตรงกลางของห้องมีกรอบ สําหรับจัดแสดงที่ดูโดดเด่นกว่าบริเวณอื่นๆ ภายในกรอบมีชุดเกราะโบราณพร้อมหมวกนักรบถูก สตาฟไว้ มันเป็นชุดเกราะและหมวกนักรบของทหารในสมัยราชวงศ์ชิง พร้อมกับด้านหน้าขอ งชุดเกราะมีดาบโบราณเล่มหนึ่งถูกวางไว้ด้วย
เซี่ยเหลี่ยมองไปที่ดาบเล่มนั้นทันที เขาพบว่ามันคือดาบอาทิส์ล่าสิ่งที่ทําให้เซีย เหลี่ยมั่นใจนั่นก็เพราะว่าดาบเล่มที่เขากําลังเห็นอยู่นี้เหมือนกับรูปดาบที่พ่อของเขาให้มาก่อนหน้านี้
“เทียนหยิน เข้ามาซิ” อันซูฮยอนพูด
“อืม…ที่แห่งนี้ดูเป็นสถานที่ที่พิเศษจริงๆ ฉันขอเข้าไปนะ” เฉินตูเทียนหยินพูด
จังหวะนี้เซี่ยเหลียเองก็เดินมาเฉินตูเทียนหยินเข้าไป
“ตึดติด” จู่ๆก็มีสัญญาณเตือนก็ดังขึ้น
เซี่ยเหลี่ยตกใจอย่างมากเขาคิดในใจว่า “เกิดอะไรขึ้นกันหล่ะเนี่ย?”
อันซูฮยอนหันมาพร้อมกับจ้องไปที่เซี่ยเหลียและพูดขึ้นว่า “คุณซ่อนอะไรไว้?”
เซี่ยเหลียหงายมือออกไปด้านข้างทั้งสองข้างพร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่รู้สิ ไม่มีนะ”
“ขอโทษนะ….บางทีอาจจะเป็นฉัน… ” เฉินตูเทียนหยินพูดแทรกขึ้นพร้อมพูดต่อว่า “ในตัวของฉันมีเครื่องส่งสัญญาณอยู่” หลังจากพูดเสร็จเฉินตูเทียนหยินก็หยิบอุปกรณ์ บางอย่างออกมาพร้อมพูดต่อว่า ” นี่คือสิ่งที่หมิงเหม่ยให้ฉันติดตัวไว้ ถ้าฉันอยู่ในอันต รายแล้วกดปุ่มนี้ก็จะมีคนมาช่วยฉันฉันคิดว่าที่มันดังคงเพราะเจ้าเครื่องนี้แน่ๆ”
เซี่ยเหลียรู้สึกโชคดีอย่างมากที่ลางสังหรณ์ของเขาถูกต้องเพราะถ้าเขาไม่โยนเครื่องสื่อสารและหูฟังขนาดเล็กออกไปก่อนหน้านี้ตอนนี้อันซูฮยอนคงจะจับเขาได้อย่างแน่นอน
ในเวลานี้ภายนอกห้องสมุดก็ได้มีเสียงฝีเท้ามากมายจากนั้นไม่นานภายในห้องเก็บ สะสมของโบราณก็มีเสียงดังออกมาจากลําโพงเป็นภาษาเกาหลีว่า “นายน้อย มีปัญหาอะไรไหม?”
“ไม่ แค่อุบัติเหตุเล็กน้อย” อันซูฮยอนพูดตอบ
จังหวะนี้ก็เซี่ยเหลี่ยตกใจอีกครั้งเพราะหลังจากเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นเหล่าบอดี้ การ์ดจะตรงมายังห้องนี้ทันทีและพวกเขาใช้เวลาเพียงแค่ 15 วินาทีเท่านั้นในการมาถึงที่ห้องนี้
อันซูฮยอนเดินไปด้านข้างเฉินตูเทียนหยินพร้อมกระซิบอย่างอ่อนโยนไปว่า “เทียนหยินผมขออนุญาตินํามันไปไว้ข้างนอกก่อนนะแล้วหลังจากเราออกมาอีกครั้ง ผมจะเอามันมาให้คุณเอง”
เฉินตูเทียนหยินได้ส่งเครื่องส่งสัญญาณไปให้กับอันซูฮยอนหลังจากนั้นเขาก็เดินนํา มันออกไปจากห้องสี่เหลี่ยมและไปวางอยู่บนโต๊ะที่ห้องสมุดจังหวะที่อันซูฮยอนเดินผ่านประตูโลหะออกไปนั้น เสียงสัญญาณก็หยุดดังทันที
หลังจากอันซูฮยอนเดินกลับเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมเฉินตูเทียนหยินก็พูดขึ้นทันทีว่า “อันซูฮยอนอุปกรณ์ป้องกันและเตือนภัยของคุณนี่อยู่ในระดับการป้องกันภัยของธนา คารเลยก็ว่าได้นี่แสดงว่าวัตถุภายในห้องนี้จะต้องมีค่ามหาศาลใช่ไหม?”
“แน่นอน…” อันซูฮยอนพูด เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นต่อว่า “อันที่จริงบรรพบุรุษของเรา… เอ่อ…เอาเป็นว่าอย่าไปสนใจเลย เราไปดูชุดเก ราะและหมวกนักรบของบรรพบุรุษของผมกันดีกว่า”
ถ้าไม่มีเซี่ยเหลียยืนอยู่ด้วย อันซูฮยอนอาจจะพูดอะไรบางอย่างที่สําคัญออกมาก็ได้ แต่เพราะมีเซี่ยเหลียยืนอยู่ตรงนี้ด้วยทําให้เขาจึงไม่ยอมพูดให้จบ….
ในตอนนี้เซี่ยเหลี่ยสามารถจะออกไปได้จากห้องนี้ได้แล้วเพราะเขารู้ที่ตั้งของดาบรวมถึงการปลดล็อคระบบป้องกันความปลอดภัยทั้งหมดแล้วแต่ที่เขายังไม่ออกไปตอน นี้ก็เป็นเพราะว่าเขาต้องการลายนิ้วมือของอันซูฮยอนก่อนที่จะลงมือดําเนินการในขั้นตอนต่อไปเขากําลังคิดหาวิธี
อย่างไรก็ตามการที่เซี่ยเหลียยังอยู่ในห้องนี้ด้วยทําให้อันซูฮยอนค่อนข้างที่จะ หงุดหงิดและไม่พอใจอย่างมาก
อันซูฮยอนเดินนําเฉินตูเทียนหยินไปที่หน้ากรอบนิทรรศการที่แสดงชุดเกราะโดยที่ มีเซี่ยเหลี่ยเดิมตามหลังไประหว่างที่เซี่ยเหลี่ยเดินตามไปนั้นเขาก็ไม่ปล่อยโอกาสให้เสียไป สายตาของเขาก็คอยมองไปรอบข้างทั้งสองข้างตรงที่ชั้นวางเขาพบว่าของสะสมโบราณเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นของที่มาจากประเทศจีนเกือบทั้งนั้นแทบจะไม่มีของสะสมโบราณที่เป็นของเกาหลีเลยก็ว่าได้ซึ่งส่วนใหญ่ของสะสมโบราณเหล่านี้จะเป็นหนังสือโบราณไม่ก็วัตถุนําโชคซะส่วนใหญ่
“ด้วยมูลค่าของสะสมที่เป็นวัตถุโบราณเหล่านี้ มีมูลค่าไม่ต่ํากว่าหนึ่งพันล้านอย่าง แน่นอนดูเหมือนว่าตระกูลของพวกเขาจะมีทรัพย์สินมากกว่าตระกูลธุ์เสียอีก เซี่ยเหลียแอบคิดในใจ
“ยอดเยี่ยมจริงๆ” เฉินตูเทียนหยินพูดขึ้นเมื่อได้เห็นชุดเกราะพร้อมกับหมวกนักรบอย่างใกล้ๆ จากนั้นก็พูดขึ้นต่อทันทีว่า “คุณเก็บรักษามันไว้อย่างดีดูเหมือนว่าตอน นี้มันจะยังคงใช้งานได้อยู่ฉันคิดว่าถ้าคุณลองสวมแล้ว คงจะดูเหมือนนักรบอย่างแน่นอน”
“เฮเฮ้…คุณก็พูดเกินไป “ อันซูฮยอนยิ้มและหัวเราะเบาๆอย่างมีความสุขเมื่อได้ยิน เฉินตูเทียนหยินพูดเยินยอเขา เขาถือว่าเป็นคําชมนี้เป็นคําพูดที่มีเกียรติมาก..
จังหวะนี้สายตาของเซี่ยเหลียเองก็หันไปมองที่ดาบอาทิสล่าที่อยู่ใกล้กับชุดเกราะพร้อมกับหมวกนักรบ เมื่อเห็นตัวดาบอาทิสล่าใกล้ๆแล้ว มันดูไม่น่าน่าตื่นเต้นซักเท่าไหร่เลย แม้บนดาบจะมีการติดฝังพลอยสีเขียวอยู่หนึ่งเม็ดแต่ก็ไม่ได้เพิ่มความหรูหราหรือความสวยงามให้ กับมันมากถ้าไม่เคยรู้ประวัติของมันมาก่อนจะไม่เชื่อเลยว่ามันคือดาบของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ผ่านศึกมานับครั้งไม่ถ้วน
จังหวะนี้อันซูฮยอนได้หยิบดาบโบราณเล่มนี้ขึ้นมาจากนั้นก็ใช้มันยื่นออกไปข้างหน้า พร้อมเคาะไปที่ไหล่ของเซี่ยเหลียด้วยสันของดาบแล้วก็พูดขึ้นว่า “คุณเซีย นี่เป็นดาบโบราณของจริงเทียบกับดาบที่เป็นสมบัติตกทอดของตระกูลคุณแล้ว คุณยังคิดว่าผมยังสะสมของปลอมอยู่ อีกมั้ย ?”
เซี่ยเหล่ยยิ้มก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ดาบเล่มนี้ มันยังคมอยู่รึปล่าวนะ ?”
มุมของปากของอันซูฮยอนยิ้มขึ้นอย่างน่ารังเกียจพร้อมพูดขึ้นว่า “คุณเซี่ยผมจําได้ว่าคุณบอกว่าบรรพบุรุษของคุณคือท่านแม่ทัพกัวเว่ยแถมยังมีดาบที่ตกทอดสืบต่อกัน มาและมันยังคงเปล่งประกายผิดกับดาบเล่มนี้ที่ดูขลังและดูเก่าไปตามกาลเวลาคุณยังคิดว่าดาบของคุณที่มีอยู่ตอนนี้เป็นดาบจริงอยู่อีกหรือไม่?”
เซี่ยเหลียยกมือขึ้นพร้อมใช้สองนิ้วคืบใบของดาบออกจากไหล่ของเขาจากนั้นก็พูดขึ้นอย่างเรียบง่ายไปว่า “ก่อนหน้านี้ ตอนที่ผมยังไม่ได้เห็นดาบโบราณเล่มนี้ผมคิด มาตลอดว่าดาบที่บ้านของผมที่ได้รับสืบทอดกันมานั้นเป็นของจริงแต่เมื่อมาเห็นดาบขอ งคุณแล้วก็ทําให้ผมได้รู้ว่า…ที่บ้านของผมนั้นมันเป็นของปลอม”
“ฮ่าฮ่า…ผมเองก็ไม่เชื่อมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าดาบที่ยิ่งใหญ่และมีค่าที่อยู่ในยุคทองนั้นจะไปอยู่ที่บ้านของคุณได้ นี่คุณเซี่ย…การที่คุณพูดโอ้อวดเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นมันไม่ใช่สิ่งที่ดีหรอกนะ” อันซูฮยอนพูดเชิงตําหนิเซี่ยเหลียตามมารยาทแต่ในความเป็นจริงเขากําลังสะใจและกําลังเหยียดหยามเชี่ยเหลี่ยอยู่
จังหวะนี้เซี่ยเหลียได้พูดแบบเจียมเนื้อเจียมตัวไปว่า “ตอนนี้ผมก็ได้แก้ข้อสงสัยข้อนี้แล้วดังนั้นเทียนหยินเรากลับกันเถอะ ”
“ฉันยังต้องการที่จะดูอย่างของอย่างอื่นอีก” เฉินตูเทียนหยินพูดขึ้นด้วยลักษณะท่า ทางและน้ําเสียงที่บ่งบอกว่าวันนี้เซี่ยเหลียทําให้เธอรู้สึกผิดหวังอย่างมาก
เซี่ยเหล่ยยักไหล่ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “อืม ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอตัวก่อนบาย…”
จังหวะนี้บนใบหน้าของอันซูฮยอนเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะเขารู้สึกว่าการเจอกันครั้งนี้ระหว่างเขาและเซี่ยเหลี่ยเขาเป็นผู้ชนะอย่างไร้ข้อโต้แย้ง
ติดตามตอนต่อไป………………