Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - ตอนที่ 369 มอบความตาย !
ผู้ที่กำลังอาละวาดอยู่ในตอนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ยังอายุน้อยน่าจะราวๆสามสิบปีเขาชื่อว่ารัซโซลในขณะที่เซี่ยเหล่ยกำลังวิ่งเข้าไป บรรดาผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆก็ทยอยวิ่งออกมาส่วน รัซโซลนั้นกำลังใช้ค้อนทุบกองกระดาษวิจัยภายในห้องปฏิบัติการห้องทดลองอยู่
เซี่ยเหล่ยหันไปเห็นหนิงจิงเข้าพอดี หัวของเธอแตกและมีเลือดไหลออกมาท่าทางของเธอเองก็ดูตกใจอย่างมาก เซี่ยเหล่ยจึงตัดสินใจรีบวิ่งไปหาเธอทันที
”เกิดอะไรขึ้น ทำไมหัวคุณแตกได้หล่ะ?” เซี่ยเหล่ยถามด้วยความเป็นห่วง
”รัซโซล…..เขา…. ” หนิงจิงพูดพร้อมกับร้องไห้ออกมาแต่ก็ยังพยายามพูดต่อว่า “เขาเสียสติไปแล้ว เขาต้องการทำลายหนังสือสำริดเล่มนั้นแต่ฉันต้องปกป้องมัน ฉันต้องการจะผลักเขาออกไปแต่ฉันมีแรงไม่พอ ดังนั้นเขาก็เลย…. ”
”ผมเข้าใจแล้ว อย่าร้องเลย จากนี้ต่อไปไม่มีใครทำอะไรคุณได้แล้ว” เซี่ยเหล่ยพูดปลอบเธอ
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลุ่มใหม่กำลังทยอยหนีออกจากห้องปฏิบัติการห้องทดลอง พวกเขามองไปที่เซี่ยเหล่ยและหนิงจิงด้วยความประหลาดใจว่ากำลังทำอะไรกันอยู่
เซี่ยเหล่ยรู้สึกอายเล็กน้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เนื่องจากความรู้สึกของหนิงจิงตอนนี้สำคัญที่สุด
จังหวะนี้ก็มีนายทหารสองคนวิ่งเข้าไปหารัซโซลหวังต้องการจะหยุดความบ้าคลั่งของเขา
”เจ้าพวกคนโง่! มัวทำอะไรกันอยู่หล่ะ ต่อหน้าพระราชาทำไมถึงยังไม่คุกเข่ากันอีก!” รัซโซลตะโกนออกมาพร้อมกับพยายามดื้นเพื่อให้หลุดจากการจับกุมตัวของนายทหารทั้งสองคน
แน่นอนนายทหารทั้งสองคนสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้นั่นก็เพราะเรี่ยวแรงของผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถจะสู้เรี่ยวแรงของทหารที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีได้อยู่แล้ว
”แม่…ทำไมมันมืดอย่างนี้หล่ะ?” รัซโซลยังคงพูดอยู่ตอนนี้เขาสงบลงมากแล้วนี่ถือเป็นเรื่องที่ดีแต่อย่างไรก็ตามด้วยคำพูดนี้ทำให้รู้ว่าตอนนี้อัตลักษณ์ของเขาเป็นเพียงเด็กอายุน้อยเท่านั้น
ในหัวของเซี่ยเหล่ยตอนนี้กำลังคิดว่า “เขามีสภาพเหมือนกับเฉินเค่อเฉวียนไม่มีผิดอัตลักษณ์ในตอนแรกก็จะบ้าคลั่งส่วนอัตลักษณ์ต่อๆมาก็จะกลายเป็นเด็ก มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่นะ? ”
เซี่ยเหล่ยรีบหันไปมองอัลลอยโบราณที่อยู่ในห้องทดลองแม้ว่ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่นี่จะเรียกมันว่า “Mystery Metal X” แต่เซี่ยเหล่ยไม่ชอบ เขาชอบจะเรียกมันว่าอัลลอยโบราณมากกว่า
ตัวอัลลอยโบราณตอนนี้ยังสภาพดีทั้งสองชิ้นแต่ตัวเครื่องสแกนถูกทุบด้วยค้อนโดยรัซโซลจนพังเละไปหมดแล้ว
ในขณะนี้หวางเหล่ยและหลงบิงก็ตามเข้ามา ผมของหลงบิงยังเปียกอยู่เห็นได้ชัดว่าเธอเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จแต่ไม่มีเวลามากพอที่จะทำให้มันแห้งอย่างไรก็ตามดูเหมือนเธอจะรีบมากชนิดที่ว่าใส่เสื้อป้องกันแบคทีเรียเรียบร้อยแล้วแต่ลืมใส่หน้ากากป้องกันออกมาด้วย
หลงบิงที่เข้ามาและเห็นเซี่ยเหล่ยกำลังโอบหนิงจิงอยู่ เธอขมวดคิ้วทันทีพร้อมพูดว่า “เพื่อนคนนี้นี่ต้อง….. ”
“ด็อกเตอร์หนิง คุณรีบไปจัดการกับแผลที่หัวของคุณก่อนเลย” หวางเหล่ยพูดอย่างไม่พอใจและพูดต่อว่า ” คุณอายุกี่ขวบแล้วยังร้องไห้กับเรื่องแค่นี้งั้นเหรอ? รีบไปทำแผลเร็วเข้า อย่าให้มันมีผลกระทบกับงานของเรา ไป!!”
หนิงจิงเงียบและหยุดร้องจากนั้นก็เดินออกจากอ้อมแขนของเซี่ยเหล่ยและรีบไปทำแผลที่ห้องพยาบาลทันที
หวางเหล่ยไม่ได้เป็นเพียงนักวิทยาศาสตร์อาวุโสเท่านั้นแต่ยังเป็นมนุษย์ที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรมอีกด้วยแม้ว่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับนิสัย เขาก็ควรรู้บ้างว่าตอนไหนอะไรควรพูดออกมาหรือตอนไหนอะไรที่ไม่ควรพูด
เซี่ยเหล่ยเคยมีความเคารพหวางเหล่ยเป็นอย่างมากก่อนหน้านี้เพราะเขาถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเป็นนักวิชาการที่เก่งกาจแต่ตอนนี้เขารู้สึกรังเกียจผู้ชายคนนี้เป็นอย่างมาก
เมื่อหนิงจิงเดินไปแล้วหวางเหล่ยก็เดินมาด้านหน้าของเซี่ยเหล่ยและพูดขึ้นว่า “คุณเซี่ย คุณบอกว่ามีความคิดบางอย่างไม่ใช่งั้นเหรอ? งั้นก็บอกผมมาตอนนี้เลยสิ”
เซี่ยเหล่ยตอบกลับมาว่า “ผมยังไม่พร้อม มันยังต้องใช้เวลา ”
”คุณพอจะบอกอะไรผมได้ก่อนมั้ย ? บางทีผมอาจจะช่วยคุณจัดระเบียบความคิดได้” หวางเหล่ยพูดด้วยความกังวลอย่างมาก
เซี่ยเหล่ยขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คุณหวาง คุณคิดว่าผมต้องการให้คนอื่นมาช่วยจัดระเบียบความคิดของผมงั้นเหรอ?”
หวางเหล่ยตะลึงทันทีที่ได้ยินเซี่ยเหล่ยพูด เขาเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมทันที นั่นก็เพราะในหลายปีมานี้ไม่มีใครกล้าพูดกับเขาแบบนี้มาก่อนเลยมีเซี่ยเหล่ยเป็นคนแรก
หลงบิงเดินเข้ามาหาเซี่ยเหล่ยและสะกิดเขาเพื่อให้เขารู้ตัวว่าตัวเองพูดเกินไป
เซี่ยเหล่ยตอบกลับไปว่า “นักวิชาการหวาง ผมเป็นคนที่นำอัลลอยโบราณกลับมา ผมต้องเสี่ยงชีวิตตั้งหลายต่อหลายครั้งในตอนที่อยู่อัฟกานิสถาน คุณไม่รู้หรอกว่าผมได้รับประสบการณ์แบบไหนกลับมาบ้างหรือผมต้องเสียอะไรไปบ้าง คิดดูก็แล้วกัน พวกคนในชนเผ่าต้องการเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย คุณสามารถจัดหาให้พวกเขาได้งั้นเหรอ หึ! ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทำไม่ได้ ส่วนผม…ผมทำทุกอย่างอย่างดีและทำอย่างเต็มที่แต่สุดท้ายผมกลับถูกเฝ้าระวังและไม่ให้โอกาสในการมีส่วนร่วมในโครงการวิจัยนี้ต่อเพราะพวกคุณกลัวว่าผมจะขโมยข้อมูลงานวิจัยหรือแม้แต่ขโมยอัลลอยโบราณหนีไป คุณคิดว่าคนแบบผมต้องการให้ใครมาช่วยจัดระเบียบความคิดอย่างนั้นเหรอ?”
”คุณเซี่ย ผมรู้ว่าคุณได้ทำอะไรไปบ้างซึ่งคุณยอดเยี่ยมมาก” หวางเหล่ยพูดด้วยท่าทางที่สงบก่อนจะพูดขึ้นอีกว่า” แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะทวงบุญคุณหรอกนะ คุณต้องรีบบอกสิ่งที่คุณรู้มาให้หมด”
ในใจของเซี่ยเหล่ยมีความรู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีจากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “คุณบอกว่าผมทวงบุญคุณงั้นเหรอ?”
”คุณหมายความว่ายังไง?” หวางเหล่ยพูด เขารับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาของเซี่ยเหล่ยที่เปลี่ยนไป
เซี่ยเหล่ยหัวเราะอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะพูดว่า “หมายความว่าอะไรงั้นเหรอ? ความหมายของผมนั้นง่ายมากคือผมไม่ได้เป็นหนี้คุณ ผมไม่ได้ติดค้างอะไรคุณทำไมผมต้องบอกคุณด้วยหล่ะ ถ้าอยากรู้คุณก็ส่งคนไปเอาข้อมูลมาให้คุณสิ! ”
”คุณ…” หวางเหล่ยพูดด้วยท่าทางตะลึง
หลงบิงรู้ดีว่าเซี่ยเหล่ยไม่ได้ทำดีเอาหน้าหรือต้องการจะทวงบุณคุณใครส่วนด้านหวางเหล่ย เขาไม่ได้รู้สึกขอบคุณเซี่ยเหล่ยแม้แต่น้อยที่นำอัลลอยโบราณกลับมาให้ เซี่ยเหล่ยจึงต้องพูดแบบนี้ออกมาเพราะเขารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม มันจึงเป็นเรื่องที่เธอเข้าใจได้ หลงบิงที่เป็นตัวกลางในตอนนี้เข้าใจสถานการณ์ทั้งสองฝ่ายแต่เธอไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมพวกเขายังไงดี
จังหวะนี้เซี่ยเหล่ยก็มีความคิดขึ้นมาว่า “เราเองก็ตัดสินใจที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสำนักงานลับ101อีกอย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเรื่องราวในครั้งนี้จะเป็นข้ออ้างที่ค่อนข้างสมเหตุสมผล”
”เอาล่ะ เอาล่ะ” หวางเหล่ยถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “งั้นคุณก็ออกไป! ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าถ้าไม่มีคุณแล้วงานวิจัยของเราจะทำกันไม่ได้! ”
”ผมไปอยู่แล้ว คุณคิดว่าผมต้องการจะอยู่ที่นี่งั้นเหรอ? หึ! ผมจะบอกไว้ก่อนเลยว่าต่อไปแม้คุณจะอ้อนวอนให้ผมกลับมาช่วยก็อย่าหวังหล่ะ” เซี่ยเหล่ยพูดอย่างจริงจัง ไอลีนโนเวล
หวางเหล่ยโกรธมาก เขาต้องการจะชี้ไปที่เซี่ยเหล่ยแต่ก็ชี้ไปที่หลงบิงแทน จากนั้นก็พูดว่า “หัวหน้าหลง? คุณเห็นคนที่คุณพามามั้ย ? ดูสิ่งที่เขาทำสิ! ”
หลงบิงยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะพูดขึ้นว่า “อันที่จริงเซี่ยเหล่ยไม่ได้เป็นคนแบบที่คุณคิดหรอกนะ เขา…… ”
เซี่ยเหล่ยขัดจังหวะเธอก่อนจะพูดขึ้นว่า “คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว ผมจะไปบอกลาหนิงจิงก่อนที่ผมจะออกไปจากที่นี่”
เขาต้องรีบไปหาหนิงจิงก่อน เขาต้องการข้อมูลให้มากที่สุดก่อนจะออกไป!
ในขณะที่เซี่ยเหล่ยกำลังเดินไปห้องพยาบาลนั้น เขาก็เจอเข้ากับหมอสาวคนหนึ่ง เธอเดินออกมาด้วยท่าทางตื่นตระหนก เธอพึมพัมออกมาว่า “แย่แล้ว…… แย่แล้ว….. ”
หวางเหล่ยที่เห็นเธอเข้าก็รีบถามออกไปทันทีว่า “มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ?”
หมอสาวพูดขึ้นว่า “ด็อกเตอร์เฉิน เฉินเค่อเฉวียน ตายแล้ว!”
”ว่าไงนะ?” หวางเหล่ยที่ได้ยินก็ตกใจอย่างมาก
เรื่องนี้แม้แต่เซี่ยเหล่ยและหลงบิงเองก็ตกใจเช่นกัน พวกเขามองตาซึ่งกันและกัน มันเต็มไปด้วยความ ประหลาดใจและความสับสน
จากนั้นทุกสายตาก็จับจ้องไปที่ร่างของรัซโซลที่นอนอยู่บนเตียงไม่ไกลจากที่พวกเขายืนอยู่ พวกเขากำลังคิดกันว่ามันจะเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันกับรัซโซล หรือไม่?
”ผมไม่อยากหลบซ่อนอีกแล้วได้โปรดมอบความตายให้กับผมเถอะ!” รัซโซล พึมพำออกมา
ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันขนลุกทันทีหลังจากนั้นพวกเขาก็รีบถอยห่างออกจากรัซโซล
หวางเหล่ยพูดกับรัซโซลว่า “คุณพอที่จะยืนได้มั้ย ?” พูดเสร็จก็หันไปพูดกับนายทหารทั้งสองคนที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเข้ามาควบคุมสถานการณ์ว่า ” มัวรออะไรกันอยู่ รีบพาเขาไปห้องพยาบาล ! ”
ทหารสองคนที่ควบคุมตัวรัซโซลก่อนหน้านี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง…..
การตายของเฉินเค่อเฉวียนยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าสาเหตุมาจากอะไรดังนั้นรัซโซลที่มีอาการเหมือนกันในตอนนี้จึงไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้เขาเพราะกลัวว่ามันจะเป็นโรคติดต่อ
”เร็วเข้า ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องช่วยเขาให้ได้” หวางเหล่ยปาดเหงื่อที่หน้าผากก่อนจะนำทางเขาไปยังห้องพยาบาล
ด้านหลงบิงและเซี่ยเหล่ยก็เดินตามพวกเขาไปเงียบๆแต่จู่ๆในระหว่างที่เดินตามไปเซี่ยเหล่ยก็กระแทกศอกไปที่แขนของหลงบิงเบาๆหนึ่งครั้ง
หลงบิงหันหน้าไปหาเซี่ยเหล่ยก่อนจะพูดว่า “มีอะไรงั้นเหรอ?”
เซี่ยเหล่ยขยับตัวเข้าไปใกล้เธอก่อนจะกระซิบว่า “ถ้าเป็นไวรัสคนส่วนใหญ่ที่นี่อาจจะติดเชื้อกันแล้ว ดังนั้นอย่าเข้าใกล้พวกเขามากจนเกินไป ”
”ว่าไงนะ?” หลงบิงตกใจอย่างมาก
”สวมหน้ากากซะ” เซี่ยเหล่ยพูดพร้อมกับสวมหน้ากากของตัวเอง
หลงบิงเองก็รีบสวมหน้ากากของเธอทันที
ในเวลานี้ทุกคนต่างพากันสวมชุดป้องกันเพื่อป้องกันสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะเรายังไม่รู้ว่ามันเป็นเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัส
ตอนนี้พวกเขามาถึงห้องพยาบาลแล้ว ทุกสายตาจับจ้องไปที่ตัวของเฉินเค่อเฉวียนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงใบหน้าของเขาไม่มีแม้แต่เลือด ดวงตาของเขาก็ปิดลงสนิท ร่างกายของเขาไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ หากไม่รู้มาก่อนว่าเขาตายแล้วก็อาจจะคิดว่าเขาแค่หลับไปก็เท่านั้น
หมอสาวพูดขึ้น “เราพยายามแล้วแต่ก็ไม่สามารถช่วยเขาไว้ได้ ”
หวางเหล่ยกล่าวว่า “ตอนนี้เราต้องแยกตัวรัซโซลออกมาก่อนจากนั้นตั้งทีมพิเศษเพื่อตรวจสอบการตายอขงเฉินเค่อเฉวียนและต้องทำทุกวิธีทางอย่างดีที่สุดให้ รัซโซลมีชีวิตอยู่ต่อไป ”
”รับทราบ ฉันจะรีบจัดการทันที” หมอสาวพูด
ในตอนนี้จู่ๆรัซโซลก็พูดพึมพัมคนเดียว มันเป็นคำพูดที่น่าสยดสยองว่า “อย่าเข้ามา …..อย่าเข้ามา.. อย่าฆ่าผม ………… ”
จู่ๆท่าทางของรัซโซลก็แปลกๆไป เขาส่งเสียงอื้ออึงอยู่ในลำคอ ดวงตาเปิดกว้างผิดปกติผ่านไปไม่กี่วินาทีดวงตาของเขาก็ค่อยๆปิดลงและครั้งนี้มันก็ปิดไปตลอดกาล
เรื่องที่น่ากลัวเพิ่งเกิดขึ้นกับเฉินเค่อเฉวียนแค่ไม่นานตอนนี้มันได้เกิดขึ้นกับรัซโซลด้วย หมอสาวที่เห็นเหตุการณ์เธอรีบวิ่งไปให้การช่วยเหลือเขาทันที เธอรีบปั้มหัวใจของเขา เธอทำไปเรื่อยๆ แต่เมื่อผ่านไปหนึ่งนาทีและเห็นว่าไม่มีท่าทีที่ดีขึ้นเธอจึงนำเครื่องปั้มหัวใจออกมา จากนั้นก็รีบปั้มหัวใจเขาทันที
แต่หลังจากผ่านไปหลายนาทีรัซโซลก็ดูจะไม่ทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา หมอสาวจึงยอมแพ้
จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดทำให้ทุกคนในห้องเงียบพร้อมเพรียงกันไม่มีใครพูดคุยกันแม้แต่นอ้ย นั่นก็เพราะความหวาดกลัวในตอนนี้ได้กระจายเข้าไปในจิตใจของทุกคนเรียบร้อยแล้ว…..
ติดตามตอนต่อไป…….