Tranxending Vision – เนตรเนรมิตร - 403 เพื่อนหรือศัตรู ?
ตอนที่– 403 เพื่อนหรือศัตรู ?
จำนวนที่ฮวงเฉียดงบอกมามีทั้งหมด 16 คนซึ่งใน 16 คนนั้นส่วนใหญ่เป็นวิศวกรไฟฟ้าอาวุโสของโรงงาน มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายการผลิตอีกสองคนนอกนั้นก็เป็นฝ่ายออกแบบ
สายลับเหล่านี้อยู่ครอบคลุมเกือบทุกส่วนงานของโรงงานแถมบางคนยังอยู่ในตำแหน่งที่สูงซะด้วยหากเซี่ยเหล่ยไม่บังเอิญเจอเข้ากับฮวงเฉียดงและรู้ว่าเขาได้กลายเป็นสายลับไปแล้ว ตอนนี้พิมพ์เขียวคงจะโดนขโมยไปให้กับบริษัทฮั่นเป็นที่เรียบร้อย
เซี่ยเหล่ยไม่เชื่อว่านี่จะเป็นแผนของบริษัทฮั่นเพียงบริษัทเดียวเท่านั้นกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมจีนจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแน่ๆ หากไม่สามารถปล้นเอามาได้วิธีที่ดีและเร็วที่สุดก็คือการขโมย
นี่คือสิ่งที่เซี่ยเหล่ยคิดและเขาก็มั่นใจอย่างมาก หลังจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นเซี่ยเหล่ยได้โทรไปบอกเรื่องราวทั้งหมดกับหลิงฮั่น
หลิงฮั่นเป็นผู้ที่รับผิดชอบการนำปืน XL2500 ไปยังงานนิทรรศการกรุงมอสโค และตอนนี้ก็เป็นผู้ดูแลและติดต่อโดยตรงกับรัฐบาลเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น เขาก็ต้องเข้ามาดูแลและจัดการกับปัญหาให้หมดไป
ด้วยการซัดทอดของฮวงเฉียดงทำให้เซี่ยเหล่ยและหลิงฮั่นช่วยกันจับสายลับที่เหลือได้อย่างไม่ยากเย็น พวกเขาทั้งหมดถูกให้มารวมกันในห้องประชุมซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่สายลับมืออาชีพเนื่องจากพวกเขาทั้งหมดยอมรับว่าทำไปเพราะเงิน อย่างไรก็ตามในเวลานี้พวกเขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองเซี่ยเหล่ยเลย
“พูดมา” หลิงฮั่นพูดอย่างอย่างเย็นชาก่อนจะพูดต่อว่า “ใครเป็นหัวหน้า?”
ทุกคนเงียบกันหมดอย่างไรก็ตามทุกคนเหลือบไปมองที่ฮวงเฉียดงโดยไม่รู้ตัว
การกระทำนี้ของพวกเขาไม่สามารถรอดพ้นสายตาของเซี่ยเหล่ยและหลิงฮั่นไปได้
เซี่ยเหล่ยหันไปพูดกับหลิงฮั่นว่า “เขาชื่อฮวงเฉียดงเป็นหนึ่งในวิศวกรไฟฟ้าของเรา”
หลิงฮั่นก็ตบไปที่โต๊ะอย่างแรงก่อนจะพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ฮวงเฉียดง คุณกล้ามากนะ! คุณกล้าขโมยความลับระดับชาติและยังจะมอบมันให้กับกองกำลังต่างชาติอีกต่างหาก คุณรู้ไหมว่ามันเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงแค่ไหน? หรือว่าคุณไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อบนโลกนี้แล้ว?”
“อะไรนะ?” ฮวงเฉียดงพูดพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเผือดก่อนจะตอบอย่างร้อนรนว่า ”มันไม่ใช่กองกำลังต่างชาติ แต่เป็นบริษัทฮั่นของเย่คุนก่อนหน้านี้เฉียนเหม่ยได้ชวนพวกเราไปรับประทานอาหาร หลังจากนั้นเธอก็ให้เงินเราจำนวนห้าร้อยล้านเพื่อให้เรามาขโมยข้อมูลลับของโรงงาน
“เฉียนเหม่ยงั้นเหรอ?” เซี่ยเหล่ยพูดพร้อมขมวดคิ้วก่อนจะพูดต่อว่า “ไม่ใช่เย่คุนอย่างนั้นเหรอ?”
ฮวงเฉียดงตอบอย่างระมัดระวังว่า “พวกเราจะไปเจอระดับผู้อำนวยการได้อย่างไรหล่ะ? ทุกคนที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ก็ติดต่อผ่านเฉียนเหม่ยกันทั้งนั้น”
จากที่พูดมาแม้ว่าหลิงฮั่นจะสอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจังและสั่งฟ้องพวกเขาทำได้มากที่สุดก็เพียงแค่ฟ้องเฉียนเหม่ยได้เท่านั้นไม่สามารถสาวไปถึงตัวเย่คุนได้อย่างแน่นอน ดูเหมือนพวกเขาจะวางแผนมาอย่างรัดกุมเช่นกัน
เซี่ยเหล่ยถามต่ออีกว่า “เรื่องนี้เกี่ยวกับกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมจีนด้วยหรือไม่?”
ทั้งห้องกลับมาเงียบอีกครั้งแต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะไม่มีใครตอบอะไรกลับมา แต่ปฏิกิริยาของหลายๆก็แสดงออกถึงความเครียดอย่างชัดเจน
เซี่ยเหล่ยสังเกตเห็นจึงพูดต่ออย่างเย็นชาว่า “ถ้าทุกคนซื่อสัตย์กับผมเหมือนกับที่ซื่อสัตย์ต่อเงินของพวกเขา ด้วยคำสารภาพของพวกคุณมันจะทำให้โทษของคุณลดลง แต่ถ้าไม่มันจะหนักจนคุณต้องตะลึงอย่างแน่นอน!”
ดูเหมือนสถานการณ์ก็คงจะเหมือนกันตัวของมู๋เจียนเฟิงเองคงไม่ได้เป็นคนมาติดต่อและยื่นเงินให้ด้วยตัวเองอย่างแน่นอนแม้ว่าจะเอาเรื่องพวกเขา มู๋เจียนเฟิงก็จะไม่ได้รับผลประทบอะไรเลย
หลังจากพูดคุยกันเบื้องต้น สายลับทุกคนต่างถูกพาตัวไปสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง
หลังจากเสร็จสิ้นการสอบปากคำ เซี่ยเหล่ยและหลิงฮั่นเดินอยู่ตรงทางเดิน เซี่ยเหล่ยได้ถามขึ้นว่า “มันชัดเจนมากว่าบริษัทฮั่นและกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมจีนร่วมมือกันซื้อตัวพนักงานของโรงงานเราไป พวกเขาวางแผนจะให้คนเหล่านั้นขโมยข้อมูลลับจากโรงงานของเรา จากเรื่องทั้งหมดนี้คุณคิดว่าจะจัดการอย่างไร?”
หลิงฮั่นยิ้มอย่างชมชื่นก่อนจะตอบว่า“แม้ว่าความจริงจะชัดเจนมากแต่อย่างไรก็ตามหลักฐานที่เรามีอยู่ไม่สามารถเอาผิดไปถึงตัวพวกเขาได้เลย”
เซี่ยเหล่ยขมวดคิ้วก่อนจะพูดอีกว่า “งั้นจะปล่อยให้เรื่องนี้มันผ่านไปโดยไม่ทำอะไรเลยอย่างเหรอ?”
“แน่นอนว่าไม่!” หลิงฮั่นพูดอย่างจริงจังและพูดต่อว่า “เมื่อเราจับตัวสายลับเอาไว้ได้ เราก็ต้องลงโทษพวกเขาเพื่อเป็นการเตือนไปยังเย่คุนและมู๋เจียนเฟิง ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะไม่ทำให้คุณพอใจ แต่มันก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้”
แม้ว่าความต้องการจริงๆของเซี่ยเหล่ยคือจัดการทั้งมู๋เจียนเฟิงและเย่คุนให้สาสมกับสิ่งที่พวกเขาทำมาทั้งหมดแต่ในความเป็นจริงด้วยอำนาจและอิทธิพลของบริษัทฮั่นและกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมจีนทำให้ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้เลยหากไม่มีหลักฐานที่มัดแน่นพวกเขามากพอ!
เมื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในตอนนี้ทั้งหมด เซี่ยเหล่ยก็ถอนหายใจก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า “เอาหล่ะ เรื่องนี้ผมจะปล่อยให้คุณจัดการเนื่องจากคุณอยู่ในตำแหน่งที่สามารถทำอะไรได้มากมายกว่าผม”
จู่ๆเซี่ยเหล่ยก็เปลี่ยนท่าทีและถามต่ออีกว่า “ว่าแต่คุณหลิง บอกได้หรือไม่ว่าเจ้านายของคุณ……เป็นใคร?”
หลิงฮั่นยิ้มก่อนจะตอบว่า “อย่าถามเลยดีกว่า อย่าถามเลย คุณเป็นคนฉลาด ดังนั้นบางสิ่งบางอย่างไม่รู้จะดีกว่า”
ดูเหมือนนี่จะเป็นคำแนะนำและคำเตือนในเวลาเดียวกัน
เซี่ยเหล่ยยักไหล่และไม่ถามต่อ
อย่างไรก็ตามมีอยู่หนึ่งเรื่องที่แน่ชัดในตอนนี้ก็คือสามารถเรียกหลิงฮั่นว่าเป็นเพื่อนได้แล้วแต่อย่างไรก็ตามสถานะนี้ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้นานแค่ไหนเนื่องจากตัวตนของหลิงฮั่นพิเศษมาก บางทีด้วยคำสั่งจากเจ้านายเขาในอนาคตอาจะเปลี่ยนจากสถานะของเพื่อนไปเป็นศัตรูหรือคู่ต่อสู้ก็ได้ เรื่องนี้ไม่มีใครรู้
เมื่อส่งหลิงฮั่นเสร็จแล้ว เซี่ยเหล่ยก็ตรงไปยังโกดัง
โกดังในตอนนี้เต็มไปด้วยชิ้นส่วนจากโรงงานผลิตจากเมืองห่ายจู มันยังรวมไปถึงเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆทั่วไปหรือแม้แต่ที่เขาดัดแปลงเองด้วย
โกดังนี้คือที่ที่เซี่ยเหล่ยใช้ในการพัฒนาเครื่องจักรอัจฉริยะ ‘มังกรเพลิง’ ขึ้นมา ที่นี่จึงค่อนข้างจะเป็นสถานที่ลับเพราะนอกจากตัวเขาเองแล้วมีเพียงแค่อเลน่าและฉิงเสวียงเท่านั้นที่สามารถเข้าออกได้
ตอนนี้เองอเลน่าก็เดินตามเซี่ยเหล่ยมาที่โกดังสินค้าเช่นกัน เธอมาพร้อมกับรถเข็นขนาดเล็กที่บรรทุกโทรศัพท์ของฮวงเฉียดงรวมถึงภาพพิมพ์เขียวทั้งหมดของเซี่ยเหล่ย
ในตอนแรกหลิงฮั่นต้องการจะนำโทรศัพท์ของเขาไปด้วยเพื่อใช้เป็นหลักฐาน แต่เซี่ยเหล่ยไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นเนื่องจากภายในโทรศัพท์ยังมีรูปของพิมพ์เขียวที่ถูกถ่ายไว้มากมาย เซี่ยเหล่ยไม่ต้องการให้มันถูกนำออกไปจากโรงงานของเขาแม้เพียงรูปในโทรศัพท์ ไอลีนโนเวล
“ลูคัส คุณจะเริ่มทำงานเลยไหม?” อเลน่าจอดรถเข็นไว้ข้างโต๊ะทำงานของเซี่ยเหล่ยก่อนจะถามอย่างแปลกใจว่า “ฉันไม่รู้ว่าคุณวาดพิมพ์เขียวทั้งหมดนี้เสร็จได้อย่างไร ฉันแค่มองมันแว๊บเดียวก็เห็นถึงความซับซ้อนที่ชวนให้เวียนหัวอีกอย่าง…ด้วยความซับซ้อนขนาดนี้ฉันมองว่าจำจะเป็นต้องใช้วิศวกรไฟฟ้ากว่าห้าสิบคนทำงานหามรุ่งหามค่ำและใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนถึงจะวาดมันเสร็จลุล่วง แต่คุณเพียงคนเดียวสามารถทำจนเสร็จเรียบร้อยภายในยี่สิบวันเท่านั้น”
เซี่ยเหล่ยยิ้มแต่ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมเพราะเขาไม่มีทางที่จะอธิบายความสามารถของตัวเองให้ใครฟังเด็ดขาด
“ก่อนหน้านี้ฉันเคยสงสัยว่าโครงสร้างของสมองคุณทำด้วยอะไรแต่ฉันก็คิดว่าคุณเองก็คงจะไม่รู้เช่นกัน” อเลน่าพูดเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่มีความอยากรู้อยากเห็นเป็นพิเศษอย่างไรก็ตามเธอพูดต่ออีกว่า ”ตอนนี้ฉันขอตัวไปทำงานของฉันก่อนนะ ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็โทรมาแล้วกันนะ”
“อื้ม” เซี่ยเหล่ยตอบ
งานในปัจจุบันของอเลน่าตอนนี้คือการออกแบบปืนไรเฟิลชนิดใหม่ เธอมีความสามารถในด้านนี้และถือว่ายอดเยี่ยมเลยก็ว่าได้เช่นเดียวกับปืนไรเฟิล XL2500 ที่เธอเป็นคนออกแบบและส่งต่อให้กับเซี่ยเหล่ยไปพัฒนาจนสมบูรณ์แบบ
เป็นการคาดการณ์เอาไว้ว่าหลังจากที่เขตโรงงานแห่งใหม่สร้างเสร็จ ปืนไรเฟิลจะเป็นผลิตภัณฑ์แรกของโรงงานอย่างไรก็ตามความต้องการของพวกเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่ปืนไรเฟิล แต่พวกเขายังต้องการผลิตปืนพกและปืนยาวอีกด้วย
หลังจากที่อเลน่าออกไปแล้ว สิ่งแรกที่เซี่ยเหล่ยทำก็คือรวบรวมเองสารส่วนประกอบต่างๆที่เป็นทั้งพิมพ์เขียวในช่วงขณะที่กำลังพัฒนาหรือแม้แต่พิมพ์เขียวที่ถือว่าเสร็จสมบูรณ์ใส่ลงไปในถังพร้อมกับราดน้ำมันและจุดไฟเผาในทันที นอกจากนี้สิ่งที่โดนเผาไม่ได้มีแค่พิมพ์เขียวที่อยู่ในขั้นพัฒนาเท่านั้นแต่ยังเป็นโทรศัพท์ของฮวงเฉียดงอีกด้วย
ถ้าอเลน่าอยู่ที่นี่ในตอนนี้คงจะคิดว่าเซี่ยเหล่ยเป็นบ้าไปแล้วอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามเซี่ยเหล่ยไม่จำเป็นจะต้องใช้พิมพ์เขียวเหล่านี้เลยเพราะสมองของเขาสามารถแสดงภาพสามมิติของพิมพ์เขียวเหล่าออกมานั้นได้ มันกลายเป็นภาพโฮโลแกรมอยู่ภายในหัวของเขาดังนั้นสามารถพูดได้อีกอย่างก็คือแม้ว่าตอนนี้มังกรเพลิงจะยังไม่ถูกสร้างขึ้นจริงแต่ในหัวของเซี่ยเหล่ยตอนนี้ มังกรเพลิงได้ถูกสร้างจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว!
ในสถานการณ์เช่นนี้หากเก็บไว้ต่อไปก็มีแต่จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูกขโมยเสียเปล่าๆ การทำลายจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
กรื๊ง กริ๊ง กริ๊ง……
เสียงโทรศัพท์ของเซี่ยเหล่ยดังขึ้น เซี่ยเหล่ยหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าผู้ที่โทรมาคือมู๋เจียนเฟิง
มู๋เจียนเฟิงจะโทรมาตอนนี้ทำไม
เซี่ยเหล่ยรู้สึกสงสัยอย่างมากจึงตัดสินใจรับในที่สุดก่อนจะพูดขึ้นว่า “ ผู้อำนวยการมู๋ มีอะไรงั้นเหรอ?”
ในตอนนี้เซี่ยเหล่ยไม่ได้เรียกมู๋เจียนเฟิงว่าผู้อาวุโสมู๋อีกแล้ว เขาเรียกว่าผู้อำนวยการมู๋แทนเพราะเขาไม่จำเป็นต้องให้เกียรติและเคารพมู๋เจียนเฟิงอีกแล้ว
“ฮ่าฮ่า” เสียงหัวเราะของมู๋เจียนเฟิงดังผ่านโทรศัพท์ออกมาก่อนที่จะหยุดและพูดขึ้นว่า “เซี่ยเหล่ย คุณยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคยเลยนะ ได้ยินมาว่าคุณจับสายลับได้ตั้งหลายคนเลยนี่”
เซี่ยเหล่ยตอบกลับอย่างเย้ยหยันไปว่า “ก็คุณส่งพวกเขามานี่?”
มู๋เจียนเฟิงตอบกลับว่า “อย่ากล่าวหาอะไรผมแบบนั้น คุณไม่มีหลักฐานด้วยซ้ำ คุณจะพูดแบบนี้ไม่ได้แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าคุณจะมีหลักฐาน คุณจะทำอะไรผมได้หล่ะ?”
เซี่ยเหล่ยรู้สึกโกรธทันทีที่ได้ยิน เขาจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นว่า “ ผมไม่สามารถทำอะไรคุณได้ก็จริงแต่ผมอยากให้คุณจำเอาไว้ซักหน่อยว่าจากหลายๆเหตุผล…ซักวันหนึ่งผมจะให้คุณชดใช้กับที่คุณเคยทำไว้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…..คุณนี่เด็กน้อยจริงๆ ผมจะบอกเอาไว้เลยว่าไม่ว่าเมื่อไหร่ตอนไหนคุณก็ไม่สามารถทำอะไรผมได้” มู๋เจียนเฟิงพูดอย่างไม่แยแสก่อนจะพูดต่อว่า “และอีกอย่างผมอยากจะเตือนคุณไว้ก่อนเลยว่าเมื่อก่อนคุณได้ขายเครื่องจักรอัจฉริยะให้กับผมแล้ว ผมจึงกลายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์อย่างถูกต้องดังนั้นคุณจะไม่มีสิทธิสร้างมันขึ้นมาเป็นของตัวเองได้เพราะถ้าหากคุณสร้างมันจริงๆละก็ผมจะฟ้องให้คุณล่มจมไปเลย ”
เซี่ยเหล่ยหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจและพูดอย่างไม่แยแสว่า “เดิมที่ผมเคยพูดเรื่องนี้ไปแล้ว ผมจะไม่พูดซ้ำ อย่างไรก็ตามบนโลกใบนี้มีเครื่องจักรมากมาย หากผมจะสร้างมันขึ้นมาใหม่คุณจะมาฟ้องผมได้ยังไงหล่ะในเมื่อพวกมันก็ถูกเรียกว่าเครื่องจักรเหมือนกันทั้งนั้น”
“เครื่องจักรอะไร?” มู๋เจียนเฟิงถามด้วยความอยากรู้ยากเห็น มันทำให้ภายในจิตใจของเขาไม่สามารถสงบได้เลย
“คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครกันหล่ะ? ทำไมผมจะต้องบอกคุณด้วย? ถ้าอยากรู้ก็ส่งสายลับมาอีกสิ!” เซี่ยเหล่ยพูดเยาะเย้ย
”คุณ…” มู๋เจียนเฟิงพูดอย่างไม่พอใจแต่ยังไม่ทันจะได้พูดจบเซี่ยเหล่ยก็รีบวางโทรศัพท์ทันที เขาไม่อยากได้ยินเสียงของมู๋เจียนเฟิงนานกว่านี้อีกแล้ว
ชายที่เคยเคารพนับถือในอดีตตอนนี้ได้กลายเป็นศัตรูไปเสียแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะธุรกิจ มันทำให้คิดได้ว่าชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริงๆ
ติดตามตอนต่อไป……