Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1461
เขตเมืองกระแสพิรุณเป็นชายแดนแห่งเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์
เมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์มีพรมแดนติดกับเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะ โดยมีแม่น้ำสายใหญ่ขวางกั้นไว้อยู่
เมืองจักรพรรดิทั้งสองเป็นสองกองกำลังที่แตกต่างกันสุดขั้ว โดยที่เมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์เป็นจักรวรรดิของเผ่ามนุษย์ ในขณะที่เมืองกล้วยไม้อริยะเป็นจักรวรรดิของเผ่าปีศาจ
สองจักรวรรดินี้ต่างเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเสมอมา ก่อศึกสงครามตลอดกันทั้งปี มีทั้งผู้บาดเจ็บเสียชีวิตในแต่ละวันเป็นอาจิณ
ภายในป่าทึบหนานอกเขตเมืองกระแสพิรุณ มีเซียนกลุ่มเล็กๆกำลังลาดตระเวนเฝ้าตรวจอยู่
พวกเขาล้วนเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าที่ได้รับการฝึกปรือมาอย่างดี พวกเขาสวมชุดเนื้อผ้าดี ทั้งลวดลายและสีเหมือนกันทั้งกลุ่ม ดูหาใช่เหล่าเซียนทั่วไป
“หัวหน้า ท่านไป๋ฟู่ซางลำเอียงเกินไปนัก เหตุใดต้องเป็นหน่วยเราที่ต้องมาลาดตระเวนให้ที่รกร้างอันตรายเช่นนี้เสมอ?”
“ใช่แล้ว! เช่นนี้เราจะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้อย่างไร? ในกองทหารเราคงไม่มีโอกาสโงหัวแล้วกระมัง?”
“หัวหน้า เป็นไปได้ไหมว่า พวกเราแต่กล้ำกลืนฝืนทนไปเช่นนี้ไปตลอด?”
…
ในระหว่างที่กลุ่มทหารอาณาจักรปฐมพระเจ้าเหล่านี้กำลังลาดตระเวนกันอยู่นั้นเอง แต่ละคนต่างเอ่ยปากบ่นขึ้นทันทีอย่างไม่พอใจ
และคนที่พวกเขากำลังบ่นอยู่ก็คือ แม่ทัพกองอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นคนหนึ่ง
“หุบปากเดี๋ยวนี้! ก็พวกเราเป็นทหารศึกหาใช่ผู้ฝึกตนพเนจรอิสระ! เมื่อใดที่ท่านแม่ทัพกองสั่งให้เราไปที่ใด เราก็จำต้องรับฟังคำสั่งโดยไม่มีขัดขืน! แล้วพวกเจ้าจะบ่นอันใดให้มากความ?”
หัวหน้าของพวกเขาตะโกนเสียงเย็นดังลั่น
แน่นอนว่าเปลวไฟแห่งความพิโรธเดือดดาลของแต่ละคนพลันดับมอดลงทันที
คล้อยหลังไม่นาน มีทหารคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งว่า
“หัวหน้า พวกเราหวังดีเพื่อท่าน! ในด้านพลังฝีมือ ท่านแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าหลิวซานกง แต่กลับเป็นมันที่ได้รับความดีความชอบอยู่เสมอ? หากมิใช่เพราะพี่เคยของมันมียศศักดิ์ใหญ่โตหรอกรึ?”
สีหน้าของหัวหน้าคนนั้นทมิฬมืดลง เขาเอ่ยปากลั่นด่าน้ำเสียงเย็นว่า
“อย่าให้วาจาเช่นนี้ดังเข้าหูข้าอีก! กล่าวพล่ามไร้สาระนับเป็นความผิดและต้องถูกลงโทษตามกฎ!”
สีหน้าของทหารคนนั้นแปรเปลี่ยนไปทันที ก่อนแลบลิ้นเชิงหยอกล้อใส่ เขามิได้เอ่ยปากกล่าวอันใดอีก
“หื้ม? มีคนมาทางนี้!”
ทันทีทันใด หัวหน้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายหอบหนึ่งไม่คุ้นเคย ประดุจเสียงระฆังดังขึ้นเตือนกลางใจ พร้อมยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนระวังตัว
ทหารเหล่านี้เจนจัดนักด้านประสบการณ์เป็นตาย ผ่านศึกสมรภูมินับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นจึงตื่นตัวต่อภัยอันตรายเร็วเป็นพิเศษ
หากมีการเคลื่อนไหวเบื้องหน้าเพียงเล็กน้อย พวกเขาจะรู้ตัวได้ทันที
ความสามัคคีของพวกเขาไม่เป็นรองฝักฝ่ายใด พลันสัมผัสการมีอยู่ได้เบื้องหน้า แต่ละคนประจำจุดค่ายกลผสานโจมตีเข้าปิดล้อมเป้าหมายโดยไว
วูบ! วูบ! วูบ!
กลุ่มคนพวกนี้ทะยานล่อนลงบนพื้นที่เปิดกว้าง เตรียมรับมือสัประยุทธ์ศึกใหญ่เข้าประจัญบาน!
ทว่าทันทีที่เห็นอีกฝ่าย พวกเขากลับอ้าปากตื่นตะลึงยกใหญ่
เบื้องหน้าปรากฏเป็น ชายหนุ่มในวัยประมาณยี่สิบปีกำลังย่างกระต่ายกินอยู่
กลิ่นหอยลอยคลุ้งหวาน น้ำลายของพวกเขาเหล่านั้นกลับหยดลงติ๋งด้วยความหิวโหย
ทันทีที่เห็นคนเหล่านั้นตั้งท่าพร้อมประจัญบาน ชายหนุ่มที่นั่งย่างกระต่ายอยู่ดูไม่แปลกใจอะไรเลย เขาพลันคลี่ยิ้มกล่าวว่า
“เหล่าทหารทั้งหลาย ดูเหมือนว่าพวกท่านจะลาดตระเวนมาทั้งวันจนเหน็ดเหนื่อย อยากลองสักคำหรือไม่?”
เมื่อเหล่าทหารเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มเผ่ามนุษย์คล้ายดูเป็นมิตร พวกเขาก็โล่งใจขึ้นอย่างมาก
อาณาจักรพลังของชายหนุ่มคนนี้มิได้ต่ำทรามเช่นกัน ทั้งยังเป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้น ทว่าในมุมมองของเหล่าทหารกลับจ้องมองแลดูครั่นคร้ามมิใช่น้อย
พวกเขาต่างคิดว่า ชายหนุ่มคนนี้คงเป็นนายน้อยจากตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงสักแห่งหน ที่ออกเดินทางมาฝึกปรือขัดเกลาฝีมือในป่า โดยมิทางถึงภัยอันตรายที่เร้นแฝงอยู่ในป่าทึบแห่งนี้เลย
ในทางตรงข้าม ชายหนุ่มคนนี้กลับทำตัวผ่อนคลายสบายอารมณ์นัก ถึงขั้นที่ว่าย่างกระต่ายกินอย่างเอร็ดอร่อยคงมิทราบเลยว่าความตายขีดเขียนอย่างไร
“นี่เจ้าทราบหรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด?”
หัวหน้ากองทหารหาได้สนใจกินด้วยแต่อย่างใด พร้อมเอ่ยปากซักถามเสียงเย็น
ชายหนุ่มคนนี้อ้าปากกว้างฉีกเนื้อกระต่ายเคี้ยวงุบงับ พลางยิ้มกล่าวว่า
“ข้าไม่รู้เช่นกันว่าที่นี่คือที่ใด?”
ปลายคิ้วของหัวหน้าคนนี้พลันกระตุกขึ้นทันที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ชอบขี้หน้าชายหนุ่มกวนบาทาตรงหน้าเป็นอย่างมาก
วาจากวนประสาทเช่นนี้ เขาอยากจะซัดมันให้ตายคามือ!
บูมมม!
หัวหน้าคนนั้นยกฝ่ามือซัดตระแกรงย่างกับกองไฟตรงหน้ากระจายไปโดยตรง
“หึ! ด้านหลังขุบเขาใหญ่แห่งนี้คืออาณาเขตของพวกเผ่าปีศาจ! แต่เจ้ายังกล้าจุดกองไฟย่างเนื้อกระต่ายหน้าระรื่น หรือเจ้าเบื่อชีวิตอยากตายมากรึไง! หากไม่อยากรีบไปยมโลก เช่นนั้นก็รีบหนีกลับไป!”
หัวหน้าคนนั้นเอ่ยเตือนน้ำเสียงเย็นสะท้าน
แม้ว่าอาณาจักรพลังของชายหนุ่มคนนี้จะใกล้เคียงกับเขามาก แต่หัวหน้ากองทหารกลับมองข้ามมิให้ความสนใจกับชายหนุ่มคนนี้เลย
เหล่าทหารอย่างพวกเจ้าเข้าสัประยุทธ์เป็นตายกับเผ่าปีศาจมาไม่รู้กี่นัดต่อกี่นัดแล้ว โดยส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นแต่ศัตรูในระดับชั้นเดียวกัน
ชายหนุ่มคนนี้คงเป็นนายน้อยผู้อ่อนต่อโลกคนหนึ่งที่เพิ่งท่องโลกกว้างครั้งแรก เมื่อใดถูกเผ่าปีศาจตีฝ่าดักล้อมไว้ เกรงว่าจะมีพลังแต่ไร้ประสบการณ์จริง เช่นนั้นก็การเดินทางใบที่แบบนี้จึงไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตายเลย
แต่เดิมเจ้าตัวก็ไม่ค่อยพอใจชายหนุ่มคนนี้เป็นทุนเดิม ยิ่งเห็นการกระทำอย่างการย่างกระต่าย ยิ่งดึงดูดศัตรูเข้าไปใหญ่ ยามนี้เริ่มเดือดจัด คิดจะถือโอกาสสั่งสอนอีกฝ่ายแทนพ่อแม่มันในคราวเดียว
อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงชายหนุ่มคนนี้จะไม่โกรธ แต่เขายังฉีกยิ้มกว้างและกล่าวว่า
“ท่านบอกว่า ที่นี่เป็นอาณาเขตของเผ่าปีศาจใช่หรือไม่? เยี่ยมจริงๆ! ป่าแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป ข้าเกรงว่าจะหลงทางแล้วเสียอีก ที่แท้ก็มาถูกทางแล้ว โอ้จริงสิ พวกท่านเป็นกองทหารจากแห่งหนใดรึ? ยับรับคนเข้าพวกอยู่หรือไม่?”
“ฮ่าๆๆ…ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ไม่สิ ด้วยประสบการณ์ของเจ้า คงอยู่รอดไม่ถึงสิบอึดใจ ที่นี่คือสมรภูมิรบของจริงตายจริง! หาใช่สนามเด็กเล่นให้เจ้าฝึกฝน!”
“อย่าดูถูกคิดว่าตนเองเป็นถึงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นแล้วจะเหนือชั้นกว่า หากให้พวกเราตั้งค่ายกลผสานกันโจมตี เจ้าเองก็ไม่รอดเช่นกัน เชื่อหรือไม่?”
“เจ้าหนุ่ม เจ้ากลับไปเถอะ บุปผาเรือนกระจกที่ไม่เคยฆ่าคนอย่างเจ้า ไม่เหมาะกับที่แบบนี้หรอก เชื่อข้าสิ!”
…
คำกล่าวของชายหนุ่มคนนี้กระตุ้นให้เหล่าทหารที่เหลือระเบิดหัวเราะเยาะดังลั่น
หัวหน้าคนนั้นมองเขาเจือสายตาฉงนใจ ก่อนกล่าวว่า
“เจ้าชื่อแซ่อะไร ไฉนถึงอยากเข้าร่วมกลุ่มของเรา?”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างกล่าวขึ้นว่า
“ข้านามว่าเย่หยวน! ฟังว่าพวกเผ่าปีศาจก่อวีรกรรมชั่วช้าไร้ขอบเขต สร้างภัยหายนะให้แก่เมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์เป็นอย่างมาก เช่นนั้นข้าจึงมีใจ ต้องการจะเข้าร่วมช่วยเหลือเผ่ามนุษย์ของเรา!”
ชายหนุ่มคนนี้มิใช่ใครอื่นนอกเสียจากเย่หยวน ที่หนีลี้ภัยเข้ามายังเขตปกครองของเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์!
ในเวลานี้ผ่านมากว่าสามปีแล้ว ที่เย่หยวนหนีออกมาจากเมืองหลวงหวูเมิ่ง
และเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์ก็เป็นจุดหมายของการเดินทางของเขาในครั้งนี้
หากเย่หยวนต้องการกลับไปแก้แค้นฉินเซียว เช่นนั้นเขาต้องเร่งพัฒนาตัวเองให้เก่งกาจยิ่งขึ้น
และวิธีที่ดีที่สุดในการยกระดับตัวเองก็คือการต่อสู้!
ดังนั้น จากคำแนะนำของหวูเฉิน เย่หยวนจึงเดินทางมายังจุดชายแดนระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ หรือก็คือชายแดนระหว่างสองเมืองจักรพรรดิอันยิ่งใหญ่ ฝ่ายมนุษย์คือเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์
และเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะคือฝ่ายเผ่าอสูร หรือก็คือเมืองที่จักรพรรดิเทพสวรรค์จิงชาง!
เย่หยวนเดินทางมาที่นี่เพื่อตรวจสอบเรื่องราวของจอมเทพนิรันดร์ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของเรื่องราวของเผ่าปีศาจในดินแดนพฤกษานิรันดร์ทั้งหมด มันเป็นคนส่งข่าวเข้ามาบุกโจมตีในกาลอดีต
เกิดอะไรขึ้นกับจอมเทพนิรันดร์กลับยังไม่ทราบ แต่ภูมิหลังจักต้องเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางแน่นอน
แต่สุดท้ายนี้ เขาดันหลงในป่าทึบกว้างใหญ่แห่งนี้
เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ตนจะมาเจอกลุ่มทหารลาดตระเวนเหล่านี้โดยบังเอิญ
หัวหน้าคนนั้นเดินเข้ามาตบไหล่เย่หยวนเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ไม่เลวหนิ! เจ้าหนุ่ม เจ้ามีความกล้าหาญ แต่…ถึงแม้ระดับพลังของเราจะใกล้เคียงกัน แต่เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า หากเข้าสู่สมรภูมิจริง เจ้าคงตายไม่รู้ตัว!”
เย่หยวนอดใจเอ่ยปากโต้ตอบมิได้เช่นกัน เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“หุหุ ข้าเองก็สามารถบอกได้เลยว่า ความแกร่งกล้าของท่านน่าเกรงขามนัก แต่อย่างน้อยทุกคนต้องเริ่มต้นจากศูนย์ ท่านต้องลองให้โอกาสข้าดูบ้าง มิเช่นนั้นจะเริ่มนับหนึ่งได้อย่างไร ท่านว่าจริงหรือไม่?”
คำกล่าวเหล่านี้เย่หยวนมิได้เอ่ยเยินยอไปเฉยๆเช่นกัน เพราะเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า พลังปราณเทวะภายในร่างของหัวหน้ากองทหารผู้นี้หนาแน่นและบริสุทธิ์อย่างมาก หากสัประยุทธ์กับคนในระดับเดียวกัน เขาน่าจะเหนือกว่าขุมหนึ่ง
หัวหน้าคนนั้นครุ่นคิดตามที่อีกฝ่ายกล่าวครู่หนึ่ง สิ่งที่เย่หยวนกล่าวไปล้วนสมเหตุสมผลเช่นกัน เขาจึงพยักหน้าและกล่าวว่า
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นเจ้ากลับไปยังค่ายพักกับพวกเราก่อน ส่วนเรื่องความไม่พอใจนี้ถือว่างดเว้นไป ภายในค่ายพักของพวกเราย่อมมีการทดสอบรอเจ้าอยู่เช่นกัน จะผ่านหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าแล้ว”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบว่า
“ขอบคุณท่านมาก!”
หัวหน้าคนนั้นพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ข้านามว่าเหลียงเฟิง หรือเจ้าจะเรียกว่าหัวหน้าเหลียงก็ได้!”
ขณะที่เอ่ยปากกล่าวกันอยู่นั้นเอง จู่ๆสีหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยนไปทันที ร่างนับร้อยปราดพุ่งออกมาจากป่าทึบโดยรอบ เข้าปิดล้อมพวกเขาทั้งหมดโดยสมบูรณ์
…………………………………………………………….