Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1466
เมืองกระแสพิรุณถูกสร้างขึ้นบนหุบเขาเส้นทางสลักซับซ้อนเป็นทางยาว
กำแพงเมืองเปรียบเสมือนปราการพิทักษ์ลงรักษาภัยจากกองทัพของเผ่าปีศาจมิให้ตีฝ่าเข้ามาได้เป็นระยะเวลาหลายล้านปี
เผ่าปีศาจเป็นดั่งพาหะนำสงคราม นับตั้งแต่ที่จักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชางปรากฏตัวขึ้นมา เมืองกระแสพิรุณแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในด่านปราการสำคัญของเผ่ามนุษย์เพื่อต่อกรกับเผ่าปีศาจ
เมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะ เคยส่งยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าออกไปหลายต่อหลายคนนัก พวกมันพยายามบุกยึดเมืองกระแสพิรุณแห่งนี้ให้จงได้
ฝ่ายของเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์เองก็หาได้นิ่งนอนใจไม่ พวกเขาหาได้แสดงความอ่อนแอใดๆออกมา พร้อมส่งยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าออกไปต่อกรเช่นกัน
ศึกสัประยุทธ์เหล่านั้นพัลวันต่อกรจนฟ้าดินวิปลาส ทำเอาเมืองกระแสพิรุณแทบพินาศอยู่หลายต่อหลายครั้ง
ในท้ายที่สุด ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับความเสียหายครั้งใหญ่หลวง
ยอดเซียนอาณาจักรพระเจ้ากว่าครึ่งถูกฆ่าตายไม่เหลือ
นับแต่นั่นเป็นต้นมา เมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะก็ไม่กล้าใช้กำลังคนตีโหมบุกยึกเมืองกระแสพิรุณอีกต่อไป แต่วางจุดสนใจไปยังแนวสงครามอื่น
ในช่วงหลายล้านปีมานี้ เมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะและเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์ ต่างก่อสงครามคว้าชัยชนะสลับแพ้อยู่ไปมา ทว่าต่างฝ่ายต่างทำอะไรกันไม่ได้มากนัก
เพราะเขตเมืองตามพรมแดนของเมืองจักรพรรดิอื่นๆตื้นลึกหนาบางอย่างไรกลับมิทราบ หากเผ่าปีศาจเคลื่อนทัพโดยไม่ระมัดระวัง อาจถูกเมืองจักรพรรดิอื่นๆตัล้อมหน้าหลังเอาได้
แม้ว่าบางครั้งพวกเขาจะสามารถเอาชนะพวกมนุษย์ได้ก็จริง แต่ก็อย่างลืมเสีย เผ่ามนุษย์มิได้มีกันแค่เมืองเดียว ในไม่ช้า พวกมันอาจชักนำมวลมนุษย์จากเมืองอื่นเข้าร่วมศึกสงครามได้หากไม่ระมัดระวัง
มีเพียงเมืองกระแสพิรุณแห่งนี้เท่านั้นที่กองทัพของเผ่าปีศาจไม่เคยตีฝ่าเข้าไปได้สำเร็จ อนึ่งเมืองนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ หากตีฝ่าเข้าไปได้มันจะเป็นเส้นทางที่นำไปสู่เมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์ได้โดยตรง
ดังนั้นแม้จะผ่านไปนานกว่าหลายล้านปีแล้ว แต่เผ่าปีศาจไม่เคยยอมแพ้ละทิ้งแผนการโจมตีเมืองกระแสพิรุธเลย
แผนการขนส่งกองกำลังผ่านหุบเขาอัญเชิญปีศาจนับเป็นยอดความคิดสุดแยบยล มันสามารถข้ามเข้ามายังกำแพงเมืองทางตอนใต้ของเมืองกระแสพิรุณและเคลื่อนทัพลอบโจมตีทางทิศเหนือได้โดยตรง พร้อมบุกประชิดโจมตีได้แบบไม่มีตั้งตัว
ตรงกันข้ามกับกำแพงเมืองทางตอนใต้ที่ถูกเสริมแกร่งเป็นชั้นหนา กำแพงเมืองตอนเหนือกลับอ่อนแอกว่ามากโดยสิ้นเชิง
ทันทีที่กองทัพของเผ่าปีศาจพร้อมประจัญบาน เมืองกระแสพิรุณค่ายแตกถูกทำลายแน่นอน!
ระหว่างทางจ้าวปิงสลัดทิ้งห่างคนอื่นๆออกไปหลายช่วงตัว เขาเร่งเร้าโคจรพลังปราณเทวะจนถึงขีดสุดและรีบกลับไปยังเมืองกระแสพิรุณโดยไว
“เปิดประตูเมืองโดยด่วน! ข้านามว่าจ้าวปิงอยู่ภายใต้กองบัญชาของท่านแม่ทัพกองจงเต๋า! เปิดให้ข้าเข้าเมืองโดยเร็ว!”
เอี๊ยดด…
ทันทีที่ประตูเมืองเปิดออก จ้าวปิงรีดใช้พลังทั้งหมดเพื่อผลักร่างพุ่งเข้าไป
“จ้าวปิง ไฉนเจ้าถึงกลับมาคนเดียว? ที่เหลืออยู่ที่ใดกัน? เจ้าดูลุกลี้ลุกลนนัก นี่เกิดอะไรขึ้น?”
ร่างหนึ่งเร่งตรงเข้ามาทักทาย และเอ่ยถามขึ้นพร้อมสีหน้าไม่ค่อยมีความสุขนัก
จ้าวปิงแข็งค้างไปชั่วขณะก่อนกล่าวขึ้นว่า
“ท่านแม่ทัพกอง เกิดเรื่องแล้ว!”
คนๆนี้คือจงเต๋า เป็นแม่ทัพกองของเหลียงเฟิง
รองจากจงเต๋า เป็นเหลียงเฟิงที่แข็งแกร่งที่สุด และผลงานของเขาเองก็น่าประทับใจยิ่งเช่นกัน เขาสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นกลางได้ตลอดเวลา และหากเป็นเช่นนั้น นี่ก็ทำให้ตำแหน่งของจงเต๋าสั่นคลอนได้เช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงเฝ้าจับตาดูเหลียงเฟิงอยู่ตลอด
จงเต๋าขมวดคิ้วมุ่น เขากล่าวขึ้นว่า
“เจ้ากล่าวเรื่องไร้สาระอันใด? เผ่าปีศาจจะเดินทัพมาจากฝั่งนั้นได้อย่างไร?”
จ้าวปิงเร่งกล่าวด้วยความกังวลว่า
“ท่านแม่ทัพกองนี่เป็นเรื่องจริง! เราวิ่งชนเข้ากับหัวหน้าเผ่าปีศาจถึงห้าตน และพวกมันพูดเองกับปาก!”
แต่จงเต๋าก็ยังไม่เชื่อและกล่าวตอบไปว่า
“เผ่าปีศาจมากเล่ห์เหลี่ยมนัก แล้วเจ้าเชื่อคำพูดของพวกมันได้อย่างไร? และในเมื่อกลุ่มของเจ้าชนเข้ากับระดับหัวหน้าถึงห้าตน แล้วเจ้าหนีออกมาได้อย่างไร?”
จ้าวปิงอดสำลักมิได้จึงกล่าวว่า
“มันเป็นเพราะ…เพราะมียอดฝีมือไร้นามช่วยเหลือเอาไว้! ท่านแม่ทัพกองโปรดเชื่อข้าเถอะ สิ่งที่กล่าวไปทั้งหมดล้วนเป็นความจริง!”
เมื่อเห็นว่าจงเต๋าไม่เชื่อตน จ้าวปิงยิ่งกังวลใจหนักดั่งมดในกระทะร้อน
นอกจากนี้เขายังทราบดีว่า จงเต๋าไม่ชอบขี้หน้ากลุ่มของพวกเขาอยู่แล้ว เพียงจ้าวปิงตกใจที่ว่า คนที่มาพบหน้าประตูเมืองกลับเป็นจงเต๋าคนนี้จริงๆ
จงเต๋าขมวดคิ้วแน่นและกล่าวว่า
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นเผ่าปีศาจมันผ่านธารน้ำมาได้อย่างไร? แล้วพวกมันมีกันกี่ตนและใครเป็นผู้นำทัพในคราวนี้?”
จ้าวปิงทรุดลงทันทีที่ได้ยิน เขาจะไปรู้ได้อย่างไร?
“เรียนท่านแม้ทัพกอง หัวหน้าของพวกเขากำลังไปตรวจสอบเก็บข้อมูล อีกไม่ช้าคงจะกลับมาแล้ว! เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะมารายงานข้อมูลแก่ท่านโดยละเอียด แต่สถานการณ์ยามนี้เร่งด่วนนัก ขอท่านแม่ทัพกองตัดสินใจโดยเร็ว!”
จ้าวปิงประสานมือกล่าว
แต่ซงเต๋ากลับปฏิเสธที่จะเชื่อและกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า
“จ้างปิง นี่เจ้าพล่ามเสร็จหรือยัง? พวกเจ้าไปลาดตระเวนกลับไม่มีข่าวคราวใดๆ แต่ยังกล้าพล่ามเรื่องไร้สาระ! จะเกิดอะไรขึ้นหากเผ่าปีศาจจงใจปล่อยข่าวลือ เพื่อให้หลอกล่อให้เราตั้งขบวนป้องกันทางทิศเหนือ? แต่สุดท้ายพวกมันกลับบุกมาทางใต้? หากพวกเราติดกับดักของมันจริง เช่นนั้นใครบ้างจะรับผิดชอบความผิดพลาดนี้ไหว เรามีชีวิตของผู้คนเป็นเดิมพัน!”
จ้าวปิงวูบลงในทันใด เขาถูกซงเต๋ากล่าวขนาดนี้ ตนเองก็พูดไม่ออกเช่นกัน
แน่นอนว่า หากหัวหน้าปีศาจพวกนั้นจงใจปล่อยข่าวลือจริงๆ กระทั่งจงเต๋าเองก็ไม่สามารถแบกความรับผิดชอบนี้ไหวเช่นกัน
ดังนั้นทันทีที่จงเต๋าได้ยินแบบนั้น เขารู้สึกได้ทันทีว่าเรื่องนี้ข่าวจะเป็นข่าวเท็จ
ท้ายที่สุดแล้ว ธารน้ำสนามแม่เหล็กนั้นก็ไม่มีใครที่มีพลังต่ำกว่าอาณาจักรราชันพระเจ้าข้ามมาได้ นี่มันเรื่องเพ้อฝันชัดๆ
นอกจากนี้เองจงเต๋ายังมีอคติกับเหลียงเฟิงเป็นทุนเดิม เขายินดีรายงานเรื่องนี้ไปยังแม่ทัพใหญ่ก็จริง แต่นั่นก็ต่อเมื่อหลักฐานและข้อพิสูจน์ชัดเจน
“พวกเจ้ากำลังเถียงเรื่องอันใดกัน?”
ขณะที่จ้าวปิงกำลังเศร้าเสียใจอยู่นั้นเอง สุ้มเสียงสุดน่าเกรงขามพลันดังขึ้น
ทันทีที่จงเต๋าได้ยินจึงรีบทำความเคารพทันทีและกล่าวว่า
“ท่านแม่ทัพใหญ่หวัง เรื่องนี้ไม่มีอันใดมาก ผู้ใต้บัญชาคนนี้ประมาทหลงเชื่อข่าวเท็จของพวกปีศาจ!”
จ้าวปิงที่กำลังจะเอ่ยปากกล่าว กลับถูกจงเต๋ารายงานขึ้นแทรกในทันที เห็นได้ชัดว่าเขามองเรื่องนี้เป็นเรื่องตลก
แม่ทัพใหญ่หวังพยักหน้าและกล่าวว่า
“อืม หน่วยลาดตระเวนของพวกเจ้าทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ระยะนี้พวกมันทำตัวแปลกไป หลังกลับมาครบทุกคนแล้ว เตรียมตัวสกัดกั้นตั้งขบวนรับมือทางตอนใต้ไว้ให้ดี”
เมื่อแม่ทัพใหญ่กล่าวจบ เขาก็หันหลังกลับทันที
จ้าวปิงกัดฟันแน่น ตะโกนออกไปว่า
“ท่านแม่ทัพใหญ่! ผู้ใต้บัญชามีเรื่องด่วนต้องรายงาน!”
“หุบปาก! เจ้ากล้าอวดดีต่อหน้าท่านแม่ทัพใหญ่ได้อย่างไร?!”
จงเต๋าไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ชายคนนี้จะกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของตนจริงๆ จึงยกบาทีบยอดอกกระเด็นออกไป
แล้วจ้าวปิงหรือจะเป็นคู่มือของจงเต๋า? เขาถูกเตะกระเด็นออกไปโดยตรงจนกระอักพ่นเลือดสดคำโต
แม่ทัพใหญ่หวังขมวดคิ้วขึ้นทันทีและกล่าวว่า
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ขณะที่จงเต๋ากำลังจะกล่าวรายงาน ทว่าเป็นจ้าวปิงที่ข่มกั้นอาการบาดเจ็บและตกโกนออกไปว่า
“เผ่าปีศาจ…พวกมันคิดหาวิธีเดินทางผ่านธารน้ำของทางหุบเขาอัญเชิญปีศาจมาได้แล้ว! พวกมันกำลังวางแผนรวบรวมกำลังศึกเพื่อดังซุ่มโจมตีเมืองเราทางทิศเหนือ!”
สีหน้าการแสดงออกของจงเต๋าเปลี่ยนไปอย่างมาก พร้อมกล่าวว่า
“ท่านแม่ทัพใหญ่อย่าไปฟังพูดมัน! เรื่องนี้ยังมีหลักฐานไม่แน่ชัด!”
สีหน้าแม่ทัพใหญ่หวังแลดูเคร่งขรึมขึ้นมา เขากล่าวเสียงเย็นเอ่ยว่า
“สถานการณ์เป็นอย่างไร ให้เขากล่าวมา!”
…
พวกเย่หยวนใช้ทางอ้อมออกไป ในที่สุดก็ลอยตัวขึ้นบนหน้าผาอย่างแช่มช้า
ระหว่างนี้เองเหลียงเฟิงรู้สึกราวกับฝันไป
เซียนอาณาจักรพระเจ้าบนมหาพิภพถงเทียนไม่มีใครสามารถบินเลย และไม่เคยสัมผัสความรู้สึกนี้ ดังนั้นการที่ร่างของเขาลอยตัวอยู่บนอากาศได้จึงเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า สักวันหนึ่งเขาจะสามารถบินได้จริงๆ
“น้องชาย ข้าต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ ในครั้งนี้ลากข้าออกจากวงล้อมแห่งความตายมาได้ ข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้า!”
เหลียงเฟิงกล่าว
“หุหุ หัวหน้าเหลียงสุภาพเกินไป ท่านปกป้องผู้คนในเมืองกระแสพิรุธมาไม่รู้เท่าใด ทุกคนต่างเป็นหนี้ชีวิตท่าน ที่คนอื่นมีชีวิตอย่างสงบสุขได้ล้วนเป็นเพราะตัวท่านจริงๆ”
เย่หยวนยิ้มกล่าว
เหลียงเฟิงยิ้มกว้างเมื่อได้ฟังเย่หยวนกล่าวเช่นนั้น
ภายใต้แรงกดดันของเผ่าปีศาจ ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต่อกรกับพวกมัน
หากไม่สู้ก็ตาย!
“น้องชาย เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรต่อดี?”
เหลียงเฟิงในยามนี้กลับพึ่งพาเย่หยวนไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
เย่หยวนมีทั้งไหวพริบและความแข็งแกร่ง หากมีเขาอยู่ใกล้ตัว เหลียงเฟิงย่อมีรู้สึกปลอดภัยกว่ามาก
รอยยิ้มคลี่กว้างออกมาคล้ายมีนัยยะ เย่หยวนกล่าวว่า
“ทางกลับของพวกเราถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง เช่นนั้นทำไม…เราถึงไม่วางแผนแทงข้างหลังมันล่ะ?”
…………………………………