Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1474
มวลแสงโลหิตสาดกะพริบอันตรธานหายไปในป่าทึบ กลุ่มไอหมอกสีดำทมิฬค่อยๆรวมตัวขึ้นมาอีกครั้งเป็นร่างมนุษย์
“โชคยังดีนักที่ข้าไหวตัวทัน มิเช่นนั้นชะตาชีวิตนี้คงขาดสะบั้นสังเวยให้เมืองกระแสพิรุณไปแล้ว! อย่างไรก็ตาม…อาการบาดเจ็บของข้ารุนแรงเกินไป จำต้องพักฟื้นเป็นเวลาหลายสิบปี เคล็ดวิชาลับวิญญาณปีศาจ ผนึกรวม!”
ไอหมอกโลหิตเริ่มกลั่นรวมกันในร่างมนุษย์ นั้นยังใช่ใครอื่นได้อีกนอกเสียจากซิ่วเหล่ย
แต่ปัจจุบันซิ่วเหล่ยอ่อนแออย่างหาที่เปรียบไม่ ยามนี้ถือครองพลังน้อยกว่าหนึ่งในสิบจากทั้งหมด
ซิ่วเหล่ยถอนหายใจเฮือกหนึ่ง พึมพำเอ่ยขึ้นว่า
“ศึกสมรภูมิครั้งนี้ไร้ซึ่งเหตุผลเกินไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศัตรูที่แท้จริงมันเป็นผู้ใดกัน! อนาคต…ข้าคงเป็นเพียงวิญญาณที่แสนเดียวดาย!”
มิเพียงต้องทนทุกข์ทรมานจากความพ่ายแพ้ในครั้งนี้เท่านั้น แม้ว่าซิ่วเหลายจะหนีรอดกลับไปได้ แต่ก็ยากนักที่จะรอดพ้นจากความตายเช่นกัน
หลังจากวันนี้เขาจำต้องปลีกวิเวกหนีทัพ กลายมาเป็นวิญญาณเร่ร่อนอันเดียวดาย ที่ค่อยๆเก็บตัวฟื้นฟูความแข็งแกร่งอย่างแช่มช้า
“ใครอยู่ตรงนั้น?!”
ทันใดนั้นเองพลันตรวจจับคลื่นความปั่นป่วนได้ภายในป่าทึบลึกลงไป ทันให้ซิ่วเหล่ยสดุ้งโหย่งในทันที
อีกร่างหนึ่งย่างสามขุมตรงออกมาอย่างสบายอารมณ์ รูม่านตาของซิ่วเหล่ยหดเล็กตีบตันหนัด ปรากฏว่าเป็นมนุษย์จริงๆ!
สีหน้าการแสดงออกของมันพลันแปรเปลี่ยนดูเย็นชาขึ้นทันควัน เมื่อเห็นว่ามนุษย์คนนั้นเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า คลื่นปั่นป่วนภายในใจพลันสงบลงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามแต่ คู่สายตาของมันพลันจับจ้องเดือดดุในทันใด
มนุษย์คนนี้คือแหล่งอาหารเลือดชั้นเยี่ยมของมัน และช่วยให้มันฟื้นคืนพลังความแข็งแกร่งได้เร็วขึ้น!
“หึหึ เจ้าหนูมาถูกเวลาแล้ว!”
ร่างของซิ่วเหล่ยปราดพุ่งเข้าคลี่กรงเล็บหวังคว้าร่างอีกฝ่ายในบัดดล
วูบบ!
เสียงฉีกห้วงอากาศดังสะท้าน รูม่านตาของซิ่วเหล่ยหดแคบเท่ารูเข็ม ยามนี้เร่งปรี่ถอยแทบไม่ทันการณ์
บูมมม!
ด้วยความตกใจสุดขีด ซิ่วเหล่ยซัดฝ่ามือแลกปะทะกับคมดาบเบื้องหน้าออกไปโดยตรง
คู่สายตาของมันสาดสะท้อนความหวาดกลัวอย่างชัดเจน มนุษย์คนนี้น่าสะพรึงขวัญเกินไป มันเอ่ยเสียงขรึมทันทีว่า
“เจ้าเป็นใคร?!”
เย่หยวนคลี่ยิ้มบางพลางกล่าวตอบไปว่า
“เจ้าอยากรู้มิใช่รึ ว่าศัตรูที่แท้จริงของเจ้าเป็นใคร?”
ลูกตาดำของมันหดเล็กถึงขีดสุด จับจ้องมองร่างเย่หยวนด้วยความเหลือเชื่อ ก่อนกล่าวเสียงทุ้มต่ำดังว่า
“เป็นเจ้า? เป็น…เป็นไปไม่ได้! เด็กน้อยอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าอย่างเจ้า จะทำให้ทัพข้าพ่ายลงได้อย่างไร?! ไม่ เดี๋ยวก่อน…เจ้าคือไอ้เด็กนั้นที่โดดลงเหว! เจ้า…เจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?!”
ซิ่วเหล่ยช้อนสายตามองไปที่เย่หยวนด้วยความตกตะลึง นอกจากนี้เขายังรู้สึกว่า เย่หยวนคนนี้ค่อนข้างคุ้นหน้านัก ก่อนพินิจวิเคราะห์ครู่หนึ่งจำได้ว่า เป็นหนึ่งในสองคนที่กระโดดลงเหวนั้นไปมิใช่หรือ?
ทั้งๆที่กระโดดลงเหวไปต่อหน้าต่อตา แต่ไฉนตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่!
ยิ่งไปกว่านั้น เด็กน้อยอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้ายังบอกด้วยว่า เขาคือศัตรูที่แท้จริงของศึกสมรภูมิในครั้งนี้!
นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?
ซิ่วเหล่ยรู้สึกปวดเศียรอย่างหนัก คล้ายว่าเกินรับได้แล้ว นี่มันพ่ายให้แก่เด็กน้อยอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าจริงๆอย่างนั้นรึ?
เย่หยวนจับจ้องไปยังอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยถามเสียงเย็นว่า
“จะเชื่อหรือไม่กลับมิใช่เรื่องของเจ้า ตอนนี้ข้าถามส่วนเจ้าก็ตอบมา เจ้า…รู้จักข่านนั่วหรือไม่?”
ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ้งขั้นมีน้อยจนสามารถนับได้ในเมือง
แม้จะอยู่ในเมืองจักรพรรดิ แต่ยอดเซียนระดับชั้นนี้ย่อมมีชื่อเสียงอยู่บ้างเช่นกัน
ดังนั้นเย่หยวนจึงเอ่ยถามไปตามตรง
คู่สายตาของซิ่วเหล่ยแลดูจริงจังขึ้นทันที เขาเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้า…เจ้ารู้จักท่านข่านนั่วด้วยงั้นรึ? เขา…เขาหายตัวไปกว่าล้านปีแล้ว! ไม่สิ…เจ้ารู้จักนามของเขาได้อย่างไร?”
นัยน์ตาเย่หยวนสว่างวาบ เขายิ้มกล่าวว่า
“เจ้ารู้จักมันจริงๆ! หุหุ เช่นนั้นก็ดีแล้ว!”
เมื่อเห็นสายตาแปลกๆที่เย่หยวนจับจ้องมาทางมัน ซิ่วเหล่ยพลันตื่นกลัวขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
“เจ้า…เจ้าต้องการอะไร?”
ซิ่วเหล่ยร่นถอยออกไปหลายก้าวติดต่อกันโดยมิตั้งใจ พลางเอ่ยวาจาเจือเสียงตระหนก
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า
“อะไรงั้นรึ? ขอยืมแกนวิญญาณปีศาจของเจ้ามาใช้ยังไงล่ะ!”
ซิ่วเหล่ยหรี่ตาหดแคบลงทันที มันโพล่งคำรามขึ้นอย่างเดือดดุว่า
“ฝันไปเถอะ!”
ทันทีท่าสิ้นเสียง ซิ่วเหล่ยก็แปรสภาพกลายเป็นไอหมอกโลหิตพยายามหนีออกไปทันที
ทว่าเย่หยวนกลับเร็วกว่ามันมาก!
หนึ่งกระบวนสยบดาราถูกปลดปล่อย คลื่นคมดาบเข้าชนกับไอหมอกโลหิตนั้นอย่างจัง
ร่างเย่หยวนไสววูบติดตามมาถึงตัว พร้อมใช้มือเข้าไปคว้าแกนลูกไฟออกมาโดยตรง นั่นเป็นวิญญาณปีศาจของซิ่วเหล่ย
คล้อยหลังสิบอึดใจต่อมา แกนลูกไฟแห่งวิญญาณปีศาจก็ค่อยๆดับสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นตายคาเงื้อมมือของเย่หยวน
เย่หยวนค่อยๆลืมตาทั้งสองข้างขึ้น ฉายแววผิดหวังออกมา
ข่านนั่วเป็นทหารปีศาจขในยุคหนึ่งล้านปีก่อน ในขณะที่ซิ่วเหล่ยตนนี้เป็นเพียงทหารรุ่นน้องเท่านั้น
มันทราบเพียงว่าข่านนั่วได้รับคำสั่งมาจากท่านเจ้าเมืองหลวงคาโพน ให้เสาะหาพิกัดของพิภพยุทธ์จักรแห่งหนึ่ง ก่อนที่ในท้ายที่สุดมันจะหายตัวไป
และการหายตัวไปครั้งนี้ยังเป็นเวลากว่าล้านปี
เย่หยวนเก็บงำความคิดที่จะสืบเสาะเรื่องของข่านนั่วดู นั้นจึงเป็นเหตุผลที่เขาตรงเข้ามาขวางซิ่วเหล่ย แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะได้ปลิดชีพอีกฝ่ายได้ง่ายดายจริงๆ
ความเร็วของซิ่วเหล่ยกล่าวได้ว่าเร็ว แต่นั่นก็สำหรับอู๋เทียนเซียงและคนอื่นๆ
หลังจากที่เย่หยวนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นกลางแล้ว ความเร็วของดาบขี่ของเขาก็ยื่งเหนือชั้นมากกว่าเดิมเป็นหลากทวี ยิ่งเป็ยซิ่วเหล่ยที่บาดเจ็บหนัก มันหนีไม่พ้นเย่หยวนแน่นอน
ตึง!
ทั้งเหรียญตราและป้ายประจำตัวที่ติดประดับบนร่างกายของซิ่วเหล่ยร่วงกราวลงมา เช่นเดียวกับแหวนเก็บของและสิ่งจิปาถะอื่นๆ
เย่หยวนกวักมือระดมเรียกสิ่งเหล่านั้นไว้กับตัว
แต่ในขณะนั้นเอง เขามิได้ตรวจสอบสิ่งของนี้อยู่เฉยๆ แต่พลันเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นว่า
“ท่านอาวุโส ผู้เยาว์แลเห็นว่าเฝ้ามองอยู่แล้ว ไฉนไม่เปิดเผยตัวเองให้ประจักษ์เสีย?”
ร่างหนึ่งก้าวตรงออกมาอย่างแช่มช้า คู่ดวงตาสาดสะท้อนความประหลาดใจ ขณะเอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“ดูเหมือนเราผู้นี้จะประเมินเจ้าต่ำเกินไป มันไม่ยุติธรรมเท่าไหร่นักที่ซิ่วเหล่ยพ่ายลงภายใต้เงื้อมมือของเจ้า!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ท่านอาวุโสมีส่วนช่วยอย่างมาก ทั้งยังต้องประจำการดูแลเมืองกระแสพิรุณ ออกมาหาผู้เชาว์เช่นนี้เป็นการส่วนตัวเกรงว่าจะมิใช่เรื่องลำบากเกินไป?”
ชายคนนี้หาใช่ผู้ใดอื่นนอกเหนือจากยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าที่อยู่ประจำเมืองกระแสพิรุณ เจิ่นเหยียน!
แต่เย่หยวนก็ทราบดีว่า เจิ่นเหยียนที่อยู่เบื้องหน้าเป็นเพียงร่างปลอมเท่านั้น
ตัวจริงของเขาไม่กล้าออกห่างจากเมืองกระแสพิรุญได้เลยสักชั่วอึดใจเดียว
มิเช่นนั้นเย่หยวนจะกล้าพูดจาลวกๆเช่นนี้ได้อย่างไร?
หากเจิ่นเหยียนผู้นี้มีเจตนาร้ายอันใดต่อตัวเขา เย่หยวนกลับไม่สามารถทนรับผลที่ตามมาได้เช่นกัน
ในความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่ที่หวูเฉินเข้ามาใกล้เมืองกระแสพิรุณ เขาก็จับการมีอยู่ของเจิ่นเหยียนได้แล้ว
ร่องรอยความประหลาดใจเผยปรากฏออกมาในแววตาคู่นั้นของเจิ้นเหยียน ขณะเอ่ยกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า
“ดูเหมือนว่าเจ้าหนูคนนี้จะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งนัก! ข้าสงสัยเสียจริงว่าเด็กหนุ่มอย่างเจ้าปรากฏตัวขึ้นมาในเผ่ามนุษย์ได้อย่างไรกัน! ช่างเป็นเด็กที่น่ากลัวนัก!”
เย่หยวนยิ้มกล่าวว่า
“ท่านอาวุโสใจดีเกินไปแล้ว!”
เจิ้นเหยียนโบกมือปัดกล่าวว่า
“เจ้าไม่จำต้องสุภาพกับข้าจนเกินไปนัก ศึกสมรภูมิครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ข้าขอเป็นตัวแทนของเมืองจักรพรรดิธารนิรันร์ และขอขอบใจเจ้าจากใจจริง!”
ขณะที่กล่าว เจิ้นเหยียนก็ยกมือขึ้นประสานให้เย่หยวน นี่ถือเป็นการให้ความเคารพต่อเย่หยวนเป็นอย่างสูง
แม้นี่จะเป็นเพียงร่างปลอม แต่ถึงอย่างไรเจิ้นเหยียนก็ยังเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าตัวจริงเสียงจริงผู้หนึ่ง
การจะให้อีกฝ่ายทำเช่นนี้กลับหาใช่เรื่องง่ายเลย
เย่หยวนกล่าวตอบไปว่า
“ท่านอาวุโสสุภาพเกินไปแล้ว ข้าในฐานะสมาชิกของเผ่ามนุษย์ ย่อมต้องช่วยเหลือมิตรสหายเผ่าพันธุ์มนุษย์เช่นเดียวกัน”
เจิ้นเหยียนพยักหน้าและกล่าวว่า
“ดูจากลักษณะเจ้าแล้ว คงต้องการเดินทางไปยังดินแดนของพวกปีศาจกระมัง?”
เย่หยวนหาได้มีเจตนาปกปิดเช่นกัน จึงพยักหน้ากล่าวตอบไปตามตรงว่า
“ผู้เยาว์มีเรื่องส่วนตัวจำต้องสะสาง การเดินทางครั้งนี้มิอาจหลีกเลี่ยงได้”
เจิ้นเหยียนกล่าวว่า
“เจ้าทราบหรือไม่ว่า มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในระดับต่ำที่สุดของดินแดนแห่งนี้ แม้แต่เราคนนี้ยังไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไปยังดินแดนปีศาจ เช่นนั้นเจ้า…”
วาจาคำกล่าวของเจิ้งเหยียนกลับพูดไม่จบ แต่ความหมายก็ค่อนข้างชัดแจ้งดีแล้ว
พลังความแกร่งกล้าของเจ้ายังอ่อนแอเกินไป เจ้าไม่ควรเดินทางไปยังดินแดนของเผ่าปีศาจ!
แต่เย่หยวนกลับยิ้มกล่าวตอบไปว่า
“ผู้เยาว์ทราบดี ดังนั้นจึงมีวิธีป้องกันตนเองให้พ้นภัย จึงไม่น่าเป็นปัญหา”
เจิ้นเหยียนจับจ้องเย่หยวนแลดูจริงจังขึ้นถนัดตา ก่อนกล่าวว่า
“เช่นนั้นข้าจะไม่รั้งเจ้าอีกต่อไป การเดินทางต่อจากนี้ขอให้เจ้าระมัดระวังตัวให้มากขึ้น!”
เย่หยวนพยักหน้าตอบและเดินจากไป
เหนือเหวสนามแม่เหล็ก เย่หยวนกำลังก้าวย่างออกไปอย่างแช่มช้าไม่ยากเย็น ทันใดนั้นได้ยินเสียงดังลั่นสั่นสะท้านมาจากทิศทางของเมืองกระแสพิรุณ
“พวกเราเมืองกระแสพิรุณ ขอขอบคุณท่านวีรบุรุษเย่ที่ให้การช่วยเหลือชีวิต!”
“พวกเราเมืองกระแสพิรุณ ขอขอบคุณท่านวีรบุรุษเย่ที่ให้การช่วยเหลือชีวิต!”
“พวกเราเมืองกระแสพิรุณ ขอขอบคุณท่านวีรบุรุษเย่ที่ให้การช่วยเหลือชีวิต!”
…………………………………