Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1499
“ฮ่าๆ ความแกร่งกล้าเพียงเศษเสี้ยว มันยังกล้าท้าทายท่านไคซิน! สงสัยคงเหนื่อยกับชีวิตแล้วกระมัง!”
“ช่างโง่เขลานัก! ตอนนี้มันคงรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของราชันแห่งลานประลองเลือดแล้ว?”
“หุหุ มันตายรึยัง? หากยังไม่ตายก็รีบลุกขึ้นก่อนจะถูกท่านไคซินปิดฉาก!”
…
คลื่นคลั่งส่งเสียงดังสนั่นบนอัฒจันทร์ปะทุกึกก้อง
ไม่มีใครเห็นใจเย่หยวนแม้แต่คนเดียว
บนสังเวียนเดือดแห่งนี้มีเพียงผู้ชนะเท่านั้นที่จะได้รับเสียงปรบมือและชื่นชม
คนแพ้กลับไม่มีผู้ใดเห็นใจ!
ในมุมมองของพวกเขา เย่หยวนที่ท้าทายไคซินผู้ยิ่งใหญ่ นับว่าประเมินความสามารถตัวเองสูงส่งเกินไป
อินทรีโลหิตลอบถอนหายใจโล่งอก ตอนนี้เขาลุ้นระทึกจนฝ่ามือของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เพราะเมื่อครู่เย่หยวนเกือบตายไปแล้ว
โชคยังดีที่เย่หยวนดึงตัวออกมาได้ทันอย่างหวุดหวิด
“เด็กคนนี้มีแนวคิดความเข้าใจที่น่าทึ่ง! แต่ไม่นานเขาคงจะพ่ายแพ้ในที่สุด”
อินทรีโลหิตเองกล่าวขึ้น
คุนหมิงกล่าวว่า
“การทำลายกระบวนจับตายเพลงหมัดนั้น ทำให้เด็กนั้นพลอยได้รับบาดเจ็บไปด้วย แต่ยังดีที่เขาตัดสินใจเด็ดขาด ฝืนฉีกตัวเองออกมา ทว่าสุดท้ายนี้ข้าก็ยังมองไม่เห็นโอกาสชนะของเขาอยู่ดี!”
ในตอนนี้คุนหมิงสามารถยืนยันได้แล้วว่า ผงโอสถนั้นไม่มีผลต่อความแข็งแกร่งของไคซิน แล้วมันทำบ้าอะไรได้กันแน่?
เย่หยวนกัดสมองตัวเองเล่นกระมัง? หรือเป็นไปไหมว่า เขาพยายามไปอย่างไรจุดหมาย?
“เจ้ายังจะลุกข้นอีกงั้นรึ? ไฉนเจ้ายังไม่ใช้มัน? ข้าขอดูหน่อยเสียว่าเจ้าจะเร็วได้เพียงใด?”
ไคซินเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมท่าทีพึงพอใจ
เย่หยวนแอบโคจรพลังฟื้นฟูอาการบาดเจ็บด้วยวรยุทธมังกรทรราชจุติ แสงประกายเย็นฉายวาบออกมาจากนัยน์ตาคู่นั้น พลางเอ่ยกล่าวอย่างเย็นชาว่า
“ตามสนอง!”
ทันใดนั้นร่างของเย่หยวนก็อันตรธานหายวับไป
บรรดาผู้คนที่อยู่ภายใต้ระดับชั้นจอมทัพปีศาจลงมา ไม่มีใครมองเห็นเย่หยวนแม้แต่เงา
ราวกับว่าเย่หยวนหายวับไปกลางอากาศ!
“เขาอยู่ไหน? ไฉนหายไปแล้ว?”
“เร็วจนเรามองไม่เห็นเลยงั้นรึ? นี่มัน…ไม่เร็วเกินไปหน่อยใช่ไหม?!”
“แม่ทัพปีศาจชั้นปลายสามารถเร่งความเร็วได้สูงปานนี้? ไม่น่าแปลกใจที่ไฉนเขาถึงหาญกล้าท้าทายท่านไคซิน! ปรากฏว่าเขามีความสามารถจริงๆ!”
“หึ! ไร้ประโยชน์! ราชันแห่งลานประลองเลือดคือไร้พ่าย! เด็กคนนั้นเพียงพยายามหนีจากความตาย!”
…
เมื่อไคซินเห็นภาพฉากดังนั้น สีหน้าการแสดงออกของเขาก็ดูจริงจังขึ้นทันตา!
เร็วกว่าก่อนหน้า!
เมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่เผชิญหน้ากับสุริยันดาราในครั้งนั้น ความเร็วของดับเงาสยบมารยังช้ากว่าเย่หยวนในตอนนี้!
คราวก่อนหน้า เขายังสามารถมองเห็นเย่หยวนได้อย่างชัดเจน แต่ครั้งนี้กลับกลายเป็นเงาสายหนึ่งที่แสนจะพร่ามัวแทน
เพียงหนึ่งปี มันจะสามารถพัฒนาขนาดนี้ได้อย่างไร?
ไม่เพียงฝ่าทะลวงขึ้นอาณาจักรพลังย่อยขึ้นมาได้ แต่พลังฝีมือยังเพิ่มขึ้นมากอีกด้วย!
อัฒจันทร์ภายในลานประลองเลือดแบ่งออกเป็นสามระดับ
อย่างไรก็ตตาม อัฒจันทร์ระดับสามกลับไม่เคยเปิดให้คนทั่วไปเข้านั่งชมได้
ภายในส่วนนี้จะเป็นโถงลับที่คนภายนอกไม่สามารถมองผ่านเข้ามาได้เลย
ซึ่งข้างในโถงแห่งนี้มีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังจับจ้องร่างทั้งสองบนลานประลองอยู่
หากเย่หยวนอยู่ที่นี่ เขาจะทราบได้ทันทีว่าหญิงที่นั่งอยู่คือ อวี้หานแห่งโถงร้อยปัญญา!
เมื่ออวี้หานเห็นเย่หยวนปลดปล่อยดับเงาสยบมารพร้อมเร่งความเร็วถึงขีดสุด ร่องรอยเงาสะท้อนสายตาพลันเผยถึงความประหลาดใจ นางกล่าวขึ้นกับชายอีกคนที่อยู่ข้างๆว่า
“ช่างมีพรสวรรค์นี่น่ากลัวอะไรเยี่ยงนี้ เขาสามารถดึงแนวคิดแห่งมิติขึ้นมาได้ผ่านเต๋าแห่งดาบ!”
สีหน้าการแสดงออกของชายคนนั้นดูตกใจมากเช่นกัน เขากล่าวตอบว่า
“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าเลือกเด็กที่มีพรสวรรค์ขนาดนี้มา! เขาช่างน่าอัศจรรย์นัก! การจะอนุมานสร้างภาพซ้อนขึ้นได้ขนาดนี้ จำต้องอาศัยเต๋าแห่งดาบเพื่อบรรลุสู่จุดสมบูรณ์ ขุมพลังที่เขามีมิได้แข็งแกร่งนัก แต่เมื่อนำออกมาใช้จริงกลับรีดนำพลังออกมาได้โดยสมบูรณ์!”
ยามที่ผู้คนฝึกปรือแนวคิดความเข้าใจ พวกเขาเหล่านั้นเพียงเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างแนวคิดเหล่านั้นให้แข็งแกร่ง แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถนำแนวคิดเหล่านั้นออกมาใช้ประโยชน์จริงได้ให้มีประสิทธิภาพ
ซึ่งวิธีประยุกต์ใช้ก็แบ่งออกไปตามขอบเขตอาณาจักรพลัง
เชื่อมแตะถึงประตู บรรลุวความเชี่ยวชาญผ่านการศึกษาและจิตวิญญาณที่ผสานเป็นหนึ่ง หลอมรวมกันเป็นความสมบูรณ์แบบ
เย่หยวนสามารถเอาชนะผู้แข็งแกร่งในฐานะผู้อ่อนแอกว่าได้เสมอ เพราะความสามารถของเขาอยู่เหนือไปกว่าขอบเขตอาณาจักรพลังที่ควรจะเป็น
สำหรับคนอื่นๆโดยส่วนใหญ่ พวกเขาฝึกปรือแนวคิดความเข้าใจอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า และไม่รู้จักวิธีประยุกต์ใช้ที่ถูกต้อง ดังนั้นพัฒนาการของพวกเขาจึงหยุดลงอยู่แค่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า
มีส่วนน้อยนักที่เรียนรู้อนวคิดจากการต่อสู้ จนพวกเขาสามารถเอื้อมแตะไปถึงขอบเขตดังกล่าวได้
สำหรับผู้ที่บรรลุได้ถึงขั้นสมบูรณ์มันหายากพอๆกับขนวิหคเพลิงอมตะหรือไม่ก็เขาของกิเลน
ในอีกแง่หนึ่งสิ่งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถเฉพาะบุคคล หรือในทางตรงข้ามก็คิดอยู่กับประสบการณ์บนสมรภูมิจริงๆที่มีความเป็นความตายที่ที่ตั้ง
แน่นอนว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ใช้สิ่งนี้ไปควบคู่กับวรยุทธต่อสู้ แต่สิ่งนี้จำเป็นต้องใช้เวลาจำนวนมหาศาลเพื่อฝึกปรือ จึงกล่าวได้ว่าสูญเสียมากกว่ากำไร
เมื่อเย่หยวนฝึกปรืออยู่ในสุสานดาบ อาจกล่าวได้ว่า เขาพยายามเรียนรู้เต๋าแห่งดาบด้วยวิธีการทรมานตัวเอง นี่หาใช่เพราะเขาเป็นพวกนิยมเสพความเจ็บปวด แต่เพราะสิ่งนี้จึงทำให้เขาได้สัมผัสถึงแกนแท้ของดาบแต่ละเล่ม และนั้นจึงสัมผัสได้ถึงแนวคิดที่ฝังลึกลงไปในดาบเล่มนั้นๆ!
ดังนั้นเขาจึงสามารถสื่อจิตควบคุมดาบทั้งหมดภายในนั้นได้!
ศาสตร์แห่งดาบของเย่หยวนกำลังก้าวหน้าไปอย่างช้าๆ ไม่ใช่ว่าเย่หยวนไม่มีความสามารถ แต่เป็นเพราะเขาต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการประยุกต์นำมาใช้
ซึ่ง ณ ปัจจุบัน เย่หยวนก็มีห้วงมิติบ่มเพาะพลังแห่งคาวมตาย มาแทนที่สุสานดาบ
ที่แห่งนี้มันจะช่วยให้เราเห็นข้อบกพร่องของตัวเองและสิ่งที่ขาดตกไปอย่างชัดเจน เพราะสิ่งที่กำลังต่อสู้กับเราคือตัวเราเอง
สำหรับคนที่สามารถฆ่าตัวเองในมิติบ่มเพาะแห่งความตายครั้งแล้วครั้งเล่า นี่หาใช่ความบังเอิญ
หลังจากที่เย่หยวนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นปลาย เขาก็เข้าขัดเกลาฝีมือภายในห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตายอีกหลายครั้ง จนในที่สุดเขาก็สามารถนำแนวคิดที่เข้าใจมาประยุกต์ใช้กับกระบวนท่าได้อย่างสมบูรณ์แบบ
และครั้งสุดท้ายที่เย่หยวนอยู่ในห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตาย เขาก็ปลุกกระตุ้นให้ดับเงาสยบมารมาถึงขีดจำกัดได้ สิ่งนี้ช่วยเพิ่มทวีความเร็วของเขาได้ อันเนื่องมาจากเขาสามารถนำความเข้าใจต่อห้วงมิติมาประยุกต์ใช้ได้อย่างสมบูรณ์!
คล้อยหลังที่แนวคิดแห่งห้วงมิติผสานรวมกับวรยุทธต่อสู้จนเป็นหนึ่ง จึงทำให้ดับเงาสยบมารของเย่หยวนรวดเร็วจนสามารถสร้างภาพซ้อนและเคลื่อนไหวเป็นธรรมชาติได้มากขึ้น
…
สีหน้าการแสดงออกของไคซินเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาค้นพบว่าแท้ที่จริงแล้ว ตนกลับไม่สามารถไล่ตามความเร็วของเย่หยวนได้ทันอีกต่อไป!
เขาเพียงเอ่ยกล่าวเพื่อยั่วยุให้เย่หยวนสำแดงใช้ดับเงาสยบทมารออกมา แต่กลับคาดไม่ถึงเลยว่า สิ่งที่เขาได้เห็นในปัจจุบัน คือดับเงาสยบมารในฉบับที่วิวัฒนาการไปอีกขั้นแล้ว!
“เทวรูปเทพอสูรเทวะ จงเข้าปกป้องตัวข้า!”
ทันทีทันใดนั้นเอง เทวรูปขนาดมหึมาเสมือนจริงพลันปรากฏขึ้นอยู่ด้านหลัง!
เทวรูปร่างนี้นอนหมอบอยู่บนพื้นพร้อมร่างของมันที่ปกคลุมปกป้องไคซินอย่างแน่นหนา
จากนั้นทั่วทั้งบริเวณโดยรอบพลันระเบิดขึ้นในทันใด
บูม! บูม! บูม!
ทุกคนโดยรอบเห็นเพียงร่างของเย่หยวนที่ทับซ้อนไสวถูกเทวรูปร่างมหึมาตบทับก่อเกิดแรงระเบิดนับครั้งไม่ถ้วนในชั่วอึดใจ!
บูมมมม!
หลังจากแรงระเบิดครั้งใหญ่ปะทุเดือด เทวรูปขนาดมหึมาก็อันตรธานหายไป พร้อมกับร่างของไคซินที่ถูกซัดกระเด็นออกไป
ในขณะที่ในที่สุดร่างของเย่หยวนก็เผยตัวขึ้นมาอีกครั้งในสภาพที่มอมแมมทั้งตัว
แม้เขาจะสามารถประยุกต์ใช้แนวคิดได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่พลังที่นำใช้ออกไปของดับเงาสยบมารมีปริมาณมหาศาลเกินไป ทำให้พลังปราณเทวะของเย่หยวนถูกบริโภคไปมิใช่น้อย
บนอัฒจันทร์ยามนี้พลันเงียบสนิท
ทุกคนต่างตกตะลึงยิ่งกับภาพฉากนี้!
ราชันแห่งลานประลองเลือดของพวกเขาถูกใครบางคนซัดกระเด็นออกไปได้?
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ซัดเขากระเด็นออกไปได้ยังเป็นเพียงแม่ทัพปีศาจชั้นปลายเท่านั้น!
ในเมืองหลวงคาโปนแห่งนี้ ไม่มีใครเคยคิดฝันมาก่อนเลยว่า จะมีใครสู้ข้ามระดับและสามารถเอาชนะไคซินได้!
ทว่าเย่หยวนกลับทำไปแล้ว!
…………………………………