Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1739
กลุ่มนักล่าค่อยๆ ซ่อนตัวเดินเข้ามาภายในถ้ำก่อนที่จะได้ยินเสียงดังสนั่นหลายต่อหลายครั้งดังมาเข้าหู
เย่หยวนขมวดคิ้วแน่น “ไม่ดีแล้ว คลื่นพลังเช่นนี้…วานรอสูรตาม่วงกำลังคลั่ง!”
นั่นทำให้ทุกผู้คนหน้าซีดเผือดทันที คลื่นพลังที่แสนรุนแรงนี้มันทำให้หัวใจของพวกเขาแทบหยุดเต้น
ด้วนเผิงนั้นมีหน้าซีดราวกับไก่ต้ม “หากวานรอสูรตาม่วงคลั่งไปแล้ว มันก็อาจจะขึ้นไปถึงระดับราชันพระเจ้าเจ็ดดาวได้เลย! นี่มัน…เราจะทำอย่างไรดี?”
คำพูดนี้มันทำให้ทุกผู้คนต้องคิดหนัก ก่อนที่ทุกคนต้องหยุดเดินลงเพราะภาพการต่อสู้ของวานรอสูรตาม่วงกับสัตว์อสูรยักษ์ที่เห็นตรงหน้า
สัตว์อสูรตัวนี้มันมีพลังที่ล้อเหลือเช่นกัน คงอยู่ในยอดระดับสี่!
แต่ว่าเจ้าวานรอสูรตาม่วงที่กำลังคลั่งนั้นกลับแข็งแกร่งกว่าขั้นหนึ่ง!
หมัดคู่นั้นรัวออกมาราวปืนใหญ่ ต่อยเจ้าสัตว์อสูรตัวยักษ์นั้นจนไม่มีปัญญาจะตอบโต้ใดๆ กลับมาได้
เย่หยวนนั้นมีสายตาที่เฉียบคม แค่เมื่อปราดเดียวเขาก็เห็นว่าผลภูติดินปีกเงินในถ้ำนั้นสุกเต็มที่แล้ว!
ดูท่าเจ้าสัตว์อสูรตัวยักษ์นี้จะถูกกลิ่นมันล่อมา
เมื่อใดก็ตามที่วานรอสูรตาม่วงจัดการเจ้าสัตว์อสูรยักษ์นี้ลงได้ มันก็คงมุ่งหน้าไปเก็บผลภูติดินปีกเงินกินทันที
“อสูรเกราะชาด! มิน่าล่ะถึงปะทะกับวานรอสูรตาม่วงที่กำลังคลั่งได้!” เย่หยวนบอก
หยูจิงสัมผัสได้ถึงพลังที่ลึกล้ำของวานรอสูรตาม่วง หน้าของนางนั้นขาวซีดไร้สีเลือด “เย่หยวน เรา…ไม่เอาแล้วไหม? เจ้าวานรอสูรตาม่วงนี้มันแข็งแกร่งเกินไป ต่อให้เป็นเจ้าก็…”
หยูจิงพูดมาได้แค่นี้ แต่ความหมายของนางนั้นแสนชัดเจน
เย่หยวนนั้นคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของวานรอสูรตาม่วง เพราะฉะนั้นอย่าออกไปเสี่ยงจะดีกว่า
ทุกคนเข้าใจดีว่าแม้เย่หยวนจะมีพลังพอสังหารราชันพระเจ้าหกดาวด้วยกระบวนท่าเดียว แต่การจะไปปะทะสัตว์อสูรระดับราชันพระเจ้าเจ็ดดาวมันก็ยังคงเกินมือไป
เพราะระหว่างราชันพระเจ้าหกดาวและราชันพระเจ้าเจ็ดดาวนั้นมันมีคอขวดที่ยิ่งใหญ่อยู่ พลังฝีมือความแข็งแกร่งของทั้งสองนั้นทิ้งห่างกันลิบลับ
หากเย่หยวนสามารถบรรลุขึ้นอาณาจักรราชันพระเจ้าสี่ดาวได้มันก็อาจจะเป็นอีกเรื่อง
แต่ตอนนี้เย่หยวนยังเป็นแค่ราชันพระเจ้าสามดาวในสายตาของพวกเขา ตัวของเย่หยวนนั้นจึงจะห่างจากเจ้าวานรอสูรตาม่วงคลั่งถึงสองชั้น
ความห่างชั้นระดับนี้มันไม่ใช่สิ่งที่จะใช้พรสวรรค์มากลบทับได้
เพราะอย่างไรเสีย แต่ละชั้นในอาณาจักรราชันพระเจ้านั้นมันก็แสนจะห่างไกลกัน ไม่ต้องไปพูดถึงสองชั้นเลย
ด้วนเผิงเปิดปากพยายามที่จะพูด แต่ก็ไม่พูดออกมา
เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้ตัวเขานั้นไม่มีสิทธิ์พูดอะไร
แต่หากจะให้ถอยตอนนี้ เขาก็ไม่ค่อยอยากยอมสักเท่าไหร่
การเดินทางไปกับเย่หยวนที่หุบร้ายวารีนั้น เขาต้องเสี่ยงชีวิตไม่น้อย
สุดท้ายแล้วหากไม่ได้อะไรเลย เขาจะยังยอมได้หรือ?
ตอนนั้นเองพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นอีกครั้ง หมัดเหล็กของวานรอสูรตาม่วงต่อยร่างอสูรเกราะชาดจนปลิวไป เจ้าอสูรเกราะชาดนั้นตายอย่างไม่ต้องสงสัย
นั่นทำให้เย่หยวนหน้าเปลี่ยนสีและพุ่งตัวออกไปราวกับสายฟ้าทันที
“ทำตามแผนที่วางกันไว้!”
พูดจบเย่หยวนก็หายไป
เมื่อเขาปรากฏออกมาอีกครั้ง เขาก็ไปยืนอยู่หน้าเจ้าวานรอสูรตาม่วงอันดุร้ายแล้ว
นั่นทำให้คนทั้งสี่หน้าถอดสีทันที ไม่คิดไม่ฝันว่าเย่หยวนจะบ้าบิ่นขนาดนี้ จะห้ามตอนนี้มันก็คงสายไปแล้ว
ด้วนเผิงเปลี่ยนสีหน้าไปมาด้วยความลังเลก่อนจะกัดฟันพูดขึ้น “น้องเย่ช่างเป็นคนที่รักษาคำมั่น การได้เจอเขาในครานี้มันเป็นโชคของด้วนเผิงคนนี้จริงๆ”
ในเทือกเขาเทพอสูรนี้ การได้เจอสหายนิสัยเช่นนี้นั้นนับได้ว่าเป็นอะไรที่ยากเสียยิ่งกว่ายาก
หยูจิงบอกออกมาด้วยท่าทางกังวล “อืม น้องเย่เป็นคนดีจริงๆ!”
อย่างที่เขาว่า เพื่อนแท้นั้นคือเพื่อนยามยาก มันเป็นจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้จะเจอศัตรูที่ทรงพลัง เย่หยวนก็กล้าที่จะก้าวออกไปอย่างไม่ลังเล ของแบบนี้เมื่อได้เห็นจะยังมีใครไม่ประทับใจได้อีก?
เย่หยวนเข้าห้วงมิติและมุ่งหน้าเข้าไปในถ้ำ เป้าหมายที่เขาพุ่งเข้าไปหานั้นคือตัวผลภูติดินปีกเงิน!
เจ้าวานรอสูรตาม่วงนั้นเพิ่งจะชนะยอดศัตรูไป มันจึงไม่คิดว่าจะมีศัตรูที่ไหนโผล่ออกมาอีก ส่งผลให้มันโกรธคลั่งออกมาอย่างถึงที่สุด
แค่สภาพคลั่งของมันตอนนี้ก็มีคลื่นพลังที่สูงล้นแล้ว
เมื่อได้เห็นเย่หยวนมันจึงยกหมัดขึ้นสูงด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
วานรอสูรตาม่วงที่กำลังคลั่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านหลังหรือด้านความเร็ว มันก็จะเพิ่มพูนอย่างเหนือล้น
แต่ให้เย่หยวนจะใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติ มันก็ยังเป็นความห่างพลังที่มากเกินไป
ในชั่วพริบตานั้นเย่หยวนจึงเลือกที่จะเข้าปะทะกับเจ้าวานรอสูรตาม่วงตรงๆ
เมื่อเขาคิดลงมือ เขาก็ลงมือด้วยสุดยอดกระบวนท่าทันที!
ดาบวิญญาณลับ
ตู้ม!
เย่หยวนรู้สึกเหมือนเครื่องในตัวเองขยับย้ายที่ไปหลายชิ้นพร้อมกระเด็นถอยหลังมาด้วยอาการกระอักเลือด
แต่ฝั่งวานรอสูรตาม่วงเองก็ไม่ได้ดีกว่ากันนัก ดาบนี้ของเย่หยวนมันรุนแรงและรวดเร็วจนเปิดแผลเหวอะขึ้นที่หน้าอกของวานรอสูรตาม่วงได้
“โฮ่ก!”
“โฮ่ก!”
เจ้าวานรอสูรตาม่วงตะโกนกู่ร้องอย่างเดือดดาล เพราะตัวมันถูกมนุษย์ระดับราชันพระเจ้าสามดาวทำร้ายเข้า
เจ้าสัตว์อสูรที่มีนิสัยร้อนแรงไม่ยอมใครง่ายๆ เป็นทุนเดิมที่กำลังคลั่งอยู่นี้ มันยิ่งคลั่งหนักไปกว่าเก่า
ไกลออกมาด้วนเผิงและพวกต่างมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้อย่างตกตะลึง
“แข็งแกร่ง! ที่แท้น้องเย่ก็แข็งแกร่งถึงขั้นนี้! ดาบเมื่อกี้นี่มันน่ากลัวเสียจริง!” ด้วนเผิงร้องออกมา
“ราชันพระเจ้าสามดาวกลับทำร้ายวานรอสูรตาม่วงในสภาวะคลั่งได้ ข้ามสองชั้น! แบบนี้…เรื่องแบบนี้มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”
หยูจิงบอก “ไม่แปลกใจเลยที่น้องเย่จะทำตัวนิ่งเงียบมาได้ตลอดทาง ที่แท้การกระทำทั้งหลายของลัวยองมันก็เป็นได้แค่เรื่องตลกในสายตาเขา!”
หากเป็นราชันพระเจ้าสามดาวทั่วๆ ไปอย่าว่าแต่วานรอสูรตาม่วงเลย แค่ถูกลมจากหมัดของมันในระยะพันเมตรพวกเขาก็คงตัวแหลกสลายกลายเป็นจุลไปแล้ว
แต่เย่หยวนกลับสามารถแลกดาบกับเจ้าวานรอสูรตาม่วงและถึงขั้นทำให้มันบาดเจ็บได้ เรื่องนี้มันทำลายสามัญสำนึกใดๆ ทิ้งจนสิ้น
จู่ๆ ด้วนเผิงก็หน้าถอดสีลงอีกครั้ง “เดี๋ยวนะ หากมันเข้าสภาวะคลั่งแล้วไม่ว่าจะเป็นพลังป้องกันหรือการฟื้นตัวก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาด! อาการบาดเจ็บแค่นี้มันไม่มีทางทำอะไรมันได้เลย!”
เป็นตอนนั้นเองที่พวกเขาหันไปเห็นว่าบาดแผลบนหน้าอกของเจ้าวานรอสูรตาม่วงค่อยๆ สมานกันอย่างน่าเหลือเชื่อ
“โฮ่ก!
“โฮ่ก!”
วานรอสูรตาม่วงเงยหน้าตะโกนลั่นฟ้าก่อนจะยกหมัดขึ้นมาทุบลงบนอกของตนและพุ่งตัวเข้ามาหาเย่หยวนราวกับลูกปืนใหญ่
เย่หยวนเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าวานรอสูรตาม่วงจะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้
เพราะดาบเมื่อสักครู่นี้นับว่าเป็นยอดการโจมตีของเขาแล้ว แต่มันกลับสร้างได้แค่แผลตื้นๆ ให้เจ้าวานรอสูรตาม่วงเท่านั้น
แต่เป้าหมายของเย่หยวนนั้นไม่ใช่การสู้ให้ชนะวานรอสูรตาม่วงแต่เป็นการล่อมันไปที่อื่น
ฉะนั้นเขาจึงใช้แรงกระแทกส่งร่างตัวเองพุ่งหนีออกไปราวสายฟ้า
“เร็ว!”
เย่หยวนนั้นตื่นตระหนกไม่น้อยเมื่อได้เห็นความเร็วของเจ้าวานรอสูรตาม่วงที่เหนือกว่าที่เขาคาดไปมาก
เย่หยวนที่ใช้แนวคิดแห่งห้วงมิตินั้นมีความเร็วที่เหนือคนธรรมดาไปมากมาย ต่อให้เป็นราชันพระเจ้าหกดาวก็ไม่มีปัญญาจะตามเขาทัน
แต่เจ้าวานรอสูรตาม่วงคลั่งนี้กลับตามเขามาได้ และยังเร็วกว่าเสียด้วยซ้ำ!
เย่หยวนไม่ได้รู้สึกถึงศัตรูที่อันตรายขนาดนี้มานานแสนนาน เขาไม่นึกไม่ฝันว่าตัวเองจะได้มารู้สึกเช่นนี้อีกครั้งกับสัตว์อสูร
หนึ่งวานร หนึ่งคนไล่กันจนหายวับไปจากสายตาของทุกผู้คน
ด้วนเผิงจึงนำพาทุกคนปรากฏกายออกมาและวิ่งเข้าไปด้านในถ้ำทันที
หยูจิงพูดขึ้นอย่างกังวล “วานรอสูรตาม่วงตัวนั้นมันเร็วเหลือเกิน น้องเย่ เขา…เขาจะไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หยูจิงนั้นกังวลเรื่องเย่หยวนมาก มากจนน้ำเสียงที่นางพูดออกมาคล้ายกับเสียงสะอื้น
ด้วนเผิงเองก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนักแต่ก็ยังกล่าวปลอบออกมา “นี่คือโอกาสที่น้องเย่เสี่ยงชีวิตมอบให้เรา หากเรื่องแค่นี้เรายังทำกันไม่ได้เราก็คงไม่มีหน้าไปพบเขาแล้วจริงๆ! น้องเย่นั้นเป็นคนดวงแข็ง เขาต้องไม่เป็นไรแน่!”
………………………..