Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1760
“ผู้อาวุโสฉีหยู นี่มัน…”
คงหยุนไม่อาจจะทนใจเย็นได้อีกต่อไป
ฉีหยู นักบวชห้าดาวยังต้องทำท่าตื่นตกใจออกมาขนาดนี้ เรื่องเช่นนี้มันจะน่าประหลาดจนเกินไป
ฉีหยูยกมือขึ้นมาโบกปัด “อย่าเพิ่งพูด ให้ข้าได้สงบจิตใจก่อน!”
เขาหยิบแหวนทั้งสิบขึ้นมาตรวจดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า มองดูมันหนึ่งวง วางอีกวงลง และยกอีกวงขึ้นมาตรวจดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ พวกเขาต่างได้แต่นึกสงสัยอยู่ในใจ
แต่ถึงจะแค่สงสัย สายตาที่พวกเขาใช้มองเย่หยวนมันก็ได้แต่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ในที่สุดฉีหยูก็หายจากอาการตื่นตกใจนั้นได้
เขาถอนหายใจยาวออกมาเพื่อสงบจิตของตัวเอง ก่อนจะหันไปบอกเย่หยวน “ข้าได้ยินว่าเจ้าไม่เคยทำภารกิจเหนือกว่าสามดาวมาก่อนเลยในช่วงครึ่งปีมานี้ ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงสามารถทำภารกิจเจ็ดดาวสำเร็จได้กัน?”
เพราะตอนนี้ฉีหยูเองก็ตื่นตกใจไม่ต่างจากทุกผู้คน
เขารู้ดีว่าเย่หยวนนั้นมีพื้นฐานการโอสถและพรสวรรค์ที่เหนือล้ำ เขาคงเรียนรู้ศาสตร์แห่งโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ในเวลาไม่นานนัก
แต่เขานั้นก็ยังไม่คิดไม่ฝันว่ามันจะรวดเร็วได้อย่างน่ากลัวเช่นนี้
เมื่อเขาลองตรวจดูแหวนทั้งสิบเมื่อสักครู่ ฉีหยูก็ได้พบว่ามันล้วนแล้วแต่เป็นโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ความยากระดับเจ็ดทั้งสิ้น!
ที่สำคัญพวกมันยังเป็นโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ความยากระดับเจ็ดขั้นสูงด้วย!
โอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในความยากระดับนี้ แม้แต่ผู้อาวุโสก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถหลอมมันออกมาได้ในการหลอมแค่ครั้งหรือสองครั้ง
แต่เย่หยวนไม่ได้แค่หลอมสำเร็จ เขายังหลอมมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์ด้วย
เพราะโอสถแต่ละตัวนั้นมีคุณภาพถึงขั้นเทวะ!
การหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ความยากระดับเจ็ดให้ถึงขั้นเทวะได้นั้นมันเป็นได้แค่เรื่องเล่าในตำนาน
ต่อให้เป็นพวกเขา นักบวชห้าดาวก็ยังไม่มีใครเก่งกล้าพอที่จะทำได้
เพราะแบบนี้เองฉีหยูถึงได้ตื่นตกใจอย่างมาก
เย่หยวนตอบกลับไป “เมื่อเข้าใจด้านหนึ่งก็ย่อมนำไปสู่ความเข้าใจทุกด้าน! การหลอมโอสถความยากสูงนั้นมันไม่จำเป็นต้องค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไป ตราบเท่าที่เราสามารถวางพื้นฐานการหลอมของตัวเองให้แน่นหนาพอ เราก็ย่อมสามารถเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างถ่องแท้”
ฉีหยูหรี่ตาลงทันทีที่ได้ยิน “เมื่อเข้าใจด้านหนึ่งก็ย่อมนำไปสู่ความเข้าใจทุกด้าน แต่เรื่องเช่นนั้นมันจะมีสักกี่คนที่ทำได้? เย่หยวน เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!”
เย่หยวนยิ้ม “ขอบพระคุณผู้อาวุโสฉีหยู!”
ฉีหยูพยักหน้ารับและหันไปบอกนักบวชฝึกหัดคนนั้น “ภารกิจทั้งสิบนี้ของเย่หยวน จงมอบแต้มให้เขาภารกิจละสามหมื่นแต้ม!”
“ส-สามหมื่นแต้ม! ผู้อาวุโสฉีหยู นี่มัน…มันมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า?” คงหยุนบอกออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
แต้มสามหมื่นแต้มนี้มันหมายความว่าอย่างไร?
คงหยุนนั้นต่อให้เขาทำภารกิจห้าดาวไปมากมายแค่ไหนมันก็ไม่มีทางที่จะขึ้นไปถึงระดับนั้นได้เลย!
แค่เราเห็นว่าฉีเฟิงหยิบแต้มออกมาวางพนันกับเย่หยวนเป็นพันๆ แต้มเมื่อครานั้น มันไม่ได้หมายความว่านั่นเป็นจำนวนแต้มที่น้อยเลย
การรับภารกิจสี่ดาวและทำมันให้สำเร็จ ส่วนมากก็จะได้แต้มความดีกันแค่ไม่กี่ร้อยแต้ม
การที่ฉีเฟิงมีแต้มหลายพันแต้มติดตัวนั้นมันย่อมต้องมาจากภารกิจสี่ดาวนับไม่ถ้วนที่เขาทำ
ส่วนความดีสองพันแต้มนั้น ฉีเฟิงต้องคอยเก็บเล็กผสมน้อยนับปี!
ตอนนี้ภารกิจเดียวของเย่หยวนกลับจะได้รับคะแนนความดีถึงสามหมื่นแต้ม มันเป็นอะไรที่เหนือเกินกว่าที่จะทำใจเชื่อลงได้!
ท่าทางของคงหยุนในตอนนี้คือสิ่งที่ฉีหยูต้องการให้เกิดขึ้น เพราะเขาอยากจะใช้ความสำเร็จของเย่หยวนในครั้งนี้เป็นตัวอย่างแก่ทุกผู้คน
“ย่อมไม่มีอะไรผิดพลาด! ภารกิจทั้งสิบที่เย่หยวนทำนั้นมันถูกทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ สมควรได้รับรางวัลตามเกณฑ์สูงสุดของภารกิจเจ็ดดาว เป็นสามหมื่นแต้มต่อภารกิจ” ฉีหยูบอก
นั่นทำให้คงหยุนแสดงท่าทางตื่นกลัวออกมาอย่างถึงที่สุด “ส-สูงสุด? เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
รางวัลสูงสุดนั้นจะมอบให้เฉพาะแค่กับโอสถที่มีคุณภาพขั้นเทวะขึ้นไปเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ได้รับมัน
หรือว่าภารกิจทั้งหมดที่เย่หยวนรับไปทำ เขาจะหลอมโอสถออกมาได้ถึงขั้นเทวะทั้งสิ้น?
ภารกิจที่แม้แต่ผู้อาวุโสยังไม่มีปัญญาทำให้สำเร็จ เรื่องเช่นนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
ฉีหยูเริ่มแสดงท่าทางไม่พอใจออกมา “คงหยุน หรือว่าเจ้าคิดสงสัยในตัวผู้อาวุโสคนนี้?”
นั่นทำให้คงหยุนต้องเปลี่ยนสีหน้าอย่างฉับพลัน “ม-มิกล้า! ข้า…ข้าแค่…”
ฉีหยูหัวเราะเย้ย “แทนที่จะเอาเวลามาอิจฉาคนมีพรสวรรค์ เจ้าเอาเวลาไปฝึกฝนตนเองจะดีกว่า! หวังว่าเรื่องราวในวันนี้มันคงทำให้พวกเจ้าทั้งหลายลืมตาตื่นขึ้นกันบ้าง!”
พูดจบฉีหยูก็หันหลังเดินจากไป
เย่หยวนหันมองดูหน้าคงหยุนด้วยรอยยิ้มที่แสนเย็นชา “เอาล่ะ ไหนลองพูดเรื่องที่เจ้าบอกเมื่อวานมาอีกครั้งสิ?”
เมื่อคงหยุนได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงสดด้วยความอับอาย
เพราะเมื่อวานเขายังทำท่าทางจริงจังขึงขัง บอกผู้คนว่าเย่หยวนไม่มีทางทำภารกิจเหล่านี้สำเร็จได้
และเหตุผลที่เขากล้าจะทำตัวเช่นนั้นได้ก็เป็นเพราะว่าเขาไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนจะสามารถทำภารกิจเหล่านี้ได้จนลุล่วงจริงๆ
แต่วันนี้ เย่หยวนไม่ได้แค่ทำสำเร็จ แต่เขากลับทำมันได้สำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ
ได้เห็นท่าทางเช่นนั้นของคงหยุน เย่หยวนก็ถอนหายใจยาว “ไอ้ขี้ขลาดที่มีปากแค่พูด แต่ไม่มีหน้าทำจริง! หากเจ้าไม่มีฝีมือก็อย่าได้อวดอ้างตัวเองต่อหน้าผู้คน ทำเช่นนั้นมีแต่จะถูกตบหน้าเข้า! หากเจ้ามีปัญญาทำภารกิจเจ็ดดาวแล้วค่อยเอาตัวเองมาเปรียบเทียบกับข้า”
พูดจบเย่หยวนก็เดินจากไป
…
หลังเดินออกมาจากศาลาสวรรค์หลวง เย่หยวนก็ถูกชายชราผมขาวหยุดไว้อีกเช่นเคย
เมื่อมีครั้งแรก มันย่อมมีครั้งที่สองและสามตามๆ กันไป
ตั้งแต่ครั้งนั้น ทุกครั้งที่เย่หยวนออกมาจากศาลาสวรรค์หลวงเขาก็จะถูกชายชราคนนี้ดักเรียกไว้เสมอและพวกเขาก็จะมานั่งถกเถียงกันเรื่องวิชาโอสถ
เพราะชายชราคนนี้ได้รู้ว่าเย่หยวนนั้นมีความคิดที่เป็นเอกลักษณ์และมักจะทำให้ผู้คนได้รับมุมมองใหม่ๆ อยู่เสมอ
บางส่วนบางด้านที่เขาเคยรู้สึกขุ่นข้องหมองใจในอดีตก็คลี่คลายกระจ่างชัดเมื่อได้มาพูดคุยกับเย่หยวน
ก่อนจะได้เจอเย่หยวนนั้นชายชราผมขาวคนนี้เคยเชื่อเสมอมาว่าตัวเองได้เข้าใจทฤษฎีพื้นฐานทั้งหมดอย่างถ่องแท้แล้ว
จนถึงตอนที่เขาทดสอบเย่หยวนคราวนั้น เขากลับได้พบว่าตัวเองยังมีคำถามที่หาคำตอบไม่ได้อีกมากมาย
แน่นอนว่าฝั่งเย่หยวนเองก็พร้อมที่จะเข้ามานั่งคุยกับชายชราคนนี้อย่างมากเช่นกัน
เพราะความรู้ในศาสตร์การโอสถของเผ่าอสูรที่ชายชราคนนี้มีมันเหนือล้ำกว่าเขามาก
สำหรับมือใหม่อย่างเย่หยวนแล้ว คำแนะนำของชายชราคนนี้เปรียบได้ดั่งแสงจันทร์ที่สาดส่องไล่ความขุ่นมัวของเมฆหมอก
การแลกเปลี่ยนเช่นนี้มันทำให้ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์พร้อมๆ กัน
การที่เย่หยวนพัฒนาตัวเองได้เร็วปานนี้ ส่วนหนึ่งมันย่อมต้องยกความดีความชอบให้ชายชราผมขาวคนนี้
หลังจากถกเถียงกันมานานแสนนาน ในที่สุดชายชราก็คิดเปลี่ยนเรื่องขึ้น “ข้าได้ยินมาว่าครึ่งปีมานี้เจ้าได้ตั้งคำถามมากมายแก่ผู้อาวุโสที่ขึ้นทำการเทศน์สอนจนพวกนั้นไม่มีที่จะถอยได้เลย?”
เย่หยวนยิ้ม “เรื่องนั้นมันย่อมอยู่ที่มุมมองของคน จริงๆ ข้าคิดว่าการถามคำถามขึ้นมาเมื่อเราสงสัยย่อมช่วยที่จะพัฒนาความรู้ในเรื่องนั้นๆ ไปข้างหน้าอย่างมาก นี่เป็นสิ่งที่ดีงาม เพียงแค่ว่าผู้อาวุโสบางคนนั้นเจ้ายศเจ้าอย่างมีหน้าตาใหญ่โต กลัวว่าจะเสียหน้ามากกว่าคิดที่จะพัฒนาฝีมือตัวเอง”
ชายชราหัวเราะลั่นออกมาทันทีที่ได้ยิน “พูดได้ดี! ไอ้โง่พวกนั้นมันคิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งในหล้า ไม่ได้รู้เลยว่าเหนือฟ้าย่อมมีฟ้า คนเราไม่ว่าจะเก่งเพียงใดย่อมมีคนเก่งกว่าเสมอ! สุดท้ายความรู้ของพวกมันจึงเป็นได้แค่อะไรที่แสนเรียบง่าย”
เย่หยวนยิ้มตอบ “ข้าน้อยเองคิดมาเสมอว่าคนเราเกิดมามีพรสวรรค์ที่แน่นอนไม่สามารถเปลี่ยนแปลง แต่นิสัยท่าทางและการวางตัวย่อมเปลี่ยนแปลงได้ การปิดบังปัญหาและไม่คิดที่จะแก้ไขใดๆ มันย่อมทำให้คนผู้นั้นหยุดอยู่กับที่ ศิษย์นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นรองอาจารย์ อาจารย์เองก็ไม่จำเป็นต้องเหนือกว่าศิษย์ ศิษย์ที่เก่งกาจย่อมทำให้อาจารย์ได้พัฒนาตัวเองไปด้วย มันติดแค่ว่าพวกเขาคิดว่าข้าจ้องจะสร้างปัญหา จนข้าก็ไม่รู้แล้วเช่นกันว่าต้องทำอย่างไร”
ชายชรายังคงหัวเราะลั่นอย่างพอใจ “เจ้าเด็กคนนี้ช่างต่างจากคนอื่นๆ มากนัก! แต่ข้าได้ยินมาว่าพวกมันนั้นคิดวางแผนการที่จะสั่งสอนบทเรียนแก่เจ้า เจ้าคงต้องระวังตัวหน่อย”
เย่หยวนนั้นตื่นตกใจขึ้นมาทันที “สั่งสอนข้า? เช่นไรกัน?”
ชายชรายกมือขึ้นมาลูบหนวดยาวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเคยได้ยินหมากล้อมนิรันดร์ ‘อย่าถาม’ หรือไม่?”
เย่หยวนส่ายหัวออกมาทันที ดูท่าแล้วคงไม่เคยได้ยินมันมาก่อนเป็นแน่
……………………….