Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1805 ก้มกราบขอขมา
ตอนที่ 1805 ก้มกราบขอขมา
“พวกเจ้ามันเป็นแค่แมลงวันหรืออย่างไร? เรื่องแค่นี้ยังไม่สามารถจัดการกันได้! ครานี้เจ้าก็ยังปล่อยให้ต้วนชิงหงมันกลับไปได้ง่ายๆ อีกแล้ว!”
ด้านในห้องหนึ่งของยอดดอกตูมสวรรค์ จงฮันหลินกำลังด่าว่าเหล่าผู้ติดตามของนิกายบุปผาเหินทั้งหลาย
ดูแล้วเขากำลังไม่พอใจอย่างมาก
หลังจากผ่านไปร่วมสองร้อยปีจงฮันหลินที่มีพรสวรรค์เหนือล้ำศิษย์คนอื่นๆ ก็สามารถบรรลุขึ้นไปถึงอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวได้
ตอนนี้อีกแค่ครึ่งก้าวเขาก็จะสามารถขึ้นไปเป็นยอดฝีมือนภาสวรรค์เต็มตัว
ตอนนี้เขาจึงได้กลายเป็นยอดคนอันดับหนึ่งของนิกายบุปผาเหินไปอย่างเป็นทางการแล้ว
ต้วนชิงหงและเขานั้นขับเคี่ยวกันมานานแสนนาน ตอนนี้ฝั่งต้วนชิงหงเองก็ได้กลายเป็นอันดับหนึ่งของนิกายดาบเมฆาไปแล้วเช่นกัน
และจนทุกวันนี้ คนทั้งสองก็ยังต่อสู้แข็งขันกันมาตลอด
จงฮันหลินกำลังด่าว่าผู้ติดตามคนอื่นๆ อย่างบ้าคลั่งจนจู่ๆ ก็มีใครบางคนเดินเข้ามารายงานว่ามีคนกำลังมารอพบเขาอยู่ที่ด้านนอก
เขาพ่นลมออกมาอย่างโกรธเกี้ยว “พวกเจ้าอย่าเพิ่งไปไหน เดี๋ยวข้ากลับมาจัดการต่อ!”
เมื่อเขาเดินออกมานอกประตูจงฮันหลินก็ได้เห็นสภาพของตู้ซือชวนที่เนื้อหนังถูกตีจนเปิดอ้าในสภาพที่ดูไม่ได้
เรื่องนี้ทำให้เขาไม่พอใจมาก “ตู้ซือชวน ใครกันที่ทำเจ้าถึงขนาดนี้?”
แม้ว่าตู้ซือชวนจะเป็นคนที่ไม่ได้มากพรสวรรค์แต่เขาก็เก่งกาจในเรื่องควบคุมผู้คนและสามารถทำงานต่างๆ ให้เขาได้อย่างดี เพราะฉะนั้นจงฮันหลินจึงชอบใจตู้ซือชวนมาก
คิดจะทุบตีสุนัขของใครมันก็ต้องดูเจ้าของด้วย ใครจะไปคาดคิดว่าในนิกายเงาจันทร์นี้จะยังมีคนที่กล้ามาลงมือกับคนของจงฮันหลินได้ถึงขนาดนี้อยู่
“ข้าเอง”
จู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวออกมาด้านหลังตู้ซือชวน
จงฮันหลินที่กำลังเตรียมพร้อมเขาโจมตีต้องสะดุ้งตัวกลับไปเมื่อได้เห็นใบหน้านั้น “จ-จ-เจ้า… ทำไมเจ้ายังไม่ตาย?”
“เจ้ายังไม่ตาย มีหรือข้าจะกล้าตายก่อน?”
เพียะ!
พูดยังไม่ทันขาดคำเย่หยวนก็ยกมือขึ้นตบออกมาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า
เสียงนั้นมันชัดเจนและสะท้าน!
เมื่อถูกโจมตีทีเผลอจงฮันหลินจึงต้องรับฝ่ามือนี้ของเย่หยวนเข้าไปเต็มหน้าจนฟันร่วงหายไปหลายซี่
แน่นอนว่าต่อให้เขาจะเตรียมตัวรับมือไว้ก่อน มันก็คงไม่มีทางใดที่เขาจะหลบรอดฝ่ามือนี้ของเย่หยวนไปได้
ภาพนี้มันทำให้เหล่าศิษย์ที่เดินผ่านต้องหยุดหันมามองเห็นตาเดียว
“ใครกัน? ถึงกล้าไปตบหน้าจงฮันหลินเช่นนี้ มันเบื่อชีวิตมากแล้วหรือ?”
“ไม่เคยเห็นมาก่อน! ในหมู่ศิษย์ชั้นนอกมียอดคนเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“เมื่อกี้มันการโจมตีทีเผลอใช่ไหมล่ะ? ด้วยกำลังของจงฮันหลินมันไม่มีทางเลยที่ราชันพระเจ้าเก้าดาวเช่นนั้นจะเทียบเคียงจงฮันหลินได้”
…
จงฮันหลินล้มลุกคลุกคลานอยู่กับพื้นด้วยความมึนงงอย่างถึงที่สุด ตอนนี้เขาไม่อาจจะประคองตัวให้ลุกขึ้นยืนได้เลย
หลังมึนอยู่นานในที่สุดเขาก็กลับมาหันเจอร่างเย่หยวนอีกครั้งและกล่าวขึ้น “เจ้า… เจ้ากล้าตบข้า? ข้าขอบอกไว้เลยนะว่าเจ้า… เจ้าจะไม่ได้ตายดีแน่!”
เย่หยวนส่ายหัวออกมาพร้อมถอนหายใจ “คำพูดเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นเจ้าเอง เชียนเย่ หรือแม้แต่เจียงเชอเหยียนต่างก็เคยพูดใส่ข้ามาหลายครั้ง แต่จนทุกวันนี้ข้าก็ยังอยู่ได้สบายดี”
จงฮันหลินหน้าถอดสีพร้อมดวงตาที่เบิกกว้างจนแทบถลน
เขารู้ตัวดีว่ามิอาจเทียบเคียงฝีมือเย่หยวนได้ เขาจึงไม่ได้คิดที่จะต่อต้านใดๆ เลย
ตอนที่เย่หยวนเป็นราชันพระเจ้าหกดาว เขาที่เป็นราชันพระเจ้าเก้าดาวก็มิอาจต้านทานได้แม้แต่น้อยแล้ว
ตอนนี้เย่หยวนที่พัฒนาตัวเองจากหน้ามือเป็นหลังมือ บรรลุขึ้นมาเป็นถึงราชันพระเจ้าเก้าดาวได้ เขาที่เป็นแค่นภาสวรรค์ครึ่งก้าวย่อมไม่มีทางต่อต้านใดๆ ได้!
เรื่องแค่นี้จงฮันหลินย่อมรู้อยู่ในใจ
ตอนนี้สิ่งที่เขาควรทำคือการไปแจ้งเชียนเย่!
ตอนนี้เหล่าศิษย์จากนิกายบุปผาเหินต่างออกมาดูเรื่องราวตามๆ กันและจงฮันหลินก็ได้ส่งสัญญาณบอกศิษย์คนสนิทคนหนึ่งไป
ศิษย์คนนั้นเข้าใจได้ในทันทีและพุ่งตัวหายไป
มีหรือที่เรื่องนี้จะหลุดรอดสายตาเย่หยวนไปได้?
เพียงแค่ว่าเย่หยวนไม่คิดจะหยุดเขาและปล่อยให้ศิษย์คนนั้นไปรายงานเรื่อง
เพราะวันนี้เย่หยวนนั้นเดือดดาลกับเรื่องราวอย่างถึงที่สุด!
“ไปก้มกราบขอขมาพี่ข้าเสีย!” เย่หยวนบอก
จงฮันหลินผงะไปทันที เขาหันไปมองตามนิ้วของเย่หยวนที่ชี้ไปและอดไม่ได้ที่จะทำหน้าดำคร่ำเครียดออกมา
“ฮันยอง? เจ้าคิดจะให้ข้าไปก้มกราบขอขมาไอ้ขยะนั่น? ไม่มีทาง! หากเจ้ามีปัญญาก็สังหารข้าเสียเถอะ!”
จงฮันหลินยื่นคอออกมาด้วยท่าทางยอมตายดีกว่าต้องเสียเกียรติ เรื่องเลวร้ายถึงขนาดนี้แล้ว มันคงไม่มีทางเลวร้ายไปกว่านี้ได้
เว้นเสียแต่ว่าคำพูดนั้นมันจะทำให้ทุกคนที่มองดูเรื่องราวต้องอ้าปากค้าง
คนรอบๆ ที่มามุงดูนี้คือศิษย์ชั้นนอกทั้งหลาย พวกเขานั้นต่างรู้ดีว่าจงฮันหลินเก่งกาจแค่ไหนและปกติเป็นคนหยิ่งยโสไม่ยอมคนเพียงใด
วันนี้โดนตบเข้าไปทีหนึ่ง กลับไม่กล้าที่จะต่อต้านแม้แต่น้อย!
ทุกคนต่างหันไปมองเย่หยวนด้วยความตื่นตกใจ ไอ้เจ้าหมอนี่มันเป็นเทพสวรรค์มาจากไหนกัน?
เพียะ!
ตบหน้าเข้าอีกครั้ง!
ครั้งก่อนมันเป็นการตบหน้าฝั่งซ้าย ตอนนี้มันเป็นการตบหน้าฝั่งขวา!
สองฝ่ามือนี้มันทำเอาฟันของจงฮันหลินร่วงไปกว่าครึ่งปาก
บนใบหน้านั้นมันมีรอยฝ่ามือประทับอยู่อย่างชัดเจน
“ไม่กราบข้าก็จะตบจนกว่าเจ้าจะกราบ!” เย่หยวนบอก
จงฮันหลินกัดฟันแน่น “ข้าไม่กราบ! ช่างสิวะ เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้ามากนักหรือ?”
เย่หยวนมองดูที่จงฮันหลินด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่เย็นเยือกจนทำขนลุกตั้ง “หากเจ้ามีปัญญาหลบก็ลองหลบมันดู!”
พูดจบเย่หยวนก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นมา มือนี้มันทำให้จงฮันหลินตื่นกลัวอย่างสุดขีด
จากนั้นเย่หยวนก็ตบฝ่ามือออกมา
จงฮันหลินคิดอยากหลบ เขาใช้วิชาการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วปานสายฟ้า!
เวลานี้พลังของนภาสวรรค์ครึ่งก้าวถูกแสดงออกมาอย่างเต็มที่
แต่ทว่า…
เพียะ!
เสียงตบดังลั่นขึ้นมาอีกครั้ง จงฮันหลินที่ถูกตบเข้าที่ใบหน้านั้นถึงกับหน้าหันตัวลอยปลิวไปไกล
“จะกราบไหม?” เย่หยวนถามอีก
ไม่ไกลไปนัก ฮันยองได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างมึนงง
เป็นเวลานี้เองที่เขาได้เห็นพลังที่แท้จริงของเย่หยวนว่าแข็งแกร่งปานใด!
เบื้องหน้าเขานี้ จงฮันหลินที่เก่งกาจปานเทพมารเทพสวรรค์กลับไม่อาจทนต่อต้านฝ่ามือของเย่หยวนได้แม้แต่น้อย
แค่จะหลบเย่หยวนเขายังไม่มีปัญญาหลบ
คนทั้งสองนั้นมีพลังที่ห่างชั้นกันคนละโลก
ทั้งๆ ที่ฝ่ายที่โดนโจมตีอยู่นี้เป็นถึงนภาสวรรค์ครึ่งก้าว
แม้ว่านภาสวรรค์ครึ่งก้าวจะยังไม่นับว่ามีพลังเทียบเท่านภาสวรรค์แท้จริง แต่เมื่อเทียบมันกับราชันพระเจ้าเก้าดาวแล้ว พวกเขาก็ยังจะถูกนับว่าเป็นยอดฝีมือที่อยู่กันคนละโลก
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวนเขากลับอ่อนแอราวเศษกระดาษ
“ไม่พูด แสดงว่าเจ้ายังไม่คิดยอมกราบสินะ!”
เย่หยวนบอกและตบเข้าที่ใบหน้านั้นอีกครั้ง
จงฮันหลินโดนตบจนเบื้องหน้ามีแต่ดวงดาวลอยระยิบเต็มไปหมด
เย่หยวนเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ตอนนี้เขาแค่สาดซัดฝ่ามือเข้าใส่อย่างไม่ยั้ง
จนในที่สุดจงฮันหลินก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป
ตอนนี้เขานั้นไม่อาจรู้ได้เลยว่าทิศไหนเป็นเหนือ ไหนเป็นใต้ ไหนเป็นออก ไหนเป็นตก เขาได้แต่ตะโกนร้องออกมาใส่ความว่างเปล่า “กราบ! ข้าจะกราบแล้ว!”
จงฮันหลินรู้ถึงสภาพตัวเองดีว่าเขาคงทนให้เชียนเย่มาถึงไม่ได้แน่
ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาต้องทำคือถ่วงเวลา
เมื่อเชียนเย่มาถึง เขาต้องเอาคืนเย่หยวนไปนับร้อยเท่าแน่!
เมื่อถูกเย่หยวนตบใส่หน้าไปขนาดนั้น ตอนนี้จงฮันหลินจึงมีสภาพไม่ต่างจากหัวหมู ใบหน้าปูดบวมไปหมดทุกแห่ง
เขาค่อยๆ เดินถ่วงเวลาไปทีละก้าว ทีละก้าวจนในที่สุดก็ไปถึงด้านหน้าของฮันยอง
เย่หยวนมองดูเขาอย่างเฉียบคมและบอก “คุกเข่า!”
จงฮันหลินนั้นถูกเย่หยวนตบจนหน้าชา ตอนนี้เขาจึงไม่มีแรงจะขัดขืนใดๆ และได้แต่คุกเข่าก้มตัวลง
“เจ้าต้องทำอะไรคงไม่ต้องให้ข้าสอนใช่ไหม?” เย่หยวนบอก
จงฮันหลินรีบพูดขึ้นมา “ไม่ต้องๆ! ฮันยอง ข้า… ข้าขอโทษ!”
พูดจบจงฮันหลินก็ก้มหัวลงจรดพื้นดิน
เย่หยวนบอก “หากข้ายังไม่บอกให้เลิก เจ้าก็ห้ามหยุด! ก้มกราบไปจนกว่าพี่ชายข้าจะพอใจ!”
มีหรือที่จงฮันหลินจะกล้าเงยหน้าขึ้นมา? ตอนนี้เขาได้แต่ก้มหัวจรดพื้นและพูดคำขอโทษออกมาติดๆ กัน
เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้พวกเขาต่างได้แต่อ้าปากกว้างด้วยสายตาที่ไม่อยากเชื่อ
ตั้งแต่ที่จงฮันหลินเข้านิกายมาเมื่อสองร้อยปีก่อน เขานั้นมักเป็นฝ่ายรังแกข่มเหงผู้คนเสมอมา มีหรือที่จะมีใครกล้าข่มเหงรังแกเขาคืนเช่นนี้ได้?
แต่พวกเขาก็เกรงกลัวผลที่จะเกิดขึ้นกับเย่หยวนไปจนถึงจิตวิญญาณ เพราะเรื่องนี้มันคือการลบหลู่นิกายบุปผาเหินอย่างถึงที่สุด!
…………………………