Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1847 ศึกนี้เจ้าต้องสู้
“พ่อบุญธรรม นี่คือเสื้อคลุมขนกระเรียนพราวที่ห่าวเอ๋อซื้อมาจากมือของเทพถ่องแท้ท่านหนึ่งด้วยราคาสูงลิ่ว มันเป็นสมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำที่เหมาะสมกับน้องหญิงชิวหลิงมาก”
ในสวนบ้านของเล้งหงซิ่ว เล้งห่าวกำลังยกชูของชิ้นหนึ่งขึ้นมาด้วยท่าทางเคารพอีกฝ่ายอย่างมาก
คงพูดได้ว่าเล้งห่าวคนนี้เป็นคนที่มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างมาก
หลายปีก่อนก่อนที่เล้งหงซิ่วจะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูล เล้งห่าวนั้นได้รู้จักและนับถือเขาเป็นพ่อบุญธรรมไปก่อนแล้วและพยายามเอาใจเขาในทุกๆ ด้านที่พอทำได้
จะบอกว่าเขาเป็นคนที่เข้าหาผู้คนได้เก่งก็คงไม่ผิดนัก
แม้ว่าเขาจะเป็นแค่ลูกเลี้ยง แต่สถานะของเขาในตระกูลมันก็ไม่ได้ต่ำตมนัก
การได้เป็นพี่ชายของนายน้องผู้สืบทอดตระกูล แถมยังเป็นลูกบุญธรรมของนายท่านรอง เรื่องเช่นนี้มันย่อมมิใช่สิ่งที่ใครๆ จะสามารถทำได้ง่ายๆ
แน่นอนว่าเล้งห่าวนั้นแค่คิดทำเช่นนี้ให้ชีวิตของตนนั้นดีขึ้น จะได้มีช่องทางในอนาคตที่สว่างไสวอย่างคนอื่นเขาบ้าง
เขาจึงทำ
เว้นเสียแต่ว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดได้ฝันว่าเล้งหงซิ่วจะได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเช่นนี้ ทำให้น้องชายคนสนิทของเขาเล้งซู่ต้องกลายเป็นตัวตนที่ไม่มีใครในตระกูลเล้งสนใจ
เรื่องนี้มันทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนแปร
ในด้านพรสวรรค์แล้วเขานั้นต่ำต้อยกว่าเล้งซู่มาก แต่เล้งห่าวก็คิดเสมอมาว่าเรื่องนั้นมันเป็นเพียงเพราะว่าเขาไม่ได้รับทรัพยากรที่มากมายเท่าเล้งซู่ก็เท่านั้น
เขาต้องจ่ายไปมากมายเพื่อจะมามีวันนี้ได้!
ตราบเท่าที่เขาสามารถกลายเป็นนายน้อยผู้สืบทอดตระกูลได้ เมื่อเขาได้พลังนี้มาไว้ในมือความเร็วในการบ่มเพาะของเขาก็ย่อมจะเหนือล้ำขึ้นกว่าเขาทำให้ตำแหน่งนี้ของเขายิ่งมั่นคงขึ้น
บางทีวันหนึ่งเขาอาจจะได้กลายเป็นผู้นำของตระกูลเล้งเข้าจริงๆ!
แผนการของเล้งห่าวนั้นแสนที่จะใหญ่โตมาก
เมื่อเล้งหงซิ่วเห็นเสื้อคลุมขนกระเรียนพราวนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างขึ้น
หากลูกสาวของเขาได้สวมเสื้อคลุมนี้ เล้งชิวหลิงคงงดงามราวกับเทพธิดานางฟ้า
คนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในตระกูลเล้งนั้นหาใช่เล้งซู่ ไม่ต้องไปพูดถึงเล้งห่าวเสียด้วยซ้ำ คนที่เป็นยอดอัจฉริยะประจำตระกูลนั้นคือเล้งชิวหลิงผู้ที่ได้ฉายาราชินีน้ำแข็ง
หลายร้อยปีก่อนนางได้ไปยังยอดเขาแห่งถงเทียนตอนอายุถึงห้าร้อยปีและก้าวเข้าสู่อาณาจักรนภาสวรรค์ได้ในที่สุด
ตอนนี้เวลาหลายร้อยปีผ่านไป เล้งชิวหลิงจึงสามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรนภาสวรรค์ห้าดาวได้แล้ว!
พรสวรรค์ระดับนี้มันย่อมเหนือล้ำกว่าใครๆ ในเมืองหลวงจักรพรรดิ เป็นตัวตนที่แสนเจิดจ้า
เล้งซู่นั้นไม่มีทางไปเทียบเคียงได้เลย
สิ่งที่เล้งหงซิ่วให้ค่ามากที่สุดก็คือลูกสาวของเขาคนนี้
ไม่มีลูกชายแล้วจะทำไม?
มีลูกสาวแบบนี้มันก็มากเกินพอแล้ว!
การที่เล้งหงซิ่วได้ขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลเองมันก็เกี่ยวข้องกับตัวเล้งชิวหลิงไม่น้อย
ในหมู่คนรุ่นเดียวกันเล้งหงซิ่วนั้นไม่ได้เก่งกาจเหนือใคร แต่เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเลือกกลับเลือกเขาขึ้นมาแทนที่อย่างเป็นเสียงเดียวกัน
เพราะแท้จริงแล้วเล้งชิวหลิงนั้นมิได้เป็นเพียงแค่ความภาคภูมิใจของเขาเท่านั้น แต่นางเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลเล้งทั้งตระกูล
นั่นทำให้เล้งห่าวคิดเอาใจเล้งชิวหลิงเพื่อจะได้เอาใจเล้งหงซิ่วต่ออีกทอดหนึ่ง
“ไม่เลวเลย เยี่ยม! หึๆ ห่าวเอ๋อเจ้านี่ช่างรอบคอบจริง!” เล้งหงซิ่วพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ
สำหรับนักยุทธแล้วความสวยงามนั้นย่อมเป็นเรื่องรอง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าเสื้อคลุมขนกระเรียนพราวนี้เป็นสมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำซึ่งหมายความว่ามันจะมีพลังป้องกันที่สูงส่ง
แต่เมื่อความงามและประโยชน์ใช้งานมารวมกันได้ มีหรือที่ใครจะกล้าปฏิเสธ?
เล้งห่าวยิ้มออกมา “นี่คือสิ่งที่ลูกควรทำ! หลายปีมานี้พ่อบุญธรรมท่านได้ดูแลข้ามาอย่างดี น้องหญิงชิวหลิงเองก็สนิทกันเสียยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มีอะไรให้ต้องคิดมากกัน?”
เล้งหงซิ่วยิ้มรับแก่เล้งห่าวอย่างพึงพอใจ “ห่าวเอ๋อ ข้าได้คุยกับเหล่าผู้อาวุโสมาแล้วว่าการจะปล่อยให้ซู่เอ๋อครองตำแหน่งต่อไปมันคงไม่ดีนัก แน่นอนว่าตัวเจ้าเองก็ต้องแสดงพลังออกมาให้ได้มากที่สุด สิบวันจากนี้เจ้าและซู่เอ๋อต้องแข่งขันกัน ผู้ชนะจะได้เป็นผู้สืบทอดตระกูลคนใหม่! ข้านั้นไม่มีลูกชายในสายเลือด แต่เจ้านี่แหละที่เป็นลูกชายข้า!”
เมื่อเล้งห่าวได้ยินเช่นนั้นเขาก็ก้มลงกราบแทบพื้นด้วยน้ำตานองหน้า “พ่อบุญธรรม ลูกนั้น… ลูกนั้นไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร”
เล้งหงซิ่วช่วยประคองเขาลุกขึ้น “เราก็รู้จักกันมานานหลายปีแล้วมีหรือที่พ่อบุญธรรมเจ้าจะยังไม่รู้จักเจ้าอีก? เจ้านั้นแตกต่างจากคนอื่น ก่อนหน้านั้นข้ายังไม่มีอำนาจพลังใดๆ พรสวรรค์ของชิวหลิงเองก็ยังไม่เบ่งบานเต็มที่นัก แต่เจ้าก็ยังคิดเข้าหาพวกเรา”
เล้งห่าวแสดงหน้าตาตื้นตันขึ้นแต่ภายในใจของเขานั้นแทบโห่ร้องดีใจ
เวลาที่เสียไปตั้งหลายต่อหลายปี ในที่สุดก็จะได้ผลประโยชน์คืนมาแล้ว มีหรือที่เขาจะยังนิ่งเงียบได้?
เล้งห่าวนั้นต่างจากคนอื่นๆ ตอนที่ทุกผู้คนต่างไปเกาะหาผู้นำตระกูล ตัวเขานั้นไม่ได้ไปด้วย
เพราะว่าเขาไม่มีคุณสมบัติพอ
เพราะฉะนั้นเขาเลยอ้อมออกมาตีสนิทกับเล้งหงซิ่วและเล้งชิวหลิง
เมื่อตอนที่เล้งชิวหลิงยังเด็ก เขาได้เห็นว่านางนั้นมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะที่น่าเหลือเชื่อจนทำให้เขาคิดที่จะลงทุนลงแรงไปกับนางด้วย
พร้อมๆ กับสถานะของเล้งห่าวที่ค่อยๆ ดีขึ้น ความโลภของเขาก็ขยายตัวขึ้นตาม
เล้งหงซิ่วบอก “ข้ารู้ดีว่าเจ้านั้นมีพลังฝีมือไม่น้อยไปกว่าซู่เอ๋อ แต่นี่คือศึกครั้งสำคัญเจ้าจงเตรียมตัวเข้าสู่การต่อสู้ให้พร้อม ต่อให้มันจะไม่เฉียบคมแต่มันก็ต้องสง่า สิบวันนี้จงฝึกฝนตัวให้ดี อย่าได้ถูกสิ่งอื่นใดรบกวน”
เล้งห่าวกล่าวลาและจากไป ก่อนที่ร่างของสาวงามนางหนึ่งจะปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า
“ท่านพ่อ!”
เล้งหงซิ่วมองดูลูกสาวของตนด้วยใบหน้าอ่อนโยน “เจ้าและห่าวเอ๋อนั้นเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็กๆ เหตุใดตอนนี้เจ้าจึงไม่คิดแม้แต่จะพบเจอเขากัน?”
เล้งชิวหลิงขมวดคิ้วแน่น “พี่เล้งห่าวเขา… เปลี่ยนไป!”
เล้งหงซิ่วบอก “คนเรามันย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ เจ้าลองสวมเสื้อคลุมขนกระเรียนพราวนี่ดูสิ เด็กคนนี้มันรอบคอบจริงๆ”
เล้งชิวหลิงมีท่าทางไม่ค่อยต้องการนักแต่สุดท้ายก็ต้องยอมใส่เพราะเล้งหงซิ่วแสดงใบหน้าท่าทางตื่นเต้นออกมาอย่างมาก
…
ในส่วนของที่พักเล้งซู่ เล้งซู่กำลังดื่มสุราจนเมามายอีกครั้ง
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “เวลาเหลืออีกสิบวันจากนั้นก็จะเป็นศึกตัดสินผู้สืบทอดตระกูลแล้ว แต่เจ้ากลับมาทำตัวหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้มันจะดีหรือ?”
เล้งซู่นั้นเงยหน้ายกชามขึ้นมา “ดื่ม! ของโง่ๆ พรรค์นั้นจะไปสนใจเพื่ออะไรอีก?”
เย่หยวนยกสุราขึ้นดื่มพร้อมส่ายหัวออกมา “ข้าคิดว่าเจ้าเป็นพี่น้องถึงได้บอกเตือนคำพูดจากใจ หากเจ้าไม่คิดอยากฟังข้าก็จะไม่พูดแล้ว”
เมื่อเห็นท่าทางผิดหวังของเย่หยวนเล้งซู่ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความตื่นตกใจออกมา
หลายวันมานี้เย่หยวนอยู่เป็นเพื่อนดื่มกับเขามาตลอดโดยไม่คิดที่จะกล่าวว่าใดๆ
แต่วันนี้ไม่ทราบเพราะเหตุใดเขาจึงได้มีท่าทางจริงจังเช่นนี้
เล้งซู่นั้นมองเย่หยวนเป็นเหมือนพี่น้องคนหนึ่งไปแล้ว เขาจึงย่อมมองดูสีหน้าท่าทางของเย่หยวนอย่างใส่ใจ
เขาจึงพยักหน้าออกมาพร้อมวางสุราลง “เจ้าว่ามาสิ”
เย่หยวนบอก “ศึกนี้เจ้าต้องสู้! ที่สำคัญต้องชนะด้วย!”
เล้งซู่ขมวดคิ้วแน่น “เพื่อ? พี่เย่ ข้า…”
เย่หยวนพูดขัดขึ้นมาก่อน “ข้ารู้ดีว่าเจ้านั้นไม่ชอบและไม่คิดสนใจตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลใดๆ แต่เพราะเช่นนั้นเองที่เจ้าต้องชนะให้ได้เสียยิ่งกว่าเก่า! เจ้าจะเรียกมันว่าเป็นชื่อเสียงที่ว่างเปล่าก็ได้ แต่หากเจ้าเสียจิตใจในวิชายุทธไปแล้ววันหน้าเจ้าคงเป็นได้แค่ศพเดินได้ที่ไร้ชีวิต! คนเช่นนั้นจะยังมีใครคิดให้ความสำคัญ? ที่ข้ายอมมาดื่มกับเจ้าด้วยนั้นก็เพราะว่าเจ้านั้นเป็นคนรักอิสระไม่ผูกมัดสิ่งใด มิใช่เพราะว่าเจ้ามันไม่มีดี! ที่สำคัญนี่คือตำแหน่งที่พ่อของเจ้าแต่งตั้งมาให้ เจ้าคิดจะป่าวประกาศบอกทุกผู้คนว่าอดีตผู้นำตระกูลตั้งคนไร้ความสามารถขึ้นมาเป็นทายาทหรือ?”
คำพูดของเย่หยวนนั้นเป็นเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจของเล้งซู่
เย่หยวนกล่าวต่อ “พ่อของเจ้าถูกสังหาร พี่ชายเจ้าหักหลังทรยศ เจ้าได้พบเจอเรื่องราวที่แสนยากลำบากจริงๆ แต่เจ้าลองถามตัวเองดูว่าเจ้าจะยอมแพ้มันไหม? ความแค้นของพ่อเจ้า เจ้าไม่คิดจะล้างมันอีกแล้วหรือ? แล้วก็เรื่องของเล้งห่าวนั้น เขาเป็นคนที่คิดจะสังหารเจ้ามาแล้ว เจ้าคิดว่าเมื่อเขาได้อำนาจแล้วเขาจะยอมปล่อยเจ้าไปง่ายๆ? เพราะฉะนั้นศึกนี้เจ้าจึงต้องชนะ! แล้วหลังจากชนะเจ้าจะไปบอกทุกผู้คนว่าคนเช่นเจ้ามีค่ามากกว่าจะมาเป็นผู้สืบทอดตระกูลอะไรก็ว่าไปได้!”
นั่นทำให้เล้งซู่เบิกตากว้าง
จากมึนเมามันกลับเด่นชัด
ใช่แล้ว ตอนนี้เขายังมีเรื่องต้องจัดการ!
เมื่อเงยหน้าขึ้นได้เล้งซู่ก็วางสุราลงพร้อมบอก “พี่เย่ ข้าขอบคุณมาก!”
…………………………