Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1955 โอสถหกชีพจรดวงดาว
ภายในสวนแห่งหนึ่งตอนนี้ชายชรากับชายหนุ่มกำลังนั่งคุยกันอยู่อย่างผ่อนคลาย
“ฮ่าๆ! สมชื่อว่าเป็นเด็กที่มีรัศมีผ่าจักรพรรดิเสียจริงๆ ไม่ได้เจอแค่ไม่กี่ร้อยปีเจ้ากลับสามารถขึ้นมาเป็นคนรุ่นเดียวกับข้าได้เสียแล้ว! ความเร็วในการบ่มเพาะนี้มันเหนือล้ำเสียจริง!”
“หึๆ หลายปีมานี้ข้าเพียงแค่โชคดีได้มีโอกาสบ่มเพาะอย่างจริงจัง ทางท่านผู้อาวุโสต่างหากที่ดูไม่แก่ลงเลย!”
ชายชรายกมือขึ้นมาโบกปัด “เจ้าคิดจะมาล้อเฒ่าคนนี้แล้วหรือ? เมื่อครั้งก่อนที่เราได้พบเจอกันเฒ่าคนนี้ต้องเสียพลังชีวิตไปมากมายเวลาหลายปีที่พักผ่อนมานี้มันก็ทำให้แค่ฟื้นฟูสภาพร่างกายผสานกับสมุนไพรวิญญาณอีกมากมายเฒ่าคนนี้จึงยังอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้”
ชายหนุ่มตอบกลับไป “เช่นนั้นข้าถึงมามิใช่หรือ?”
ชายชราพยักหน้าตอบกลับมา “แค่พลังชีวิตเท่านี้ใช้เวลาอีกสักพันปีมันก็เพียงพอจะฟื้นคืน เจ้าไม่เห็นต้องลำบากเดินทางมาเลย”
ชายหนุ่มคนนั้นจึงตอบกลับไป “ผู้เยาว์นั้นได้รับการดูแลจากท่านผู้อาวุโสไว้มาก การมาครั้งนี้ของข้าย่อมมาเพื่อจะรักษาอาการบาดเจ็บใดๆ ของท่านให้สิ้นไป”
เมื่อชายชราได้ยินเช่นนั้นเขาก็เบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง “หรือว่า… เจ้าจะขึ้นไปถึงฐานของมันแล้ว?”
ชายหนุ่มยิ้มตอบกลับมาพร้อมพยักหน้ารับ เมื่อชายชราเห็นเช่นนั้นเขาก็แสดงใบหน้าตื่นเต้นดีใจอย่างมากออกมา
ชายชราและชายหนุ่มทั้งสองคนนี้มันย่อมเป็นเจ้าศาลามายาล้ำแห่งเมืองจักรพรรดิเลิศประกาย เจียนหงเซียวและเย่หยวน
หลังเรื่องราวของประตูวิญญาณมรณาผ่านพ้นไปเย่หยวนก็ได้วางแผนการรับมือภายในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์อย่างมากมายแต่ฝั่งประตูวิญญาณมรณากลับไม่คิดจะเคลื่อนไหวใดๆ
และช่วงหลังมานี้เย่หยวนก็เริ่มก้าวขึ้นมาถึงฐานของระดับหกและคงจะสามารถบรรลุขึ้นไปได้ในอีกไม่ช้าทำให้เขาตัดสินใจเดินทางออกมาหาเจียนหงเซียวเช่นนี้
บัญญัติเทพแห่งถงเทียนระดับที่หกนั้นเย่หยวนใกล้ที่จะสร้างมันได้สมบูรณ์แล้ว
เมื่อทำการสร้างมันได้จนสมบูรณ์ เย่หยวนย่อมจะสามารถก้าวขึ้นสู่อาณาจักรต่อไปได้
เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงได้รีบจัดการเรื่องภายในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์และเดินทางมุ่งหน้ามายังเมืองจักรพรรดิเลิศประกาย
เมื่อเห็นเจียนหงเซียวอีกครั้งเย่หยวนก็ไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นลึกลับเหมือนก่อนหน้าที่เจอกันแล้ว
เพราะร่างกายของเย่หยวนในตอนนี้เองก็ขึ้นมาถึงระดับหก มีพลังฝีมือที่เหนือล้ำพอจะจัดการเทพถ่องแท้สองดาวลงได้ไม่ยาก
และเมื่อได้มาเจอกันครั้งนี้เย่หยวนก็เห็นได้ทันทีว่าเจียนหงเซียวนั้นเดิมทีแล้วเป็นเทพถ่องแท้มาก่อนจะได้รับแรงสะท้อนจากเต๋าสวรรค์!
“หึ คำพูดทั้งหลายนั้นมันจะไม่อวดดีเกินไปหน่อยหรือ? ยอดฝีมือนภาสวรรค์นั้นมีมากมายเพียงใดที่ต้องติดอยู่ที่คอขวดนับหมื่นๆ ก่อนขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้ไป? ต่อให้เจ้าจะเป็นยอดคนมากพรสวรรค์แต่หากไม่มีเวลาอีกสักสิบหรือร้อยปีมันก็คงไม่อาจจะบรรลุขึ้นไปได้ง่ายดายปานนั้นใช่หรือไม่เล่า?” เจียนเฉินกล่าวขึ้นแทรก
ตั้งแต่ที่เขาได้พบเจอเย่หยวนอีกครั้งใบหน้าของเจียนเฉินก็แสดงท่าทางสับสนมาตลอด
เพราะในตอนนั้นที่เย่หยวนมายังเมืองจักรพรรดิเลิศประกายนี้เขายังเป็นแค่ราชันพระเจ้าขั้นต้น
และตัวอาจารย์ของเขานั้นก็ต้องใช้พลังปราณไปมากมายเพื่อเย่หยวนคนนี้ มันจึงทำให้เขาเกิดความไม่ชอบพอขึ้นในใจ รู้สึกว่าการลงแรงของอาจารย์เขานั้นมันไม่คุ้มค่าเสียเลย
เจียนหงเซียวต้องเสียอายุขัยไปมากมายและคงอยู่ได้อีกไม่นานมากแล้ว
ปราณที่เสียไปนั้นมันพอทดแทนได้ แต่อายุขัยที่เสียไปมันเป็นเรื่องยากที่จะหาสิ่งใดมาเสริมเพิ่ม
เพียงแค่ว่าเขาเองก็ไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนจะใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ร้อยปีในการก้าวขึ้นมาสู่อาณาจักรนภาสวรรค์เก้าดาว หากนับกันแค่พลังอาณาจักรบ่มเพาะ เด็กหนุ่มตรงหน้านี้มันก็เทียบเคียงกับเขาได้แล้ว
เจียนเฉินจึงรู้สึกเสียหน้าไปอีกขั้น
ได้ยินเช่นนั้นเย่หยวนกลับทำแค่ยิ้มและไม่ตอบใดๆ ส่วนทางเจียนหงเซียวกลับมองมาที่เจียนเฉินด้วยสายตาเอ็นดู “เฉินเอ๋อ สายตาของเจ้านั้นยังไม่ถึงขั้นจริงๆ! สหายหนุ่มเย่หยวนผู้นี้มีรูปกายภายนอกที่หลอกตาเนื้อหนังดูผอมบางแห้งแต่เขานั้นได้มีรูปร่างที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ตอนนี้เขาได้บ่มเพาะกายทองคำขึ้นมาถึงระดับหกได้แล้ว เพราะฉะนั้นอาจารย์ของเจ้าผู้นี้จึงได้บอกว่าเขาเป็นคนรุ่นเดียวกัน”
เมื่อเจียนเฉินได้ยินดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง!
แต่คำพูดต่อไปของเจียนหงเซียวมันยิ่งทำให้เขาต้องตกตะลึง
เจียนหงเซียวหันไปมองเย่หยวน “ที่สำคัญ… ที่สหายหนุ่มเย่มีนี้ดูท่าจะเป็นกายทองคำสัมบูรณ์ หากเฒ่าคนนี้เดาไม่ผิด?”
เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาเช่นกันพร้อมด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “ผู้อาวุโสท่านช่างมีดวงตาที่เฉียบคม ท่านเดาถูกแล้ว!”
เจียนหงเซียวยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิพร้อมยกมือขึ้นลูบเครา “หึๆ เฒ่าคนนี้เองก็ฝึกฝนดวงตาคู่นี้มานานแสนนาน ต่อให้จะอ่านดวงชะตาไม่ได้ แต่มันก็มีอีกหลายสิ่งที่พอมองเห็นได้”
เย่หยวนได้แต่ยิ้มออกมาพร้อมยกมือขึ้นคารวะอีกฝ่าย “ท่านผู้อาวุโสช่างมีดวงตาที่เลิศล้ำ ข้าเย่หยวนขอนับถือ”
เจียนเฉินที่ด้านข้างนั้นกำลังตื่นตกใจจนไม่อาจหุบปากที่อ้าค้างลงได้
กายทองคำสัมบูรณ์นั้นเป็นเรื่องเล่าขานในตำนานในหมู่ผู้ฝึกฝนบ่มเพาะร่างกาย ว่ากันว่ามีพลังความแข็งแกร่งที่ไม่อาจอธิบายได้
เขาไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนคนนี้จะสามารถฝึกฝนมันได้
และเขาก็ยังไม่ได้คาดคิดด้วยว่าเย่หยวนนั้นจะขึ้นถึงระดับหกได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้น
การที่มีกายทองคำสัมบูรณ์ระดับหกเช่นนี้มันย่อมหมายความว่าเขาคือยอดฝีมือระดับหกอย่างแท้จริงแล้ว!
ส่วนตัวเจียนเฉินนั้นคิดอยู่ที่อาณาจักรนภาสวรรค์เก้าดาวมาไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี ทั้งๆ อย่างนั้นกลับไม่สามารถแตะฐานของระดับต่อไปได้เสียด้วยซ้ำ
ความแตกต่างระหว่างตัวเขาและเย่หยวนมันช่างมากล้ำ!
“หึ่ม! กายทองคำสัมบูรณ์ระดับหกแล้วจะทำไม? สุดท้ายตอนนี้ก็ยังไม่สามารถขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้หรือต่อให้จะขึ้นได้ในเร็ววันมีหรือที่เขาจะเรียนรู้การหลอมโอสถหกชีพจรดวงดาวได้ในเวลาสั้นๆ แค่นี้? แล้วจะรักษาอาการสะท้อนของอาจารย์ได้อย่างไร?” เจียนเฉินร้องบอกด้วยความดูถูกอีกครั้ง
เจียนหงเซียวขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินก่อนจะร้องตะโกน “เจ้าคนปากเสียนี่! เฉินเอ๋อ ในโลกของนักยุทธนั้นผู้แข็งแกร่งคือผู้เหนือล้ำ ตอนนี้เมื่อเย่หยวนขึ้นมาเป็นผู้คนในรุ่นเดียวกับข้าได้แล้วมีหรือที่เจ้าจะยังสามารถพูดจาเช่นนี้ออกมาได้?”
แต่เย่หยวนกลับพูดแทรกขึ้นมาก่อนพร้อมยกมือขึ้นห้าม “ข้าไม่คิดมากหรอก เดิมทีพี่เจียนเฉินนั้นก็แก่กว่าข้าอยู่แล้ว ที่สำคัญเขายังแค่เป็นห่วงเรื่องร่างกายของท่านผู้อาวุโส หึๆ นอกจากนี้… อีกไม่นานเขาก็คงจะขึ้นมายืนในจุดนี้ได้แล้ว”
พูดไปเย่หยวนก็ได้ยื่นขวดโอสถหนึ่งไปให้แก่เจียนเฉินด้วยรอยยิ้ม “พี่เจียนเฉิน นี่คือโอสถฟ้าตะวันจันทราที่เย่ผู้นี้หลอมขึ้นมา ท่านโปรดรับมันไว้เถิด เย่ผู้นี้ได้รับการดูแลจากท่านผู้อาวุโสมามากและไม่มีอะไรจะตอบแทนให้มากมายนอกเสียจากเจ้าสิ่งนี้ โอสถนี้ คิดเสียว่ามันเป็นค่าดอกบุญคุณที่ติดค้างกัน”
ด้วยหอมหาสมบัติที่หนุนหลังอยู่เย่หยวนย่อมจะสามารถหาโอสถได้อย่างง่ายดายการหลอมโอสถฟ้าตะวันจันทราขึ้นมาสักสองสามเม็ดนั้นย่อมมิใช่เรื่องยาก
เพียงแค่ว่าโอสถฟ้าตะวันจันทราที่เย่หยวนมีนั้นมันก็ไม่ได้มากมาย เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียสมุนไพรวิญญาณในระดับนี้ทางหอมหาสมบัติเองก็คงไม่อาจจะหามามอบให้เย่หยวนได้ตลอดเวลา
ส่วนทางเจียนหงเซียวนั้นเย่หยวนรู้สึกขอบคุณเขามาตลอด เพราะหากไม่ใช่เพราะเขาลงแรงหาที่อยู่ของอิ้งหมัวหู่ให้ เย่หยวนคงต้องเจ็บปวดแค้นหัวใจไปจนตาย
เย่หยวนย่อมรู้ดีว่าเจียนเฉินผู้นี้คือศิษย์ที่เจียนหงเซียวรักและดูแลใกล้ชิดที่สุด
เจียนเฉินผู้นี้ดูท่าแล้วคงติดอยู่ที่ยอดของอาณาจักรนภาสวรรค์มานานแต่ก็ยังไม่อาจหาวิธีบรรลุได้ ทำให้เกิดความเจ็บแค้นขึ้นมาในใจ
เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงได้ตัดสินใจมอบโอสถล้ำค่านี้ให้แก่เขา
เมื่อเจียนหงเซียวและเจียนเฉินได้ยินพวกเขาก็เบิกตามองนิ่งไปทันที
เจียนเฉินที่รับโอสถไปนั้นดูท่าทางแข็งทื่อเหมือนตุ๊กตาไม้ก่อนจะส่งจิตของตนลงไปตรวจสอบดูภายใน และนั่นมันยิ่งทำให้ทั้งร่างของเขาแข็งกลายเป็นหินไป
“ข-ขั้นเทวะวิญญาณไพศาล! นี่… ข้าดูผิดไปหรือ?”
คำที่เจียนเฉินพูดออกมามันแทบจะไม่เป็นภาษา
เขานั้นส่งจิตลงไปตรวจสอบดูอีกครั้งและผลลัพธ์ก็คือโอสถนี้มันเป็นขั้นเทวะวิญญาณไพศาลจริงๆ!
โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณไพศาลมันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต ไม่ต้องพูดถึงโอสถฟ้าตะวันจันทราขั้นเทวะวิญญาณไพศาลเลย!
ในวินาทีนี้สมองของเขามันโล่งไปหมดอย่างที่ไม่อาจจะคิดเรื่องใดๆ ได้
เขารู้แค่ว่าวันนี้เขาโชคดี!
ได้ยินคำของเจียนเฉินแม้ทางเจียนหงเซียวจะเป็นยอดคนพบเจอเรื่องราวในโลกมามากมายเขาก็อดไม่ได้ที่จะเปิดปากค้างไม่แพ้กัน
“ส-สหายหนุ่มเย่ นี่… โอสถนี้มันล้ำค่าเกินไป ให้เจียนเฉินรับไว้ไม่ได้หรอก!”
เมื่อเจียนเฉินได้ยินคำของอาจารย์เขาก็ตัวสั่นขึ้นทันที สีหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วยและมือที่ถือขวดโอสถนั้นอยู่มันก็ถูกกำแน่นขึ้น
เย่หยวนแค่เพียงยกมือขึ้นมาโบกปัดด้วยท่าทางสบายๆ “ผู้อาวุโสอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย ในสายตาของเย่ผู้นี้แล้วแม้จะเป็นโอสถฟ้าตะวันจันทราขั้นเทวะวิญญาณไพศาลนับพันหรือนับหมื่นเม็ดมันก็ไม่อาจเทียบเท่าชีวิตน้องชายได้! นี่คือสิ่งที่พี่เจียนเฉินต้องการในตอนนี้ ให้เขารับไปนั่นแหละดีแล้ว นอกจากนั้นเรื่องโอสถหกชีพจรดวงดาวที่พี่เจียนเฉินว่ามานี้มันคือโอสถประเภทใดกัน?”