Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2005 เพียงหนึ่งเผชิญกองทัพ
“สะ…สร้างเทพสวรรค์?”
ในวินาทีแรกนั้นอิ้งหมัวหู่มึนงงอย่างมาก แต่ไม่นานเขาก็กลับมาตั้งสติและหันไปมองทางไป๋ตง
ในหมู่คนทั้งหลายนั้นหากจะให้พูดถึงว่ามีใครที่ใกล้เคียงจะเป็นเทพสวรรค์ได้มากที่สุดมันก็ย่อมจะเป็นไป๋ตงแน่แล้ว
ไป๋ตงได้แต่ขมวดคิ้วแน่นก่อนจะส่ายหัวออกมา “ไม่มีประโยชน์ โอสถขั้นสูงของโอสถย้อนฝันพิรุณชำระนั้นมันเป็นถึงโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ด เจ้าในตอนนี้ย่อมจะไม่อาจหลอมมันได้”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ครั้งก่อนที่ข้าได้หลอมโอสถย้อนฝันพิรุณชำระขึ้นมาข้าก็ได้เริ่มทำการศึกษาเจ้าโอสถตัวใหม่นี้แล้ว แม้ว่าในเวลานี้มันอาจจะยังทำให้เจ้ากลับไปยังจุดสูงสุดไม่ได้ แต่แค่อาณาจักรเทพสวรรค์นั้นมันก็ยังพอเป็นไปได้”
เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวทุกผู้คนต่างก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นยินดีออกมาทันที
เช่นนั้นหมายความว่าวันหน้าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นจะมีเทพสวรรค์คอยปกปักดูแลอย่างนั้นหรือ?
ไป๋ตงเองก็ถามขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้คนอื่นๆ “จริงหรือ?”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “โอสถย้อนฝันพิรุณชำระนั้นมันเป็นโอสถที่ยากเย็นจริงๆ แต่หากเข้าใจมันได้แล้วมันก็จะหมดความยากเย็นใดๆ ไป ที่สำคัญเหล่าสมุนไพรวิญญาณที่โอสถนี้ต้องการมันก็มิได้เป็นสมุนไพรที่หายากเย็นใดๆ ก่อนที่จะไปยังเมืองจักรพรรดิเลิศประกายข้าได้ขอร้องให้ทางหอมหาสมบัติเตรียมสมุนไพรระดับหกทั้งหลายนั้นไว้ให้แล้ว”
พูดไปเย่หยวนก็หยิบโอสถเม็ดหนึ่งออกมา
ไป๋ตงที่ได้เห็นก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงมองเย่หยวนเขม็ง
เจ้าเด็กคนนี้มันทำให้ผู้คนต้องอิจฉาจนจะบ้าตายแล้ว!
เพียงเท่านั้น?
ไม่ว่าจะอย่างไรเสียมันก็ยังเป็นโอสถความยากเก้า!
คนอื่นๆ แค่ทำตามสูตรยังแทบไม่มีปัญญาแต่เจ้ากลับสร้างโอสถเลียนแบบขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
เป็นนักหลอมโอสถเหมือนกันแต่เหตุใดความแตกต่างมันช่างเหนือล้ำ?
ไป๋ตงได้แต่ต้องยอมรับว่าวิชาการโอสถของเย่หยวนคนนี้มันเหนือล้ำลึกซึ้งกว่าที่จะเอาผู้คนไปเปรียบเทียบ
ความเข้าใจของเย่หยวนที่มีต่อโอสถนั้นมันคือความเข้าใจตรงถึงต้นกำเนิด
และปัญหาก็คือนักหลอมโอสถคนอื่นๆ นั้นไม่ได้มองโอสถอย่างทะลุลึกซึ้งปานนั้น
สูตรโอสถนั้นมันไม่เคยจะเป็นสิ่งเหนือล้ำใดๆ ในสายตาของเย่หยวน
“แล้วฤทธิ์ของมันเป็นอย่างไร? ข้าได้ยินมาว่าเทพสวรรค์หลู่เหยียนนั้นเป็นถึงเทพสวรรค์สองดาว” ไป๋ตงรับโอสถไปพร้อมกล่าวถาม
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “วางใจเถอะ กำลังของเจ้าจะไม่อ่อนแอกว่ามันแน่ ถึงเวลานั้นข้าจะมอบเกราะศึกรุ้งเขียวให้เจ้าด้วย เจ้าย่อมจะไม่มีทางแพ้มันแน่”
ทุกผู้คนต่างตกตะลึงสายตาเปี่ยมไปด้วยความยินดี ไม่มีใครคาดฝันว่าเย่หยวนจะเตรียมการไว้พร้อมถึงขนาดนี้
“แต่พี่ใหญ่ ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิห้าสวรรค์นั้นมันมีเทพสวรรค์อยู่ถึงสามคน! และนอกจากเทพสวรรค์อีกสองคนนั้นแล้วพวกมันยังมีกำลังกองทัพเทพถ่องแท้อีกนับพันๆ” อิ้งหมัวหู่พูดขึ้นราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้
เพราะแม้ว่ากำลังระดับสูงสุดนั้นจะมีคนจัดการให้แล้วแต่กำลังที่เหลือของอีกฝ่ายก็ยังแข็งแกร่งมาก
เมื่อไป๋ตงถูกหลู่เหยียนสกัดไว้แล้วเทพสวรรค์หนึ่งดาวอีกสองคนนั้นก็จะบุกเข้าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์มาพร้อมกับกองทัพเทพถ่องแท้นับพันๆ คนที่เหลือนั้นย่อมจะไม่มีทางขัดขวางพวกเขาได้!
เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้มกว้างออกมา “แค่พวกหมูหมากาไก่มีอะไรให้ต้องกังวล? พวกเจ้าทำใจให้สบายแล้วไปพักผ่อนเสียเถอะ”
เมื่อทุกผู้คนได้ยินเช่นนั้นดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้างขึ้นทันที
ดูท่าว่าเย่หยวนจะเตรียมการรับมือสถานการณ์ไว้นานแสนนานแล้ว
และแน่นอนว่าคำพูดเดียวของเขานี้มันย่อมจะทำให้คนทั้งหลายใจเย็นลงได้มาก
…
ในวันนี้สายตาของทหารบนกำแพงเมืองต้องเบิกกว้างเพราะจุดสีดำที่ปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้าและกำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเขาทั้งหลาย
เหล่านักยุทธ์มากมายมหาศาลนั้นมันราวกับฝูงตั๊กแตนทำให้ผู้คนที่เห็นต้องขนลุกขนพอง
ทหารยามผู้หนึ่งร้องบอกขึ้น “นี่มัน… มันจะ… น่าเกรงขามเกินไปแล้ว! ข้าไม่เคยได้พบเจอเทพถ่องแท้มากมายขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิตนี้!”
เมื่อทหารเหล่านั้นเห็นภาพที่เส้นขอบฟ้าพวกเขาต่างก็หวาดกลัวจนขาสั่น
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียเรื่องราวเช่นนี้มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในมหาพิภพถงเทียน
กองทัพเทพถ่องแท้จำนวนมากมายเช่นนี้มันย่อมทำให้ผู้คนที่ได้ยินได้ฟังต้องขนลุก
และการใช้กำลังในระดับนี้เพื่อเข้าบุกเมืองจักรพรรดิน้อยๆ มันยิ่งไม่เคยจะเกิดขึ้นมาก่อน
ทหารยามอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าซีดเซียว “มันจบแล้ว ทุกอย่างมันจบสิ้นแล้ว! เราจะไปต่อสู้ได้อย่างไร? นี่มันคนละระดับกันแล้ว!”
แม้ว่าพวกเขาทั้งหลายนั้นจะเตรียมใจตามไปพร้อมเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แต่เรื่องราวตรงหน้านี้มันก็ยังทำให้พวกเขาต้องสั่นสะท้านไปทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ
หัวหน้าทหารยามจึงตวาดว่ากล่าวลูกน้องขึ้น “จะยืนนิ่งรออะไรอีกเล่า? รีบไปรายงานเรื่องแก่ท่านเย่หยวนเร็ว!”
แต่ทหารยามผู้นั้นกลับไม่คิดขยับตัว ทำเพียงแค่ยกมือขึ้นมาชี้ไปในทิศทางหนึ่ง “มะ…ไม่ต้องแล้ว ท่านเย่หยวน… ออกมาแล้ว”
คำพูดนี้มันทำให้ทหารทุกคนหันไปมองยังจุดที่เขาผู้นี้ชี้และได้พบกับชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งยืนอยู่บนยอดกำแพงเมืองพร้อมมือไขว้หลัง สายตาของเขานั้นกำลังจับจ้องไปยังเส้นขอบฟ้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยศัตรูนั้น
“ทำไมนายท่านถึงออกมาคนเดียวเช่นนี้? หรือว่าท่านคิดจะออกไปจัดการกับทัพนับหมื่นนั้นด้วยตัวคนเดียว?” ทุกผู้คนร้องขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว
หัวหน้าทหารยามนั้นพยายามรวบรวมความกล้าอยู่นานก่อนจะกล่าวถามขึ้น “ท่านเย่หยวน ท่าน… คิดจะทำอะไรหรือ?”
เย่หยวนหันกลับมาหาเขาด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ให้ข้าจัดการเอง”
คำตอบนี้มันทำให้พวกเขาทั้งหลายต้องแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
ปะทะกับกองทัพด้วยตัวคนเดียว?
ที่สำคัญอีกฝ่ายยังมีจำนวนเทพถ่องแท้ราวห้าถึงหกพันคน!
หัวหน้าทหารยามนั้นกล่าวขึ้นเตือน “นายท่าน ท่านอย่าได้คิดทิ้งชีวิตเลย! แม้ว่าเราจะอ่อนแอเพียงใดเราก็จะขอสู้ตายไปกับท่าน”
เย่หยวนที่ได้ยินจึงยิ้มตอบกลับไป “พวกเจ้าไม่ต้องลงมือใดๆ หรอก แค่หมูหมากาไก่ อย่าได้กังวลนักเลย”
เมื่อทุกผู้คนได้ยินพวกเขาก็แทบพูดไม่ออก
หมูหมากาไก่?
ต่อให้จะเป็นเพียงแค่หมูหมากาไก่แต่เมื่อขึ้นมาถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้แล้วมันก็ยังมิใช่สิ่งที่พวกเขาจะต้านทานได้!
เหล่านักยุทธ์ทั้งหลายนั้นเดินทัพมาด้วยเสียงโห่ร้องทำให้คนทั้งหลายรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งจิตใจ
เย่หยวนขยับตัวพุ่งออกไปรับกองทัพนั้น
เมื่อคนทั้งหลายเห็นชายหนุ่มผู้นี้พุ่งตัวเข้ามาพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าสุดมึนงงออกมา
“หยุด!”
ตอนนี้กองทัพใหญ่นั้นจึงได้หยุดการเดินทัพลงและมองดูเย่หยวนจากระยะไกล
และเหล่าผู้คนทั้งหลายที่เดินนำทัพมานั้นมันเป็นถึงเทพถ่องแท้เก้าดาวผู้เก่งกาจ
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมารับหน้าเย่หยวนด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก “เด็กน้อย เหตุใดเจ้าถึงออกมาผู้เดียวเล่า? คนอื่นๆ ไปที่ไหนเสีย? พวกเจ้ากลัวกันจนไม่กล้าออกมาแล้วหรือ?”
“หึ เจ้าคือเย่หยวนผู้นั้นหรือ? เจ้าเสียใจไหมเล่าตอนนี้? คิดจะออกมารับโทษตายของคนหรือ? แต่ว่ามันเปล่าประโยชน์ เพราะท่านหลู่เหยียนนั้นได้ออกคำสั่งล้างบางออกมาแล้ว วันนี้จะไม่มีคนเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์หลบรอดไปได้!” เทพถ่องแท้เก้าดาวอีกคนหนึ่งก้าวเท้าออกมา
“เด็กน้อย เจ้านั้นมันกินใจเสือดีหมีมาจริงๆ ถึงกล้าไปสังหารคุณหนูซือยีได้! ตอนนี้ต่อให้เจ้าจะยอมรับผิดอย่างไรมันก็ไร้ค่าแล้ว! เมื่อนี้จะต้องจมลงนรกไปพร้อมๆ กันเจ้า!”
เทพถ่องแท้เก้าดาวอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเย่หยวนด้วยใบหน้าเย้ยหยัน
เพราะเย่หยวนน้อยคนนี้มันเป็นได้เพียงแค่มดปลวกในสายตาของพวกเขา
ต่อให้เขาจะสังหารหลู่ซือยีลงได้แต่สุดท้ายเขาก็เป็นเพียงแค่เทพถ่องแท้สามดาว
ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์ล้ำฟ้าอย่างไรมันก็ย่อมจะไม่มีทางต่อต้านเทพถ่องแท้เก้าดาวได้
แค่พวกเขาสักคนลงมือจัดการเย่หยวนก็ไม่มีทางจะรอดไปแล้ว
เย่หยวนนั้นมองหน้าเหล่าเทพถ่องแท้เก้าดาวทั้งหลายด้วยสีหน้าท่าทางเรียบเฉย “พวกเจ้าทั้งหลายนั้นต่างเป็นยอดคนผู้ดูแลภูมิภาค เห็นแก่ความยากลำบากที่บ่มเพาะมานานปีข้าจะให้โอกาสพวกเจ้า รีบไปเสียแล้วข้าจะไว้ชีวิต!”
เสียงนี้มันไม่ได้ดังมากมายแต่มันกลับก้องอยู่ในหูของทุกผู้คน
ทุกผู้คนต่างมึนงงอย่างมากโดยเฉพาะเหล่าเทพถ่องแท้เก้าดาวตรงหน้าพวกเขา
เด็กคนนี้มันกลัวจนสมองพังแล้วหรือ?
มันบอกว่าอย่างไร?
ไว้ชีวิต?
แค่ลำพังตัวมัน เทพถ่องแท้สามดาว?
“ฮ่าๆ เจ้าหนู ข้าคงไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่? เจ้าจะบอกว่าลำพังตัวเจ้าก็มีปัญญาล้างบางพวกเราแล้วหรือ?”
เย่หยวนพยักหน้ารับออกมา “ใช่แล้ว”
…………………………