Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2101 ข้าคือคู่ปรับของเขา
“ฮ่า ๆ! ก้าวข้ามท่านขนแดง? แค่ลำพังตัวเจ้านี้?”
กงหยางเลี่ยนั้นหัวเราะลั่นราวกับว่าได้ยินเรื่องราวสุดแสนตลกเหนือล้ำ ใบหน้าของเขานั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความดูถูกอย่างมาก
คนระดับมหานักบวชขนแดงนั้นคือยอดคนปานใด? กงหยางเลี่ยนั้นติดตามรับใช้เขามาแสนนานและได้แต่ยอมรับนับถือเขาอย่างหมดหัวใจ
แปดล้านปีก่อน มหานักบวชขนแดงได้ก้าวขึ้นมาจากผืนดินเอาชนะผู้คนไปทั่วอาณาจักรเทพอสูรด้วยความเก่งกาจสามารถของเขา
จากนั้นเมื่อไม่มีใครในรุ่นเดียวกันเอาชนะเขาได้อีกต่อไป เขาก็ได้เข้าไปท้าทาย หมากล้อมนิรันดร์ ‘อย่าถาม’ จนทำให้ชื่อเสียงดังลั่นสนั่นทั้งแผ่นดินขึ้นอีกครั้ง!
ในเวลาแปดล้านปีมานี้มหานักบวชขนแดงได้ติดตามเรียนรู้วิชาจากมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจนทำให้วิชาการโอสถของเขามันเหนือล้ำก้าวหน้าไปอย่างมากมาย
แต่ชายหนุ่มตรงหน้านี้กลับบอกว่าจะก้าวข้ามมหานักบวชขนแดง?
มันเรื่องตลกชัด ๆ!
แม้ต่อให้ตัวเขาจะมียอดพรสวรรค์เรียนรู้ได้รวดเร็วกว่ามหานักบวชขนแดงไปมาก แต่หากคิดจะก้าวข้ามคนที่เดินนำมาก่อนนับล้าน ๆ ปีเช่นนี้มันย่อมจะต้องใช้เวลาอีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
ไม่ว่าจะอย่างไรเสียหากสิบล้านปีจากนี้เขาไปพูดว่าเมื่อก่อนเคยบอกว่าจะก้าวข้ามมหานักบวชขนแดงไป ใคร ๆ ก็คงจะเชื่อ แต่เรื่องราวอีกนับสิบล้านปีจากนี้ คนในปัจจุบันมันจะมีใครสน?
ซินหลัวและพวกเทพสวรรค์ทั้งหลายต่างก็แสดงสีหน้าท่าทางดูถูกเหยียดหยามออกมาอย่างเต็มที่ไม่มีการปิดปัง ดูท่ามันคงไม่มีใครจะเชื่อคำพูดนี้ของเย่หยวน
“หึ ๆ ใช่แหละ ให้เวลาเขาอีกแปดล้านปีบางทีเขาอาจจะก้าวทันมหานักบวชขนแดงได้”
“ท่านรองมหาปราชญ์ช่างเก่งล้ำ! เพียงแค่ว่าปากเช่นนี้ข้าไม่แน่ใจว่าเขาจะเอาชีวิตรอดไปอีกแปดล้านปีได้หรือไม่!”
“หลังจากนี้แปดล้านปีข้าจะก้าวข้ามโอสถบรรพกาลให้ดู! ไม่ว่าอย่างไรเสียการโม้มันก็ไม่เคยมีโทษถึงตายอยู่แล้ว!”
…
เหล่าเทพสวรรค์นั้นได้แต่แสดงใบหน้าท่าทางเหยียดหยามออกมา คำพูดที่กล่าวออกมานั้นมันมีน้ำเสียงเย้ยหยันอย่างชัดเจน
เย่หยวนยังคงรักษาใบหน้านิ่งเรียบของตนไว้และตอบคำถามกลับไปด้วยคำถามแทน “พวกเจ้าทั้งหลายเคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจึงได้ตั้งคนไม่มีที่มาที่ไปอย่างข้าขึ้นเป็นรองมหาปราชญ์? เขานั้นให้ค่าพรสวรรค์ของข้ามากจริง ๆ หรือว่าแท้จริงแล้วเขาแค่แก่จนเลอะเลือน?”
“เรื่องนั้น…” กงหยางเลี่ยนั้นต้องผงะไปกับคำถามนั้นทันทีเพราะตัวเขาไม่เคยจะคิดไปถึงจุดนั้น
มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นย่อมมีความคิดที่แตกต่างอย่างที่เขาไม่อาจคาดเดาทำความเข้าใจได้
เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะทำความเข้าใจเจตจำนงของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเลย
ตอนนี้เมื่อถูกเย่หยวนถามเข้าเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายต่างต้องเงียบปากลง ได้แต่รอฟังมันอย่างหูตั้ง
ดูท่าแล้วคำถามนี้พวกเขาทั้งหลายก็คงได้แต่คิดมันอยู่ในใจมาแสนนาน
เย่หยวนกล่าวขึ้นต่อ “เมื่อขึ้นไปถึงระดับของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลแล้วตัวเขายังจะต้องการสิ่งใด? แน่นอนว่ามันย่อมจะเป็นยอดของเต๋าโอสถเพียงเท่านั้น! เขานั้นได้ไปถามโอสถบรรพกาลว่าเต๋านั้นคือสิ่งใด แต่โอสถบรรพกาลกลับเลี่ยงคำถามด้วยคำว่า ‘อย่าถาม’ สองคำนี้ เพราะฉะนั้นเขาจึงได้หันหน้ามาถามโลกหล้าว่าเต๋ามันคือสิ่งใด! เขานั้นตามหาคำตอบนั้นมานับล้าน ๆ ปีและในที่สุดเขาก็ตามหาคนที่จะสนทนาเรื่องนี้กับเขาได้! และมันผู้นั้นก็คือข้า!”
เย่หยวนนั้นจ้องมองคนทั้งหลายด้วยสายตาเหยียดหยันพร้อมตอกหน้าเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายไป “นาม ‘รองมหาปราชญ์’ นี้มันเป็นสิ่งที่เขาหวัง หวังว่าข้าจะขึ้นไปนั่งโต้เรื่องเต๋ากับเขาได้! พวกเจ้าทั้งหลายเข้าใจหรือไม่?”
ภายในห้องโถงนั้นมันเกิดความเงียบงันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พวกเขาทั้งหลายนั้นได้แต่ตกตะลึงกับความโอหังของเย่หยวนจนไม่อาจจะพูดใด ๆ ได้
พวกเขานั้นไม่ได้นับถือว่าคำพูดของเย่หยวนเป็นความจริงแต่อย่างใด เพียงแค่ว่าพวกเขาตกตะลึงกับความโอหังของเย่หยวน
ตัวตนระดับมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นคือใคร?
สำหรับเผ่าอสูรแล้ว ตัวเขามันก็คือเทพเจ้าดี ๆ นี่เอง!
ตัวเขานั้นสร้างจักรพรรดิเทพสวรรค์ขึ้นมามากมายมหาศาลด้วยมือของตน!
เวลานี้ยอดค่ายสำนักต่าง ๆ ในเผ่าอสูรต่างจะยกย่องมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเป็นดั่งเทพเจ้าผู้ปกครองโลกา
แม้ว่าตัวเหล่าศิษย์ทั้งหลายเองก็เป็นถึงยอดคนผู้ปกครองดินแดนกว้างใหญ่ แต่เมื่อไปอยู่ต่อหน้ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลแล้วพวกเขาก็ได้แต่ต้องก้มหัวลงกราบเท้ารับเขาเป็นอาจารย์ ไม่มีใครกล้าพูดจาว่าจะเป็นคู่ปรับคู่แข่งของเขาได้
ตอนนี้มันกลับมีเทพถ่องแท้น้อย ๆ คนหนึ่งมาพูดอ้างตัวจะเป็นคู่แข่งของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล
มันเป็นความโอหังที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงจนลืมคำพูด!
“อ-โอหัง! อวดดีนัก! มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นคือยอดฝีมือที่คนทั้งมหาพิภพถงเทียนยกให้เป็นยอดคนอับดับสองแห่งเต๋าโอสถ! หลายต่อหลายล้านปีมานี้มันไม่มีใครกล้าจะท้าทายท่าน เจ้านี้กลับบอกว่าตนจะขึ้นไปเป็นคู่แข่งของท่านหรือ?” กงหยางเลี่ยร้องบอก
แต่เย่หยวนกลับส่ายหัวออกมา “ห่านมันจะมาเข้าใจหงส์ได้อย่างไร! ไม่ว่ายอดฝีมือจะเก่งกาจปานใดพวกเขาเองก็ล้วนก้าวขึ้นมาจากความอ่อนแอ! พวกเจ้านั้นไม่มีปัญญาจะคิดถึงแม้เรื่องนั้น แน่นอนว่าพวกเจ้าทั้งหลายย่อมจะไม่อาจก้าวขึ้นไปถึงระดับของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลได้ เส้นทางของยอดคนนั้นมันแสนเดียวดาย เรื่องนั้นเองพวกเจ้าก็คงไม่อาจเข้าใจได้”
เย่หยวนนั้นแค่กล่าวถึงความเป็นจริงในโลกหล้าออกมาแต่คำพูดนี้มันกลับฟังดูโอหังอวดดีเมื่อไปเข้าหูของเหล่าผู้คนทั้งหลาย ในสายตาของพวกเขาทั้งหลายแล้วเด็กคนนี้มันคงเสียสติไปแล้ว
เหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายได้แต่ยืนนิ่งอย่างมึนงง!
เดิมทีตอนที่เย่หยวนบอกว่าจะก้าวล้ำมหานักบวชขนแดงขึ้นไป พวกเขาต่างคิดตื่นตะลึงไปตาม ๆ กัน
ตอนนี้เมื่อเย่หยวนบอกชื่อนามของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลออกมา เขากลับอ้างตัวว่าจะเป็นคู่แข่งคู่ปรับกับตัวเขาผู้นั้น
“หึ ๆ เจ้าพวกฝูงกบในกะลา พูดกับพวกเจ้าทั้งหลายไปพวกเจ้าก็ใม่อาจจะเข้าใจได้ กงหยางเลี่ย เจ้าอยากจะจัดการข้ามิใช่หรือ? เช่นนั้นวันนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้า! วันนี้ข้าจะขอประลองวิชาเต๋ากับเหล่านักบวชเจ็ดดาวทั้งหลายในที่นี้เอง หากมันมีใครในหมู่พวกเจ้าที่สามารถล้มข้าลงได้ ข้าจะออกจากอาณาจักรเทพอสูรไปและไม่กลับมาเหยียบดินแดนนี้อีกชั่วชีวิต!” เย่หยวนบอก
เมื่อคำพูดนั้นถูกกล่าวทางกงหยางเลี่ยก็ต้องเบิกตากว้าง
เพราะตัวเขานั้นไม่พอใจในท่าทางโอหังนี้มานาน เมื่ออีกฝ่ายคิดอยากหาเรื่องใส่ตัวเองถึงขั้นบอกว่าจะไม่เหยียบเข้าอาณาจักรเทพอสูรมาอีก แน่นอนว่าคนอื่น ๆ ก็คงจะมาโทษตัวเขาไม่ได้แล้ว
ซินหลัวที่ได้ยินต้องหรี่ตาลงมอง “ท่านรองมหาปราชญ์ นี่ท่านพูดเองนะ!”
เย่หยวนจึงตอบกลับไป “ข้านี่แหละพูด! หากวันนี้มีพวกเจ้าคนใดเอาชนะข้าได้ ข้าเองก็คงไม่หน้าด้านจะรับนามรองมหาปราชญ์นี้ไว้เช่นกัน!”
ซินหลัวหัวเราะขึ้นมาทันที “ท่านรองมหาปราชญ์กล่าวได้ดี! แต่วิชาความสามารถของนักบวชเจ็ดดาวนั้นมันมิใช่สิ่งที่ท่านจะคาดเดาได้หรอก!”
เย่หยวนจึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “พลังฝีมือของข้าเองก็มิใช่สิ่งที่สมองน้อย ๆ ของเจ้าจะคาดคิดได้เช่นกัน!”
ซินหลัวที่ได้ยินจึงหันไปหาเทพสวรรค์ผู้หนึ่งในกลุ่มคน “หากเป็นเช่นนั้นแล้วนักบวชมู่เฉิน เจ้าออกมารับการสั่งสอนจากท่านรองมหาปราชญ์เสียหน่อย”
เทพสวรรค์มู่เฉินที่ได้ยินก็หัวเราะออกมา “ข้าน้อมรับคำสั่ง! เพียงแต่ว่า… สิ่งที่เราจะประลองกันนั้นมันย่อมจะเป็นโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ ท่านรองมหาปราชญ์จะมาประลองโอสถศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์กับข้าคงไม่ได้ เพราะเทพสวรรค์ผู้นี้หลอมมันไม่เป็น”
เมื่อคำพูดนั้นถูกกล่าวมันย่อมจะทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นไม่ขาดสาย
เย่หยวนย่อมจะพยักหน้ารับและตอบไป “วางใจเถอะ เราจะประลองโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์กันแน่”
โอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์และโอสถศักดิ์สิทธิ์นั้น สำหรับเย่หยวนในเวลานี้แล้วมันย่อมจะไม่แตกต่างกันมากมาย
เพราะสุดท้ายเส้นทางใด ๆ มันก็นำไปสู่ยอดเต๋า
ไม่ว่าจะเป็นโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์หรือโอสถศักดิ์สิทธิ์ สุดท้ายมันเองก็เป็นแค่เส้นทางย่อยของเต๋าโอสถทั้งสิ้น เหมือนดั่งเต๋าโอสถและเต๋าพิษก็เป็นเช่นเดียวกัน
ภายในวิหารนักบวชนั้นการจะเตรียมหลอมโอสถมันย่อมเป็นเรื่องง่ายดายไม่ยากเย็นใด ๆ ไม่นานพวกซินหลัวทั้งหลายก็เตรียมห้องหลอมพร้อมประลองเรียบร้อย
ระหว่างที่พวกเย่หยวนทั้งสองกำลังเตรียมตัวจะหลอมโอสถทางกงหยางเลี่ยก็ได้เข้ามากระซิบกับซินหลัว “มู่เฉินเก่งกาจหรือไม่? เขาต้องไม่ทำให้มหานักบวชขนแดงต้องเสียชื่อนะ!”
ซินหลัวจึงยิ้มตอบกลับไป “นายท่านโปรดวางใจเถอะ น้องมู่เฉินนั้นเป็นผู้มีกายไม้วิญญาณเป็นทุน ทั้งยังมีพรสวรรค์ด้านโอสถที่เหนือล้ำ นอกจากนั้นแล้วเขายังก้าวขึ้นไปถึงอาณาจักรเต๋าขั้นปลาย ในหมู่คนทั้งหลายนั้นเขาเองก็นับเป็นอับดับหนึ่งในสิบได้ มีหรือที่จะไม่สามารถจัดการนักบวชหกดาวลงได้?”
กงหยางเลี่ยจึงได้พยักหน้าออกมาด้วยความวางใจ
แม้ว่าตัวเขานั้นจะไม่ได้เป็นนักบวช แต่เมื่อได้ติดตามมหานักบวชขนแดงมานานปี เขาก็ย่อมพอจะเข้าใจถึงระดับขั้นความเก่งกาจของนักบวชได้ไม่ยาก
คนที่อยู่ถึงอาณาจักรเต๋าขั้นปลายนั้นมันย่อมจะนับเป็นยอดฝีมือในการโอสถ
และดูจากอายุของเย่หยวนแล้วต่อให้จะมีพรสวรรค์ล้นฟ้าปานใด แม้จะขึ้นถึงอาณาจักรเต๋าขั้นปลายได้แต่มันก็คงไม่อาจจะเทียบมู่เฉินได้
ภายใต้สายตาของคนทั้งหลายนั้นพวกเย่หยวนทั้งสองคนจึงได้เริ่มลงมือทำการหลอมโอสถ
ปัง!
ทางเทพสวรรค์มู่เฉินได้มีกายไม้วิญญาณเป็นทุนทำให้การหลอมโอสถของเขานั้นมีพลังรุนแรงลึกล้ำมาก
เมื่อเขาปล่อยคลื่นพลังการหลอมออกมาสมุนไพรใด ๆ ในหม้อมันย่อมจะเชื่อฟังเขาราวกับเป็นลูก
ศาสตร์หลอมอสูรของตัวเขาเองก็เก่งกาจขึ้นจนถึงขั้นอาจารย์
แต่เมื่อสายตาของทุกผู้หันไปมองที่เย่หยวน พวกเขากลับต้องร้องขึ้นอย่างไม่อาจห้ามใจ
“ช่างเป็นศาสตร์หลอมอสูรที่เฉียบคมนัก! มนุษย์จะบ่มเพาะศาสตร์หลอมอสูรขึ้นมาจนถึงระดับนี้ได้อย่างไร?” ซินหลัวได้แต่ร้องขึ้น
……………………….