Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2310 ความตกตะลึงของดันหยู่!
เย่หยวนยืนนิ่งด้วยสองมือไพล่หลัง แม้ต้องเผชิญกับจิตสังหารจากจักรพรรดิเทพสวรรค์เหยาชู ยอดฝีมือผู้มีพลังระดับเจ้าฟ้าดินแต่เขากลับไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย
เขานั้นไม่ได้กังวลว่าจักรพรรดิเทพสวรรค์เหยาชูจะลงมือใดๆ เพราะว่าเวลานี้ทั้งตัวโอสถบรรพกาลทั้งตัวมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลก็คงกำลังจ้องมองดูเรื่องราวอยู่
มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นคงกำลังหัวเราะลั่นอย่างตื่นเต้นดีใจ มีหรือที่จะปล่อยให้เย่หยวนตายลงไป?
หากบังคับให้มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลลงมือแล้วจริงๆ ทั้งอาณาจักรทหัยเมฆานี้คงได้ราบเป็นหน้ากลอง ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเล่นได้
แต่ระหว่างที่บรรยากาศกำลังหนักหน่วงอยู่นั้นมันก็ปรากฏชายชุดขาวผู้หนึ่งก้าวเท้าออกมาจากห้วงมิติมาหยุดอยู่ข้างจักรพรรดิเทพสวรรค์เหยาชู
จักรพรรดิเทพสวรรค์เหยาชูหันไปมองด้วยใบหน้าสั่นสะท้าน “ศิษย์พี่ใหญ่!”
ผู้มาถึงนี้มันย่อมจะเป็นศิษย์คนโตของโอสถบรรพกาล จักรพรรดิเทพสวรรค์ฉางเล่อแล้ว
จักรพรรดิเทพสวรรค์ฉางเล่อนั้นไม่ได้มีท่าทางยกตนข่มท่านเหมือนจักรพรรดิเทพสวรรค์เหยาชู เขาค่อยๆ กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มสุภาพ “อาจารย์บอกว่าอยากพบเจ้า เจ้าไปก่อนเถอะเดี๋ยวข้าดูแลงานต่อให้”
จักรพรรดิเทพสวรรค์เหยาชูผงะไปเล็กน้อยด้วยความอับอาย เพราะเวลานี้ศิษย์พี่ของเขากำลังเปิดช่องทางหนีรอดให้แก่เขา
แม้ว่าจะเป็นตอนที่เขาไปท้าทายมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจนพ่ายแพ้มา เขาก็ยังไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อับอายเช่นนี้
เขาไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้กลับจะต้องมาถูกเด็กน้อยคนหนึ่งเล่นงานจนแทบไม่มีหน้าพบผู้คน
จักรพรรดิเทพสวรรค์เหยาชูนั้นเกลียดแค้นอยู่เต็มอกแต่เขาก็ได้แต่ต้องตอบกลับไปพร้อมกัดฟัน “ขอรับ ศิษย์น้องขอตัวลาแล้ว”
พูดจบเขาก็รีบหันหน้าเดินจากไป
จักรพรรดิเทพสวรรค์ฉางเล่อมองดูเย่หยวนด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร “เดิมทีฉางเล่อนี้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจึงได้แต่งตั้งท่านเป็นรองมหาปราชญ์ขึ้นมา เมื่อได้เห็นเรื่องราวในวันนี้แล้วข้าก็ได้เข้าใจเสียทีว่าสายตาของท่านศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลมันเฉียบคมปานใด! รองมหาปราชญ์นั้นเอาชนะศิษย์น้องของข้าได้เช่นนี้วันหน้าท่านคงโด่งดังล้นมหาพิภพถงเทียนแล้ว”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็ต้องขมวดคิ้วแน่น
คนผู้นี้มันดูมีลับลมคมในใบหน้าของเขานี้ยิ้มจนตาหรี่ตั้งแต่ต้นจนจบประโยคราวกับเป็นพระโพธิสัตว์มาโปรดทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายจากเรื่องราวเมื่อครู่
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเย่หยวนจึงได้รู้สึกว่าจักรพรรดิเทพสวรรค์ฉางเล่อผู้นี้มันลึกลับและยากจะจัดการกว่าจักรพรรดิเทพสวรรค์เหยาชูไปมากล้น
คำพูดกล่าวนี้มันอาจจะฟังดูธรรมดาแต่มันกลับซ่อนดาบคมมาไว้อย่างแยบยล นอกจากจะเปิดทางให้อาณาจักรหทัยเมฆาได้หลบรอดแล้วเขายังกลับเสียดแทงเย่หยวนมาได้ด้วย
งานประชุมโอสถสหภูมิภาคครั้งนี้มันถูกจัดขึ้นมาด้วยน้ำมือของอาณาจักรทหัยเมฆาและก่อนหน้าก็เป็นตัวจักรพรรดิเทพสวรรค์เหยาชูที่พูดจายั่วเท้าไม่หยุด เวลานี้มันกลับกลายเป็นว่าเย่หยวนนั้นหิวกระหายชื่อเสียงจนได้ใช้ตัวจักรพรรดิเทพสวรรค์เหยาชูเป็นหินเหยียบเท้า
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือมันหมายความว่าผู้ที่เย่หยวนเอาชนะได้มันเป็นแค่ตัวจักรพรรดิเทพสวรรค์เหยาชู มิใช่อาณาจักรทหัยเมฆาทั้งหมด
นี่มันเหมือนเป็นการประลองแลกเปลี่ยนความรู้ของยอดฝีมือ มิใช่การประชันอำนาจกันของสองขั้นอำนาจใดๆ
เหล่าบรรพกาลทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะหยักหน้ารับความเฉียมแหลมของจักรพรรดิเทพสวรรค์ฉางเล่อ
เย่หยวนหันไปมองและกล่าวขึ้น “แค่ชนะเด็กรุ่นหลังผู้หนึ่งจะมีอะไรให้ต้องอวดอ้าง จักรพรรดิเทพสวรรค์ฉางเล่อสนใจประลองกับเย่ผู้นี้เสียหน่อยหรือไม่?”
ความลึกลับของจักรพรรดิเทพสวรรค์ฉางเล่อนี้มันเหนือกว่าที่เขาจะมองออก
และสิ่งนั้นเองที่ทำให้เย่หยวนรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
แต่ใครจะไปคาดคิดว่าตัวจักรพรรดิเทพสวรรค์ฉางเล่อกลับหัวเราะขึ้นมาและยกมือขึ้นโบกปัด “แม้แต่ศิษย์น้องข้ายังพ่ายแพ้ จักรพรรดิผู้นี้เองก็คงไม่กล้าไปท้าทายรองมหาปราชญ์หรอก เอาล่ะ เรื่องราวทางการมันสำคัญกว่า มาเริ่มงานประชุมโอสถสหภูมิภาคกันต่อเถอะ”
เวลาเดียวกันนั้นเองมันก็ปรากฏประตูเคลื่อนย้ายขึ้นมาอีกครั้ง
การแข่งขันรอบที่สองได้เริ่มขึ้นแล้ว
เมื่อพายุหนักหน่วงนั้นผ่านพ้นไปแน่นอนว่าคนทั้งหลายย่อมจะไม่อาจทำใจให้สงบได้
คนทั้งหลายนั้นต่างกระซิบกระซาบกันและแน่นอนว่าหัวข้อที่พูดกล่าวมันย่อมจะเป็นเรื่องของรองมหาปราชญ์เย่หยวน
แรงกระทบที่เกิดขึ้นจากการประลองนั้นมันมิได้จบลงแค่ในงานประชุมโอสถสหภูมิภาคนี้แต่มันจะส่งผลไปถึงวงการโอสถโดยภาพรวม
วงการโอสถนั้นมันไม่ได้มีเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้เกิดขึ้นมาแสนนาน แต่มันกลับได้เกิดความวุ่นวายเช่นนี้ขึ้นมาจากการปรากฏกายของเย่หยวน
แม้แต่ตอนที่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลไปคิดท้าทายโอสถบรรพกาลเมื่อครานั้นมันก็ยังไม่ได้สร้างความแตกตื่นเท่าเรื่องการประลองนี้ของเย่หยวน
เพราะจะอย่างไรเสียในตอนนั้นที่ตัวมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลไปท้าทายโอสถบรรพกาลนั้นตัวเขาเองก็เป็นถึงเจ้าฟ้าดินผู้หนึ่งแล้ว เขานั้นเป็นยอดคนที่มีอายุมายาวนานหลายแสนหลายล้านปี
แต่เย่หยวนนั้นอายุเท่าใด?
เขานั้นเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุไม่ถึงสามพันปี ต่อหน้าเหล่าบรรพกาลทั้งหลายแล้วเขาย่อมจะเป็นแค่เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่ง
อายุเท่านี้มันไม่มีอะไรต้องสนใจ!
เย่หยวนนั้นมีความเป็นไปได้ที่ไร้จำกัดจนเหนือกว่าที่ใครจะกล้าจินตนาการ
หลังจบงานประชุมโอสถสหภูมิภาคครั้งนี้ไปแล้ววงการโอสถมันคงได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล ทางวิหารนักบวชนั้นอาจจะก้าวขึ้นมาใกล้เคียงกับอาณาจักรทหัยเมฆาได้อีกขั้น
หรือบางทีวันหนึ่งพวกเขาอาจจะก้าวขึ้นมาอยู่เคียงกันได้
ระหว่างที่คนทั้งหลายพูดคุยกันไปงานประชุมโอสถสหภูมิภาคก็ได้ผ่านพ้นไปรอบแล้วรอบเล่าเหล่าผู้คนที่พ่ายแพ้ออกไปนั้นมันยิ่งมีมากขึ้นทุกวี่วัน เหล่ายอดคนหนุ่มสาวทั้งหลายนั้นเริ่มจางหายไปจนแทบสูญสิ้น
โซวรุยนั้นเป็นเหมือนอาจารย์ปู่ของเขาที่มีท่าทางไม่สนใจโลกหล้า การประลองใดๆ ของเขานั้นไม่เคยจะเกินเวลาสองชั่วโมง
หลายต่อหลายครั้งนั้นหลังผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆ ฝ่ายศัตรูของเขาก็จะยอมแพ้ออกมาเอง
แม้ว่าหยุนยี่และหนิงซืออวี๋นั้นจะเอาชนะมาได้ตลอดในกลุ่มของตนแต่พวกเขานั้นก็ยังไม่ได้โดดเด่นเท่าโซวรุย พวกเขานั้นดูธรรมดาจนเกินไปเมื่อต้องมาอยู่ท่ามกลางเหล่ายอดอัจฉริยะเช่นนี้
มันเป็นฝ่ายเหล่าศิษย์อัจฉริยะจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่เก่งกาจเหนือผู้คนเอาชนะไปได้อย่างโดดเด่นเหนือกว่าคนทั้งสอง
แต่สิ่งที่แปลกก็คือไม่ว่าจะอีกฝ่ายจะเป็นยอดคนประเภทใดคนทั้งสองก็จะยังสามารถเอาชนะมาได้ด้วยความยากลำบาก
จนหยุนยี่ได้บังเอิญไปเจอกับทวดของตนอย่างเทพสวรรค์ดันหยู่เข้า
และสุดท้ายมันก็เป็นฝ่ายหยุนยี่ที่เอาชนะเทพสวรรค์ดันหยู่มาได้ เอาชนะทวดของตน
เทพสวรรค์ดันหยู่นั้นมีกำลังไม่อ่อนแอในหมู่อาณาจักรบรรพกาลทั้งหลายแต่หลังจากแพ้ให้หยุนยี่เขาก็รู้สึกตื่นตะลึงอย่างสุดใจ
เขานั้นไม่นึกไม่ฝันว่าเวลาแค่พันปีนี้หยุนยี่กลับจะเติบโตขึ้นไปเหนือกว่าเขาได้!
เพราะจะอย่างไรเสียแม้หยุนยี่จะมากพรสวรรค์อย่างไร แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็ยังเป็นแค่เด็กน้อยไร้ฝีมือคนหนึ่งในสายตาเขา
แต่เจ้าเด็กน้อยคนนั้นในวันนี้กลับเอาชนะเขาได้ในทุกๆ ด้านของการโอสถ
เวลาพันปีนิดๆ นี้หยุนยี่กลับสามารถเดินได้เท่ากับที่คนอื่นเดินนับล้านๆ ปี แน่นอนว่าแล้วตัวเทพสวรรค์ดันหยู่ย่อมจะตื่นตะลึงสุดใจ
กับเรื่องของหยุนยี่นี้ตัวเขาย่อมจะไม่พอใจเหลนผู้นี้อย่างมาก
เพราะในสายตาของเขานั้นการกระทำของหยุนยี่มันคือการทรยศอย่างไม่ต้องสงสัย
หากเป็นการทรยศของคนอื่นก็ยังพอว่าปล่อยผ่านไป แต่นี้เขากลับถูกเหลนแท้ๆ ทรยศจนทำให้เขาแทบต้องกระอักเลือดด้วยความเคียดแค้น
แต่เวลานี้จิตใจของเขามันกลับสงบลงอย่างไม่น่าเชื่อ เวลานี้เขาเริ่มจะได้เข้าใจเส้นทางที่หยุนยี่เลือกแล้ว
ดันหยู่นั้นรู้สึกว่าตัวเองช่างคิดสั้นมองเห็นแค่เรื่องตรงหน้าไม่อาจเอาไปเทียบกับเหลนคนนี้ได้เสียด้วยซ้ำ
เทียบกับพลังฝีมือแล้วผลกำไรนิดๆ หน่อยๆ นั้นมันจะมีค่าใด?
เมื่อมีกำลังฝีมือ มีหรือที่จะยังต้องกลัวอดตาย?
เขานั้นต่อสู้เลือดตาแทบกระเด็นแย่งชิงตลาดของแดนใต้ ตลาดน้อยๆ นั้น ส่วนตัวหยุนยี่นั้นกลับได้ขึ้นมาก้าวยืนอยู่ในแนวหน้าของมหาพิภพถงเทียน ถกวิชากับยอดอัจฉริยะจากทั่วสารทิศ!
มันแตกต่างกันจนไม่อาจเอามาเทียบได้!
สิ่งที่เขาตื่นตะลึงที่สุดก็คือเย่หยวนนั้นกลับไม่ได้ปกปิดวิชาใดๆ และสอนสั่งหยุนยี่ออกมาอย่างสุดความสามารถ
แค่นี้มันก็มากพอจะบอกแล้วว่าเย่หยวนนั้นเป็นคนอย่างไร
พรสวรรค์ของหยุนยี่นั้นเป็นเช่นไร ดันหยู่ย่อมพอรู้
เขานั้นเป็นอัจฉริยะ แต่หากเอาไปเทียบกับเหล่ายอดคนจากทั้งมหาพิภพถงเทียนแล้วมันจะมีค่าใด?
แต่หยุนยี่ที่ถูกเย่หยวนสั่งสอนมานี้มันกลับเก่งกาจเทียบเคียงเหล่าคนทั้งหลายนั้นได้!
เย่หยวนนั้นไม่ได้แค่เก่งกาจแต่เขานั้นมีวิชาการสั่งสอนที่เหนือล้ำกว่าผู้คนไปมากจนทำให้คนที่ได้สัมผัสต้องขนลุก
แต่ในที่แห่งนี้มันย่อมจะไม่มีใครสนใจว่าจิตใจของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเพราะเขานั้นเป็นได้แค่ตัวประกอบน้อยๆ
การประลองนั้นดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และมันก็ยิ่งทำให้ความตกตะลึงในจิตใจของดันหยู่นั้นหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
เส้นทางการเดินของหยุนยี่นี้มันไม่ได้ฉูดฉาด แต่มันหนักแน่น!
เขานั้นผ่านทุกอุปสรรคที่ขวางทางมาอย่างยากลำบากจนถึงรอบสุดท้าย
และคู่ต่อสู้ของเขาในรอบนี้มันย่อมจะเป็นโซวรุยแล้ว!
………………………..