Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2342 น่าสงสาร
“การผสานของสองพลังต้นกำเนิด! แข็งแกร่ง! จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว! ข้าบอกว่าอย่างไรเล่า? บอกแล้วมิใช่หรือว่าไม้ตายของมันนั้นต้องเป็นวิชาดาบ ข้าพูดผิดหรือไม่เล่า?”
หยางเคอนั้นรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างมาก ไม่รู้ว่าเพราะเขาได้เห็นค่ายกลดาบที่พลังสะท้านฟ้าหรือเพราะแค่ว่าเขานั้นเดาถูก
แต่เวลานี้เหล่าสมาชิกกลุ่มของเขานั้นต่างอ้าปากค้าง
เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่มีใครคิดฝันว่าหยางเคอจะพูดถูกจริง
เพียงแค่ว่าตัวหยางเคอก็ไม่คิดว่าวิชาดาบของเย่หยวนนั้นมันจะแข็งแกร่งไร้ต้านได้ถึงขั้นนั้น!
พลังต้นกำเนิดนั้นมันน่าตกตะลึงจนเกินรับ
ค่ายกลดาบที่สร้างขึ้นมาจากสองพลังต้นกำเนิดมันย่อมจะมีพลังไร้ต้านทานแล้ว
แม้แต่ยอดคนอย่างโมซีนั้นก็ยังตายตกลงไปอย่างรวดเร็ว
เย่หยวนนั้นย่อมไม่คิดรอช้าควบคุมค่ายกลดาบลอยพุ่งกลับมาใส่ตัวฉินหูต่อทันที
ฉินหูนั้นสั่นกลัวจนขาตายภายใต้เสียงระเบิดดังลั่นนั้นเขาก็ได้แต่ต้องกลับไปจุดเกิดใหม่อีกครั้ง
เหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาทั้งหลายที่ได้เห็นต่างตื่นตะลึงจนไม่อาจพูดกล่าว
พวกเขานั้นไม่นึกไม่ฝันว่าศึกนี้มันจะจบลงในสภาพเช่นนี้
พวกเขานั้นคิดว่ามันคงเป็นการต่อสู้ที่เหนือล้ำ เย่หยวนนั้นจะต้องพยายามต่อสู้อย่างดุเดือดแต่สุดท้ายก็จะแพ้ลงภายใต้การร่วมมือของฉินหูและโมซี
แต่ผลลัพธ์เวลานี้มันกลับไม่เหมือนที่คาดคิดไว้ ทุกสิ่งอย่างจบลงในเวลาแค่อึดใจ
เป็นเวลานี้เองที่พวกเขาทั้งหลายได้เข้าใจว่าเย่หยวนนั้นไม่มีอะไรให้ต้องกลัวจึงไม่ได้คิดสนใจฟังคำเตือนไร้สาระใดๆ
“เก่งกาจ! เจ้าหนุ่มนี่มันบ่มเพาะฝึกฝนมาอย่างไรกัน สัตว์ประหลาดชัดๆ!”
“ฉินหูคงฉิบหายแท้แล้ว เวลานี้แต้มเทพสงครามของมันคงเหลือไม่ถึงครึ่งแน่”
“กายทองคำสัมบูรณ์ระดับแปดมันก็น่าประหลาดใจพอแล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าเขานั้นกลับบรรลุสองบรรแห่งต้นกำเนิด?”
…
บนท้องฟ้านั้นแต้มเทพสงครามของเย่หยวนมันพุ่งทะยานและทะลุสามพันไปเรียบร้อย
การได้แต้มมากกว่าสามพันในวันแรกที่มาถึงเช่นนี้ เขาคงเป็นคนแรกที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้
เย่หยวนที่ได้นับแต้มเทพสงครามมาก็มุ่งหน้ากลับเข้าเมืองไปยังโถงสมบัติวิญญาณอีกครั้ง
เมื่อฮงเย่ได้เห็นเย่หยวนนางก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “นายท่านใช้แต้มเทพสงครามไปหมดแล้วมิใช่หรือ? กลับมาจะซื้ออะไรเพิ่มหรืออย่างไร?”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “มันมีคนใจดีเอาแต้มมาแบ่งให้ข้าไม่หยุดเลย แม่นางฮงเย่ ข้าต้องการดาบหยกแท้สิบเล่ม!”
ฮงเย่ที่ได้ยินก็ต้องอ้าปากค้างขึ้นมองดูเย่หยวนอย่างไม่อยากเชื่อ
ดาบหยกแท้นั้นมันเป็นดาบสมบัติวิญญาณจักรพรรดิเทพสวรรค์ขั้นสุดที่มีราคามากถึงสามร้อยเจ็ดสิบสองแต้มเทพสงคราม!
แต่เจ้าหมอนี่กลับคิดอยากได้มันถึงสิบเล่มในคราเดียว?
เขาไปเอาแต้มเทพสงครามขนาดนั้นมาจากที่ใด?
ฮงเย่นึกย้อนกลับไปถึงฉินหูทันทีแต่ก็ได้แต่คิดว่าฉินหูเองก็คงไม่มีแต้มมากมายถึงขั้นนั้นแน่
เมื่อถึงเวลาจ่ายเงินนางก็ได้รับรู้ว่าเย่หยวนนั้นมีแต้มเทพสงครามติดตัวอยู่มากมายมหาศาลจริงๆ!
แม้เย่หยวนจะเดินกลับออกมาจากโถงสมบัติวิญญาณแล้วแต่ฮงเย่ก็ยังไม่อาจจะตั้งสติกลับมาได้
เย่หยวนนั้นใช้แต้มเทพสงครามทั้งหลายที่มีจนสิ้นก่อนจะเดินหน้าออกไปจากเมืองเมฆหนุน
…
ในเมืองเมฆหนุนนั้นมันปรากฏร่างของผู้คนท่าทางกังวลใจ
“นี่ เจ้าเด็กนามเย่หยวนนั้นมันไปแล้วจริง?”
“ใช่ ข้าเห็นมันออกไปกับตาเลย!”
“เจ้าไม่ได้มองผิดไปใช่หรือไม่?”
“จริงแท้แน่นอน!”
ฉินหูนั้นถามคนผู้นี้เป็นคนที่เจ็ดแล้ว และทุกผู้คนนั้นก็ตอบกลับเขามาด้วยคำตอบเดียวกันนั้นคือเย่หยวนได้จากเมืองไปแล้ว เป็นเวลานี้เองที่เขาเริ่มจะกลับมาสงบจิตสงบใจลงได้
เมื่อกลับมาถึงเมืองเขาก็ย่อมจะถูกโมซีด่าจนยับ
ฉิบหายเองยังไม่เท่าไหร่ แต่นี่ลากเพื่อนไปฉิบหายด้วย
โชคยังดีที่ฉินหูนั้นไม่ได้หนีเอาตัวรอดในยามคับขันทำให้สายสัมพันธ์ที่มีมันจึงไม่ถึงขั้นตัดขาด
“เจ้าเด็กนั่นมันไปแล้ว รีบๆ ออกจากเมืองไปด้วยจะดีไหม? หากเราไปเจอเจ้าเด็กคนนั้นเข้าแล้วมันคงฆ่าสังหารเราอีกแน่!”
ฉินหูนั้นสอบถามคนทั้งเมืองเพื่อยืนยันให้แน่ใจก่อนจะตัดสินใจเดินทางออกเมืองทันที
เขานั้นไม่อยากจะไปเจอเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นอีกแล้ว!
แต่โมซีนั้นกลับระวังตัวมากกว่าเขานัก เขาส่ายหัวห้ามออกมา “รออีกสักสองวัน! ออกไปเวลานี้มันอาจจะยังไปเจอหน้ามันได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือมันอาจจะกำลังหลอกล่อเราอยู่ก็ได้”
“ใช่ๆ ใช่เลย! เจ้าคิดรอบคอบดีจริงๆ!” ฉินหูได้แต่ร้องกล่าว
สองวันต่อมาคนทั้งสองก็เดินออกมาจากเมืองด้วยท่าทางเหมือนโจรร้ายที่ถูกคนหมายหัว
เมื่อได้เห็นว่าตรงหน้าว่างเปล่าไร้เงาของเย่หยวนจิตใจของพวกเขาก็ค่อยผ่อนคลายลง
“รีบๆ ไปกันเถอะ อย่าได้ไปเจอเจ้าเด็กนั่นอีกเลย! ข้านั้นสอบถามมาแน่แล้วว่ามันนั้นมุ่งหน้าไปทางหุบปรารถนา เพราะฉะนั้นเราก็ควรไปอักทิศ ไปทางทุ่งกลางเถอะ!” ฉินหูแนะนำ
โมซีพยักหน้ารับ “ได้ เราจะไปทุ่งกลางกัน!”
แต่ก่อนที่คนทั้งสองจะได้ออกไปนั้นมันกลับเกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากความว่างเปล่า
“หนุ่มๆ เย่ผู้นี้รอมานานแล้ว พวกเจ้ารีบขนาดนี้คิดจะไปที่ไหนกันหรือ?”
ได้ยินเสียงนั้นฉินหูก็สั่นสะท้านขนลุกทั้งกายอย่างไม่อาจห้าม
นี่มันคือเสียงของปีศาจชัดๆ
จากนั้นเย่หยวนก็ค่อยๆ ก้าวออกมาจากห้วงมิติปิดทางออกจากเมืองของคนทั้งสองไว้
“จ-จ-เจ้า… เจ้าไปแล้วมิใช่หรือ? ท-ทำไมยังอยู่ได้เล่า?” ฉินหูนั้นถามขึ้นมาด้วยใบหน้าขาวซีดจนพูดไม่เป็นคำ
โมซีเองก็ตื่นตะลึงไม่แพ้กันแต่เขาก็กล่าวขึ้นมา “ดูท่ามันคงมีแนวคิดแห่งห้วงมิติที่เหนือล้ำความเข้าใจเราไปแล้ว! เพราะฉะนั้นเมื่อมันซ่อนตัวในห้วงมิติเราจึงไม่อาจจะจับถึงพลังของมันได้”
เรื่องนั้นย่อมเป็นแผนของเย่หยวนสิ้น เขานั้นทำท่าเหมือนเดินทางออกจากเมืองไป ก่อนจะค่อยซ่อนตัวเดินทางกลับมารอคนทั้งสองเดินทางออกนอกเมือง
ก่อนจะสังหารจนคนทั้งสองนี้ไม่กล้าออกเมือง มีหรือที่เขาจะยังไปที่อื่นได้?
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ในเมื่อพวกเจ้าเข้าใจแล้วข้าก็จะส่งเจ้ากลับไปเอง!”
“เดี๋ยวก่อน…”
ฉินหูนั้นทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่เย่หยวนไม่คิดสนใจฟังและส่งคนทั้งสองกลับจุดเกิดไปด้วยค่ายกลดาบในพริบตา
เพิ่งยื่นหน้าออกเมืองไปก็ต้องตายลงอีกแล้ว
ฉินหูนั้นได้แต่ต้องกลับมายืนนิ่งตรงจุดเกิดด้วยสีหน้าเหมือนคนอยากร้องไห้
เขานั้นเดิมทีมีแต้มเทพสงครามมากมายถึงสามพันเจ็ดร้อยกว่าแต้ม แต่หลังจากตายไปหลายครั้งนี้แต้มของเขานั้นมันเหลืออยู่ไม่ถึงครั้งจากที่มีแล้ว
เย่หยวนนั้นมันช่างน่าคับแค้น ใช้แต้มทั้งหมดที่ได้มาจากเขานั้นไปจนสิ้นเพื่อที่จะสามารถรีดแต้มจากเขาได้มากกว่าเก่า
เวลานี้ลำดับของเขานั้นมันตกมาเกินกว่าเก้าพันแล้ว
โมซีนั้นเองก็ไม่ได้ดีกว่าไปมากมาย เขานั้นตายน้อยกว่าฉินหูไปแค่ครั้งเดียวแต่แต้มที่มีมันก็ลดลงจนเกือบถึงครึ่ง
“ให้ตายสิ! เจ้าไม่มีอะไรทำแล้วหรือ? เจ้าไปท้าทายสัตว์ประหลาดประเภทใดไว้กัน?! นอกจากจะมีกายทองคำสัมบูรณ์ขั้นแปดแล้วยังมีสองพลังต้นกำเนิด แค่นั้นข้าก็จนปัญญาจะสู้แล้ว! เวลานี้มันกลับยังมีแนวคิดแห่งห้วงมิติที่เหนือล้ำอีก! เจ้าคิดว่าเราจะออกเมืองไปได้อีกหรือ?” โมซีร้องลั่นด่าฉินหู
เขานั้นแทบจะคลั่งแล้วจริงๆ!
หากอีกฝ่ายนั้นแค่เก่งกาจ พวกไม่อาจต่อสู้ใดๆ ได้ก็ยังพอจะหลบหนีเลี่ยงได้
แต่เย่หยวนกลับมีแนวคิดแห่งห้วงมิติที่เหนือล้ำ ด้วยระดับของพวกเขานี้พวกเขาไม่อาจจะจับถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้เลย
เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่เย่หยวนจะไป?
เท่านี้พวกเขาก็คงไม่อาจจะออกจากเมืองได้จริงๆ แล้ว!
ไม่ไกลออกไปคนทั้งหลายนั้นได้แต่ต้องหันมามองดูโมซีและฉินหูอย่างสงสารจับใจ
ในหมู่คนนั้นหยางเคอและพวกเองก็อยู่ด้วย
แต่เวลานี้พวกเขาทั้งหลายนั้นโล่งอกโล่งใจอย่างมาก
โชคยังดีที่เย่หยวนไม่ได้หมายหัวพวกเขา ไม่เช่นนั้นแล้วสภาพของพวกเขาคงไม่ได้ดีกว่าคนทั้งสองนี้เลย
เพราะเวลาจำกัดที่จะอยู่ในเมืองของแต่ละคนนั้นมันคือยี่สิบวัน
หากยี่สิบวันแล้วยังไม่ออกจากเมืองไปไหนก็จะถูกพลังของเต๋าสวรรค์ทำลายล้างลงสิ้น
ครั้งนี้ฉินหูทั้งสองนั้นอดทนไปอีกยี่สิบวันก่อนจะตัดสินใจเดินทางออกอีกครั้ง
แต่เมื่อเดินผ่านหน้าประตูเมืองมาได้เย่หยวนก็ยืนรออยู่แล้ว
เท่านี้พวกเขาทั้งหลายก็ไม่กล้าจะออกไปแล้วอย่างแท้จริง
อีกยี่สิบวันผ่านไปตัวฉินหูและโมซีผู้น่าสงสารต้องถูกพลังเต๋าสวรรค์ทำลายล้างลง
เวลาครึ่งปีผ่านไปเช่นนั้น พวกเขาทั้งสองนั้นถูกเต๋าสวรรค์ทำลายลงไปเกือบสิบครั้งจนสุดท้ายก็ตัดสินใจเดินทางออกจากเมืองมาด้วยความกังวลสุดใจ
…………