Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1413
จอมเทพโอสถ – ตอนที่ 1413 ก็แค่ผ่านทางมา
ตอนที่ 1413 ก็แค่ผ่านทางมา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไป๋เฉินขึ้นขี่สิงโตมายาทะยานควบไปมา ยามขึ้นบัญชาบนหลังของมันช่างมีสง่าราศีและเขาก็รู้สึกถูกใจกับเจ้าอสูรปีศาจตนนี้มาก
เย่หยวนได้ทราบจากไป๋เฉินว่า สัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างคล้ายสิงโตตัวนี้มีชื่อว่า สิงโตมายา
เมื่อเห็นภาพฉากนี้ เย่หยวนก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นไปใหญ่
ปลอกคอนั้นที่สิงโตมายาคล้องสวมอยู่คล้ายว่าจะมีพลังวิเศษบางอย่าง ถึงขั้นที่ว่าสามารถควบคุมเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้ดั่งใจอิสระ
“นายน้อยไป๋เฉิน ข้าสงสัยยิ่งนักปลอกคอนี้คงเป็นของวิเศษกระมัง?” เย่หยวนเอ่ยถาม
ไป๋เฉินยิ้มและกล่าวว่า “นี่เรียกว่าหวงคล้องวิญญาณจักรพรรดิ เรื่องเช่นนี้มนุษย์ธรรมดาอย่างเจ้าไม่ทราบก็หาใช่เรื่องแปลก มันเป็นถึงเครื่องรางวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง ตราบใดที่ข้าหยดโลหิตลงไปบนสิ่งนี้ และคล้องใส่อสูรปีศาจตนใด มันก็จะยอมรับข้าในฐานะเจ้านายทันที แต่แน่นอนว่าพวกมันคงไม่ยอมง่ายๆ ข้าคงต้องปราบปรามมันให้สิ้นฤทธิ์เสียก่อน ถึงจะทำตามแบบนี้กล่าวไปได้”
เย่หยวนแอบประหลาดใจไม่น้อย เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้จะมีวิธีหลอมสร้างเครื่องรางที่น่าอัศจรรย์ได้ขนาดนี้
เมื่อเห็นท่าทีอยากรู้อยากเห็นของเย่หยวน ไป๋เฉินพลันคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าอยากขึ้นขี่หน่อยรึไหม? ถือซะว่าสัมผัสประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต?”
เย่หยวนส่ายหัวไปมาพร้อมยิ้มตอบว่า “น่ากลัวเกินไป ข้าไม่ควรขี่จะดีกว่า”
“ฮ่าๆๆ เจ้าเด็กนี่คงเป็นพวกบัณฑิตที่เอาแต่หมกตัวกระมัง ความกล้าของเจ้ายังคงน้อยเกินไป! อย่าได้กลัวไปเลย ยามนี้สิงโตมายาถูกทำสัญญาแล้ว มันไม่มีทางโจมตีผู้คนแน่นอน!” เหล่าศิษย์สาวกที่ติดตามไป๋เฉินมาต่างหัวเราะเยาะเขา
เย่หยวนเพียงระบายยิ้มอ่อนและมิได้เอ่ยกล่าวอันใดอีก หาใช่ว่าเขาไม่อยากนั่ง แต่เขาไม่กล้าที่จะนั่ง หากเขานั่งบนร่างของสิงโตมายาตัวนี้ มันคงไม่กลัวจนมุดหัวหนีเลยรึ?
เหตุผลที่ไป๋เฉินสามารถโค่นสิงโตมายาลงได้อย่างไร้ซึ่งปัญหา ทั้งหมดก็เพราะแรงคุกคามที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างเย่หยวน ปัจจุบันร่างกายของเย่หยวนมีชั้นรัศมีที่จำลองมาจากเต๋าแห่งดินแดนนภาเทวะ ดังนั้นแล้วสัตว์ประหลาดพวกนี้จึงไม่กล้าทำร้ายเย่หยวน และอีกประการหนึ่งคือ สิงโตมายาสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงขวัญสุดขีดที่แฝงอยู่ในร่างกายของเย่หยวนได้
สายเลือดมังกรซึ่งเป็นเผ่าอสูรในกายเย่หยวนมีระดับชั้นสูงส่งอย่างหาที่เปรียบไม่ นอกจากนี้ยังมีขุมพลังอันมหาศาลที่เขาสะกดไว้อยู่ภายในตัวอีก ที่สิงโตมายาพุ่งโจมตีเย่หยวนอย่างดุร้ายหาใช่เพราะต้องการขู่ให้เย่หยวนกลัว แต่มันกลัวเย่หยวนจนสัญชาตญาณสั่งให้ป้องกันตัว ที่เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น เย่หยวนสันนิษฐานว่าเป็นเพราะสายเลือดมังกรของเย่หยวนเป็นเผ่าอสูร ดังนั้นเมื่อสิงโตมายาเจอกลิ่นอายที่มิใช่ของเผ่ามันจึงเข้าโจมตีใส่
ระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้า เย่หยวนยังคงพินิจวิเคราะห์พร้อมประเมินความแข็งแกร่งของไป๋เฉินเสร็จสรรพ แม้เขาคนนี้จะเพิ่งบรรลุอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้น แต่เพลงทวนและไหวพริบนับว่าไม่เลว ทว่าหากต้องการปราบปรามสิงโตมายา เกรงว่าฝีมือยังคงขาดตกอยู่หลายส่วน
ในอีกด้านหนึ่ง โม่หยุนยังคงเฝ้าระวังเย่หยวนอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เย่หยวนคนนี้โผล่มาจากไหนไม่ทราบ มนุษย์ธรรมดาจะอยู่กลางป่าพฤกษารกร้างที่เต็มไปด้วยสัตว์ปีศาจอันน่าเกรงขามมากมายได้อย่างไร? เย่หยวนคนนี้ต้องมีอะไรแอบแฝงแน่นอน
วูบ! วูบ! วูบ!
ทันใดนั้นเองเงาร่างนับหลายสิบพลันกระโจนพุ่งออกมาจากป่าทึบ พร้อมเข้าล้อมไป๋เฉินและกลุ่มของเขาเสร็จสรรพไร้ซึ่งทางหนี
“ฮ่าๆๆ…ไป๋เฉิน! ข้ารอโอกาสนี้มาเนิ่นนานแล้ว! วันนี้เป็นวันตายของเจ้า!” ร่างเล็กเปล่งเสียงดังชัดระเบิดหัวลั่นไม่หยุด
สีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินแปรเปลี่ยนทันควัน น้ำเสียงเยียบเย็นเอ่ยขึ้นว่า “ไป๋ชง นี่หมายความอย่างไร?”
ไป๋ชงแสยะยิ้มสุดน่ารังเกียจและกล่าวว่า “หมายความอย่างไรอย่างนั้นรึ? ทั้งๆที่ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า อายุประสบการณ์ก็มากกว่า แต่ไฉนกลับเป็นเจ้าที่ได้ขึ้นเป็นนายน้อย! และข้ากลับกลายเป็นสุนัขรับใช้ใต้เท้าเจ้า! ข้าไม่มีทางยอมแน่นอน! ข้านี่แหละจะขึ้นเป็นนายน้อยและปกครองวังเทวะรัตติกาลฉายต่อในอนาคต!”
โม่หยุนคำรามด่าอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ไป๋ชงเจ้าบ้าแล้วรึ?! มิใช่นิสัยสองหัวของเจ้าที่ลอบช่วยเหลือวังเทวะพิรุณร่วงโรยก่อนจึงถูกตัดสิทธิ์? ตอนนี้เจ้าคือศัตรูของพวกเราวังเทวะรัตติกาลฉายแล้ว!”
ไป๋ชงหัวเราะเยาะไม่หยุดหย่อนและกล่าวด้วยน้ำเสียงสุดเย็นชาขึ้นว่า “แล้วอย่างไร? ตราบที่ข้าได้ตำแหน่งนายน้อยมา เรื่องพวกนี้ยังมีความหมายอันใด?”
ด้านหลังไป๋ชงปรากฏเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง เขาเหลียวมองไปทางโม่หยุนและหัวเราะเยาะพลางกล่าวว่า
“โม่หยุน เจ้าคงคาดไม่ถึงมาก่อนเลยใช่ไหม? เหอะ เหอะ อย่าถือโทษตำหนิว่าพวกเราไม่ให้โอกาส ฆ่าไป๋เฉินซะแล้วเราจะยอมให้เจ้าเข้าร่วมกับวังเทวะพิรุณร่วงโรย! ด้วยความแกร่งกล้าของเจ้า เจ้าย่อมได้รับตำแหน่งสำคัญแน่นอนภายในนั้น”
ทว่ายามนี้โม่หยุนกลับหาได้สนใจชายวัยกลางคนนั้นเลย แต่กลับหันขวับจ้องเขม็งใส่เย่หยวนทันทีและกล่าวว่า“เจ้านี่เอง! นี่เป็นสายลับของวังเทวะพิรุณร่วงโรย! มิฉะนั้นแล้วคนธรรมดาทั่วไปจะมาอยู่กลางป่ากลางเขาในนี้ได้อย่างไร?” ทั่วร่างของไป๋เฉินสั่นสะท้านหนัก ก่อนเหลียวมองเย่หยวนอย่างไม่กล้าเชื่อสายตา
“นี่…นี่เจ้า! เจ้านี่ช่างกตัญญูตอบแทนพวกเราได้ดีเหลือเกิน!” ไป๋เฉินชี้นิ้วใส่หน้าเย่หยวนและคำรามลั่นกล่าวด้วยความขุ่นแค้นแสนขมขื่นใจ
“หึ! ข้าเฝ้ามองเขามานานแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้หาใช่สามัญชนทั่วไป แต่เป็นยอดฝีมือซ่อนคม! รัศมีบนร่างกายของเขาคล้ายมีเครื่องรางบางอย่างคอยปกปิดพลังไว้อยู่!” โม่หยุนกล่าวอธิบายอย่างเย็นชา
เย่หยวนคิดไม่ถึงเลยว่า โม่หยุนจะชี้หอกชี้เป้ามาใส่เขาแบบนี้ ยามนี้แสร้งปั้นหน้าไม่รู้เรื่องพร้อมเอ่ยตอบด้วยท่าทีไร้เดียงสาไปว่า “ข้าไม่ใช่สายลับจริงๆ! เจ้าพวกนั้นก็น่าจะเป็นพยานให้ข้าได้จริงไหม?” คนที่เย่หยวนพาดพิงเอ่ยถึงก็คือไป๋ชง นี่คือเป็นสถานการณ์วิกฤตเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของพวกไป๋เฉิน
โม่หยุนที่แกร่งกล้าที่สุดในกลุ่มยังเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าครึ่งขั้น ในขณะที่คนอื่นๆ ล้วนเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นทั้งหมด
ในขณะที่ฝ่ายตรงข้าม ความแข็งแกร่งของชายวัยกลางคนผู้นั้นเองก็มิได้สูงนัก แต่ก็นับเป็นปัญหาเช่นกับสำหรับโม่หยุน นอกจากเขา ที่เหลือก็เป็นแค่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าเช่นกัน มีแค่คนสองคนที่เป็นขั้นกลางหรือไม่ก็ขั้นสูง! ความแข็งแกร่งโดยรวมอีกฝ่ายเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด!
ได้ฟังแบบนั้นแต่ไป๋ชงกลับแสยะยิ้มเย็นและกล่าวว่า “โม่หยุนพูดถูกต้องแล้ว! มันเป็นคนที่เราส่งมาเพื่อระบุที่อยู่ของเจ้า!”
เมื่อไป๋ชงเห็นว่าภายในกลุ่มของไป๋เฉินเกิดความแตกแยกกันเอง เขาก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเป็นทวี เขาเองก็ไม่เกรงใจเช่นกัน หากมีโอกาสได้หว่านเมล็ดแห่งความแตกแยก!
แน่นอน เมื่อไป๋เฉินกับโม่หยุนได้ฟังคำยืนยันแบบนั้น สีหน้าทั้งคู่พลันเปลี่ยนไปอย่างมากพร้อมจ้องเขม็งไปที่เย่หยวน สายตาของพวกเขาเจือแววอาฆาตสุดใจ
“เย่หยวน ข้ามองเจ้าผิดไปจริงๆ! หากข้ารู้เช่นนี้แต่แรก ข้าคงปล่อยให้เจ้าถูกสิงโตมายากินไปนานแล้ว!” ไป๋เฉินกล่าวขึ้นด้วยความโกรธจัด
โม่หยุนโพล่งกล่าวเสียงเย็นว่า “นายน้อยไม่จำเป็นต้องพล่ามกับไส้ศึกเช่นนี้แล้ว! ตายซะ!”
ทันทีที่สิ้นเสียง โม่หยุนยกฝ่ามือขึ้นพร้อมตบใส่เย่หยวนสุดแรง
ยามเห็นภาพฉากตีกันเองเช่นนี้ ชายวัยกลางคนและไป๋ชงต่างผุดยิ้มยินดีปรีใจ
บูมมม!
ฝ่ามืออันทรงพลังไร้ขอบเขตตบเข้าใส่กลางอกของเย่หยวนอย่างไร้ปรานี ทว่า…เย่หยวนยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นเดิมโดยหาได้ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว!
ลูกตาทุกคนแทบถลนออกมาทันทีที่เห็นภาพฉากนี้ ฉายแววไม่เต็มใจเชื่ออย่างหาปกปิดได้ เย่หยวนยังคงสบายดี!
“นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร?” ชายวัยกลางคนผู้นั้นพึมพำเหลือเชื่อ
ความแกร่งกล้าของโม่หยุน เขาตระหนักดีแจ่มแจ้ง ฝ่ามือเมื่อครู่ต่อให้เป็นตัวเขาก็ยังไม่กล้ารับโดยตรง แต่เจ้าเด็กคนนี้กลับยืนรับฝ่ามือนี้ได้อย่างสบายๆ!
เย่หยวนในตอนนี้สวมเกราะอ่อนที่เป็นถึงเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำของสถานศึกษาหวูเมิ่ง ระดับการโจมตีแค่นี้ย่อมไม่สามารถทำอะไรเขาได้โดยธรรมชาติ
เย่หยวนยักไหล่พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ที่จริงแล้วข้าก็แค่ยอดยุทธที่ผ่านทางมา และหาได้มีเจตนามีส่วนร่วมกับศึกชิงตำแหน่งนายน้อยของพวกเจ้าแม้สักนิด แล้วข้าเองก็แสดงความบริสุทธิ์ใจออกไปแล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่เจ้า…ก็ยังตัดสินใจเช่นนี้? คิดดีแล้วจริงๆรึ?” กล่าวจบ เย่หยวนยกมือทั้งสองไพล่หลังสองเท้ายืนหยัดตระหง่านน่าเกรงขามยิ่ง
สีหน้าการแสดงออกของชายวัยกลางคนดูเคร่งเครียดขึ้นในทันใด แต่เสี้ยวอึดใจต่อมาเขาก็พลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงตรงเข้ากระซิบข้างหูไป๋ชงว่า “พวกมันกำลังแสร้งแสดงละครฉากใหญ่ให้เรากลัว! ไม่ต้องไปสนใจเจ้าเด็กนั้นแล้ว เป้าหมายของเราคือฆ่าไป๋เฉิน!”
ไป๋ชงดูมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อยพร้อมผงกศีรษะอย่างเชื่อฟัง จากนั้นเอ่ยสั่งการต่อโดยไม่รีรอ
“โจมตี! ใครก็ตามที่ฆ่าไป๋เฉินได้ ข้าจักตบรางวัลให้อย่างงาม!”
“ฆ่า!”
วาจาประโยคสุดท้ายของไป๋ชงช่างมีเสน่ห์เกินหักห้ามใจ ด้วยความโลภพวกเขาปราดพุ่งโจมตีใส่ไป๋เฉินอย่างหน้ามืดตามัว ท่าทางการแสดงออกของโม่หยุนเปลี่ยนไปโดยพลัน ขณะที่กำลังจะลงมือช่วยเหลือไป๋เฉิน ร่างของชายวัยกลางคนกลับมาถึงตรงหน้าเข้าสกัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
“คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า! วันนี้เป็นวันตายของไป๋เฉิน แม้แต่เจ้าก็หยุดมันมิได้!”
ชายวัยกลางคนเข้าสัประยุทธ์เดือดกับโม่หยุนทันที
เหล่าศิษย์สาวกที่ติดตามไป๋เฉินมา พวกเขาเร่งปิดล้อมปกป้องไป๋เฉิงที่อยู่ ณ ใจกลาง ทว่าฝ่ายนั้นกลับมีระดับชั้นปฐมพระเจ้าขั้นกลางและขั้นสุดอยู่ด้วย ในไม่ช้าพวกศิษย์สาวกเหล่านี้ก็พลอยหมดแรงบาดเจ็บหนัก
โม่หยุนที่เห็นสถานการณ์ดังนั้นก็อดวิตกกังวลมิได้
เย่หยวนยังคงยืนตระหง่านนิ่งสงบไม่ไหวติง ทันใดนั้นเขาก็เปิดปากกล่าวขึ้นว่า
“แน่นอน ในเมื่อเจ้าเลือกเช่นนั้น ข้าย่อมไม่ปล่อยผ่านอีกต่อไป!”
…………………………………………….