Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1422
จอมเทพโอสถ – ตอนที่ 1422 สยบดาราฉบับสมบูรณ์!
ตอนที่ 1422 สยบดาราฉบับสมบูรณ์!
โดย
Ink Stone_Fantasy
สองร่างพัลวันไสวดุจภูตผีกลางน่านเวหา คลื่นพลังเสียดปะทะคลื่นเสียงดั่งกรีดร้องโหยหวนระงมไม่หยุดหย่อนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉานหรือฝั่งวังเทวะพิรุณร่วงโรย พวกเขาแต่ละคนใจคอสั่นคลอนคล้ายเป็นกังวลต่อศึกสมรภูมิใหญ่นี้ สีหน้าการแสดงออกของฮั่วเทียนหยานเลวร้ายลงอย่างมาก ไอ้พวกวังเทวะรัตติกาลฉายมันไปเสาะหาสัตว์ประหลาดน้อยตนนี้มาจากที่ใด?
เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าสัประยุทธ์เดือดกับเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้อย่างสูสี?
นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างแท้จริง!
ในทางด้านหลานจื่อหยู ยิ่งเขาต่อสู้มากเท่าไหร่กลับเป็นเขาที่ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น เขาไม่อยากเชื่อสายตาตนเองเลยว่า กระบวนโจมตีสุดน่าสะพรึงเช่นนี้ เย่หยวนสามารถปลดปล่อยได้อย่างต่อเนื่องเสมือนไม่เปลืองแรงใดๆ! หลานจื่อหยูไม่กล้าคิดต่อเลยว่า หากเย่หยวนขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า เขาจะทรงพลังไร้เทียมทานปานใด? อย่างไรก็ตามแต่ เห็นได้ชัดว่าเย่หยวนในตอนนี้มีระดับพลังอยู่เพียงอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุด ยังก้าวไปไม่ถึงอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าครึ่งขั้นด้วยซ้ำ ไอ้เด็กเหลือขอตรงหน้ามันใช้ชีวิตสวนทางกับสามัญสำนึกของผู้คนโดยสิ้นเชิง! มีอย่างที่ไหน เย่หยวนไล่ล่าสะบั้นสับคมดาบใส่จนทำให้หลานจื่อหยูแทบกระอักพ่นโลหิตอยู่หลายครั้งหลายครา เผชิญหน้ากับเด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าคนนี้ กลับเป็นเขาที่ถูกบีบจนใกล้จนตรอกเต็มทน!
“ข้าอยากจจะเห็นเสียเหลือเกินว่า เจ้าจะมีขีดกำจัดอยู่ตรงไหน? และข้าไม่เชื่อว่าเจ้าที่เป็นแค่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าจะสามารถปลดปล่อยกระบวนดาบนี้ได้ไม่มีสิ้นสุด!”
หลานจื่อหยูถูกเย่หยวนไล่ต้อนอย่างหนักจนสร้างบาดแผลฉกรรจ์ทั่วร่าง ยามนี้ถึงไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้แล้วก็จริง แต่เขาก็ยังใจแข็งยืนหยัดสู้กับเย่หยวนต่อไป แน่นอนว่าอีกเหตุผลหนึ่งคือ เขาไม่มีแผนการที่ดีกว่านี้ไว้รับมือแล้วด้วยภายใต้สถานการณ์แบบนี้สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือ รอจนกว่าพลังปราณเทวะในร่างกายของเย่หยวนจะหมดลง
เมื่อถึงเวลานั้นจะเป็นโอกาสที่หลานจื่อหยูจะได้ตอบโต้จู่โจมสวนกลับไป
ไป๋เฉินยามนี้รู้สึกตื่นเต้นลุ้นระทึกใจจนใบหน้าเห่อแดง เขาทราบดีว่าท่านจารย์เย่แข็งแกร่งเพียงใด แต่ก็ไม่นิดเลยว่าจะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้! ศึกสัประยุทธ์ครั้งนี้ท่านอาจารย์เย่ของเขาเป็นฝ่ายชนะแน่นอน!
ทันใดนั้นไป๋เฉินพลันชูทวนยาวขึ้นและคำรามลั่นสุดเสียงว่า “ฆ่า! ฆ่า! ฆ่าพวกมันให้หมด! เลือดต้องล้างด้วยเลือด! วันนี้พวกวังเทวะพิรุณร่วงโรยลำพองใจหลงผิดคิดเหยียบย้ำเรา ดังนั้นฆ่าพวกมันให้หมดอย่างให้เหลือรอดกลับไปแม้แต่คนเดียว!”
ทันทีที่กล่าวจบไป๋เฉินรีดเร้นกลิ่นอายสุดน่าสะพรึงหอบใหญ่ พร้อมกระโจนเข้าสมรภูมิที่ ณ เวลานี้ปะทุเดือดถึงขีดสุด เพลงทวนของเขาเพิ่งสำเร็จหมาดๆ ก่อนหน้านี้ ทำให้ความแกร่งกร้าวเพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อต้องเผชิญกับเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าของฝ่ายวังเทวะพิรุณร่วงโรย ไป๋เฉินก็หาได้เสียเปรียบตกเป็นรองแม้แต่น้อย
ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน แววพ่ายศึกของฝ่ายวังพิรุณร่วงโรยเริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากพวกเขาขาดแคลนขุมกำลังอาณาจักรปฐมพระเจ้าในสมรภูมินี้ จึงปรากฏภาพฉากที่ฝ่ายวังเทวะพิรุณร่วงโรยจำใจต้องต้านรับแบบหนึ่งต่อสองหรือสามคน ทอดสายตาออกไปล้วนปรากฏเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น เพราะแผนเดิมของฮั่วเทียนหยางคือ แม้ขุมกำลังที่เขานำมาจะมีปริมาณไม่เต็มรูปแบบสมบูรณ์และน้อยกว่าปกติ แต่เขาล้วนแล้วแต่คัดสรรเซียนระดับอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้ามา กล่าวได้ว่าใช้กลยุทธ์คุณภาพมากกว่าจำนวน
วังเทวะรัตติกาลฉายเพิ่งเสียกำลังสำคัญอย่างไป๋เย่ไห่ไป ดังนั้นเขาจึงต้องการบดขยี้พวกที่เหลือให้สิ้นซากโดยตรง ด้วยขุมกำลังของเหล่าเซียนระดับสูงที่คัดสรรมา
ทว่าปัจจุบันเขาถูกกุ้ยหยุนสกัดขัดขวางมิให้ไปไหนไม่พอ แต่พวกรุ่นอาวุโสลายครามของฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายเองก็พร้อมใจผนึกกำลังช่วยเหลือไป๋เฉินอีก จึงทำให้เวลานั้นเหล่าเซียนระดับสูงที่เขานำมาไม่สามารถเคลื่อนไหวคุมเชิงได้อย่างอิสระ ด้วยเหตุนี้ระดับพลังการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายจึงค่อนข้างสมดุลใกล้เคียงกันอย่างมาก
สิ่งที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นคือ เย่หยวนเพียงคนเดียวสามารถควบคุมเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าอย่าง
หลานจื่ออยูได้อย่างอยู่หมัด! ความได้เปรียบในแง่ของปริมาณผู้คน ทางฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ไป๋เฉินเข้าร่วมศึกสมรภูมิเดือดอย่างไม่กลัวตาย เขาพึ่งสะบั้นปราบปรามข้าศึกไม่เหลือหน้าด้วยความบ้าคลั่ง เขาเกลียดฮั่วเทียนหยานยิ่งกว่าใครๆ นามนี้มีโอกาสได้ลงสนามจริง มิเพียงรั้นรอนกำลังไว้ไมตรี แต่ยังล่าสังหารอย่างไม่คิดชีวิตไร้ปรานี
เสมือนว่าคนอื่นๆ โดยรอบติดเชื้อบ้าจากไป๋เฉินไป แต่ละคนลุกฮือปลุกระดมจิตวิญญาณลุกโชน พวกเขาถาโถมฆ่าฟันไม่มีหยุดไม่รู้จักเหนื่อย จนเป็นฝ่ายวังเทวะพิรุณร่วงโรยเสียเองที่เร่งถอดชุดถอดเกราะวิ่งเตลิดถอยหนี
ในไม่ช้า จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายของฝ่ายวังเทวะพิรุณร่วงโรยก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด!
ฮั่วเทียนหยางร้อนใจวิตกกังวลหนัก ไม่ว่าจะพยายามโหมกระหน้ำโจมตีหลากกระบวนเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายกุ้ยหยุนได้เลยแม้แต่น้อย สูตรร้อยอักขระภูตเต๋าของกุ้นหยุนสำเร็จถึงอักขระที่สามแล้ว แม้ว่าเขาจะยังไม่เลื่อนระดับชั้น ทว่าความแกร่งกล้ากลับพุ่งสูงขึ้นอย่างผิดหูผิดตา การจะข้ามระดับต่อสู้เช่นนี้จึงหาใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขาไม่สุดท้ายนี้ สูตรร้อยอักจระภูตเต๋าก็เป็นถึงวิชาลับอันดับหนึ่งแห่งศาสตร์แห่งภูตทั้งมวล!
ฮั่วเทียนหยางไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าสถานการณ์จะกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ทีแรกเขายังคิดเย้ยในใจเล่นว่า จะถล่มพวกวังเทวะรัตติกาลฉายอย่างไรดีให้สิ้นเปลืองแรงน้อยที่สุด? ทว่าตอนนี้จำต้องคิดหนัก จะหนีอย่างไรกลับไปดี?ทางฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายล้วนแล้วแต่สู้ยิบตาไม่ตายไม่เลิกราวกับถูกฉีดกระตุ้น พวกมันเข้ารบเร้าไม่หยุดหย่อนและไม่ยอมเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ถอยทัพหนีออกไปเลย หากจะถอยทัพทั้งแบบนี้ก็เกรงว่าอันตรายเกินไป พวกเขาอาจต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนักหน่วง
บูมมม! ในขณะนั้นเอง เสียงระเบิดรุนแรงดังสสั่นกึกก้องชั่วฟ้าจากมุมหนึ่ง
ฮั่วเทียนหยางถึงกับหน้าถอดสีไปชั่วขณะ ลางสังหรณ์ไม่สู้ดีนัก คืบคลานกัดกินจิตใจ เขาเร่งปรายตาลอบมองไปทางต้นเสียงอย่างอดมิได้ และต้องตะลึงงันค้างเติ่งไปทั้งแบบนั้น
บัดนี้ร่างของหลานจื่อหยูอาบเลือดชโลมชุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูจากรูปการณ์สภาพย่ำแย่เวทนาสุดขีด ไม่สามารถยืนหยัดทรงตัวให้ตรงได้ เป็นที่ชัดเจนว่าเขาไม่สามารถต้านรับเย่หยวนได้อีกต่อไปแล้ว ซึ่งในทางตรงข้าม เย่หยวนยังคงชูดาบยาวพร้อมปราดพุ่งจู่โจมอีกระลอกมิให้อีกฝ่ายหยุดพัก
ฮั่วเทียนหยางแทบไม่อยากเชื่อสายตากับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าแกร่งกล้ามากถึงเพียงนี้? พินิจจากรูปการณ์ตามตรง หลานจื่อหยูเตรียมถูกเย่หยวนปิดฉากในไม่ช้าก็เร็ว!
ซึ่งในตอนแรกเอง ฮั่วเทียนหยางก็คิดแบบเดียวกับหลานจื่อหยู เขารู้สึกว่าเย่หยวนสามารถยืนหยัดต่อกรได้เพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยิ่งเวลาเลยพ้นผ่านไป เย่หยวนกลับปราศจากวี่แววอ่อนล้าเหน็ดเหนื่อยแม้สักนิด คล้ายว่าพลังปราณเทวะในร่างกายเด็กคนนี้ไม่มีสิ้นสุด สามารถสำแดงใช้กระบวนดาบได้อย่างไร้จำกัด! หรือเป็นไปได้ไหมว่า พลังปราณของเจ้าเด็กคนนี้จะไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ?
ในขณะนี้ฮั่วเทียนหยางเริ่มถอดใจในศึกครานี้แล้ว ทว่าหากเขาในฐานะแม่ทัพยังคงลังเลอยู่แบบนี้ กลับยิ่งทำให้สถานการณ์ของฝ่ายตนเลวร้ายมากขึ้น!
หลานจื่ออยูจ้องมองไปที่เย่หยวนเผยสีหน้ารูปลักษณ์ตื่นตะลึงสุดขีด
“เจ้า…หรือเป็นไปได้ไหมที่พลังปราณเทวะในกายเจ้าจะมีไร้ขีดกำจัด? ไม่…นี่เป็นไปไม่ได้!” เสียงแหบแห้งของหลานจื่อหยูเต็มไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง
การดำรงอยู่ของสัตว์ประหลาดน้อยตนนี้ ได้ทำหลายสามัญสำนึกที่เขาเคยรู้จักไปจนหมดสิ้น! ทุกสรรพสิ่งอย่างที่ได้เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ล้วนแต่เหนือจินตนาการไปแล้วทั้งนั้น
ตอนนี้หลายจื่อได้กลิ่น…มันคือกลิ่นอายแห่งความตาย!
เย่หยวนช้อนสายตามองไปทางอีกฝ่ายและยิ้มกล่าวว่า “คนใกล้ตายอย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้อะไรให้มากความ” ใบหน้าหลานจื่ออยูบิดเบี้ยวน่าเกลียดสุดขีด เขากัดฟันแน่นด้วยความเคียดแค้นพร้อมคำรามเดือดว่า
“ข้าไม่มีทางเชื่อว่า เด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าจะมีกำลังท้าทายสวรรค์ได้จริงๆ! เก้าปราณดาบกลืนวิญญาณ…ปราณโลหิตล่าสังหาร!” ทันใดนั้นเองธารเลือดสดก็พุ่งทะลุออกมาจากหูตาจมูกของหลานจื่อหยูประดุจน้ำพุโลหิต ยามนี้มันเสียสติถึงขั้นคิดพลีชีพแล้ว!
สีหน้าการแสดงออกของฮั่วเทียนหยานเปลี่ยนไปอย่างมาก ไอ้เด็กเหลือขอนั้นสามารถบังคับให้หลานจื่ออยูต้องทำถึงขนาดนี้ได้จริงๆรึ? ปราณโลหิตล่าสังหารคือกระบวนไพ่ตายที่ต้องสังเวยด้วยชีวิตของตน เพื่อแลกมากับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในชั่วเวลาสั้นๆ
แม้สิ่งนี้จะเป็นเคล็ดวิชาที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก แต่ยามใดที่หยิบใช้สำแดงออกมา แสดงว่าต้องเข้าตาจนแล้วจริงๆเช่นกัน หลานจื่อหยูต้องการพลีชีพเพื่อลากไอ้เด็กเหลือขอนั้นลงนรกไปด้วยกัน!
ซวบบ!
ไป๋เฉินระดมพลังปราณเทวะไปยังปลายทวนพร้อมทะลวงกลางอกของข้าศึกอาณาจักรปฐมพระเจ้าคนหนึ่งลงทันที ทันใดนั้นเอง เขาพลันสัมผัสได้ถึงรัศมีอันทรงพลังหอบใหญ่ปะทุเดือดขึ้นมาก เมื่อเหลียวหลังกลับไป ไป๋เฉินถึงกับหน้าถอดสีในบัดดล
“แย่แล้ว! ท่านอาจารย์เย่กำลังตกอยู่ในอันตราย!” ท่าทีไป๋เฉินคล้ายวิตกสสุดขีด อุทานลั่นตื่นตระหนก
“กลิ่นอายอะไรทรงพลังเยี่ยงนี้! หลานจื่อหยูเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นมิใช่รึ? ไฉนตอนนี้รัศมีกลิ่นอายพลันขยับขยายเพิ่มสูงถึงจุดสูงสุดแห่งอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นไปแล้ว!”
“ชายคนนี้มันคลั่งไปแล้ว! คิดจะพลีชีพตายไปพร้อมกับท่านเย่หยวน! นี่แย่แล้ว!”
“ให้ตายเถอะ คมดาบนั้นทรงพลังเกินไปแล้ว! ท่านเย่หยวนอยู่ในอันตราย!”
…
เมื่อเหล่าเซียนทางฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ สีหน้าท่าทีของแต่ละคนก็แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก
เย่หยวนเงยมองฉากนี้พร้อมท่าทีสุดเฉยเมย พลางเอ่ยปากกล่าวอย่างคร้านใส่ใจว่า “น่าเบื่อสิ้นดี! ในเมื่อทำได้แค่นี้ เช่นนั้น…ข้าจักสำแดงสยบดาบฉบับสมบูรณ์ให้เจ้าเห็นเป็นขวัญตา!”
จากนั้นเย่หยวนก็ค่อยๆ ยกดาบพิชิตมารฟ้าขึ้น ช่างเป็นท่าและกระบวนแสนเรียบง่าย บรรยากาศโดยรอบไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง จะมีก็เพียงสายลมโชยอันโอนอ่อนพัดผ่านเท่านั้น
ผู้คนรอบข้างไม่สามารถรับรู้ได้ถึงรัศมีรังกดดันใดๆ ได้เลย จากกระบวนท่าที่เย่หยวนกำลังจะสำแดงใช้ ไม่แม้แต่ศาสตร์แห่งดาบหรือร่องรอยของพลังปราณเทวะ
“ดาบ…ดาบในมือข้า ไฉนอยู่ๆถึงควบคุมไม่ได้!”
“ของข้าก็ด้วย! มัน…มันพยายามขัดขืนข้าอยู่!”
ในเวลานี้เองดาบในมือของนักดาบทุกคนพลันสั่นเทาไม่หยุด พวกเขารู้สึกได้ทันทีว่าตนไม่สามารถควบคุมมันได้เลย
…………………………………